ตอนที่ 682 ห้องทำงานราวสนามรบ
อยู่ ๆ หวังทงยังก้าวเข้าสู่เมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ แม้เป็นเพียงรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าเบื้องหลังหวังทงคือผู้ใด อยู่เมืองหลวงมีสถานะใหญ่เพียงใด และยังมีคนไม่น้อยรู้ว่า ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรตำแหน่งนี้เดิมฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพระราชทานแก่หวังทงไปแล้ว
พอหวังทงเข้าเมืองหลวงมา ลั่วซือกงก็คงยิ่งต้องถูกหมางเมินไปยืนข้างทางแทนแล้ว ทว่าลั่วซือกงอย่างไรก็เป็นองครักษ์เสื้อแพรมาหลายสมัย ย่อมเข้าใจเรื่องราวการยกย่องดูถูกพวกนี้ดี
ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นตำแหน่งสำคัญ แต่ก็ต้องดูว่ามีผู้หนุนเบื้องหลังหรือไม่ หากสายสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ไม่ดีล่ะก็ ก็เท่ากับอยู่ในตำแหน่งอันตราย อาจนำภัยใหญ่มาสู่ตัวได้
สถานะตนตอนนี้ การจะเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไปได้อย่างราบรื่นก็นับว่าเป็นโชควาสนาไม่น้อยแล้ว เรื่องอื่นไม่กล้าคิด ดังนั้นเขาจึงนอบน้อมต่อหวังทงอย่างมาก มีอันใดก็ย่อมรับสนองหมดก็ว่าได้ องครักษ์เสื้อแพรคนเก่าหลายคนล้วนนินทาลั่วซือกงลับหลังว่าเสื่อมเกียรติ ไม่มีความเป็นผู้บัญชาการแม้แต่น้อย วาจาลับหลังนี้ลั่วซือกงก็พอรู้ แต่ก็ไม่สนใจ มีหน้ามีตามีเกียรตินักก็อย่าได้ดวงตกมาเข้าคุกก็แล้วกัน
ยังดีที่อยู่ในตำแหน่งนี้ ยังมีคนให้ใช้งานได้ เมื่อก่อนตอนทำงานก็พอมีคนให้ใช้งานได้ หวังทงนำคนกำราบเมืองหลวงไปทั่ว เรื่องนี้เข้าหูลั่วซือกง
องครักษ์เสื้อแพรตั้งมาได้เกือบ 200 ปีแล้ว มีเกียรติมีศักดิ์ศรีในเมืองหลวงมาตลอด เคยเสียหน้าเช่นนี้ที่ไหน 100 กว่าคนถึงถูกลากออกมาจากบ้านตัวเอง ลากออกไปโบย ขายหน้าจริงๆ คนที่มารายงานลั่วซือกงล้วนไม่พอใจอย่างมาก
“ลูกน้องเราจะไม่รู้ธรรมเนียมอย่างไร แต่ก็เป็นคนกันเอง หวังทงจัดการเช่นนี้ ใช่ว่าเห็นแก่หน้าตัวเองมากไปหรอกหรือ
ผู้บัญชาการลั่ว ท่านต้องจัดการบ้าง!”
ลั่วซือกงจัดการไล่คนผู้นั้นออกไปทันที ตนเองไปนั่งกินกับแกล้มสุราอยู่ที่เรือนข้าง ดื่มอย่างสบายใจ ในใจเขาดีใจ สมน้ำหน้า เป็นไงล่ะ ข้าทำตัวระวังอย่างดี พวกเจ้าหาว่าข้าเสื่อมเกียรติ พวกเจ้าปะทะเข้าเอง รู้ความร้ายกาจแล้วล่ะสิ สมน้ำหน้า!!
ตอนฟ้าใกล้มืด รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงพร้อมผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนและผู้ช่วยผู้บัญชาการหยาง มาเยี่ยมถึงที่จวน สำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือใต้และกองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันในสังกัดทั้งหมด และบรรดานายกองพันนอกเมืองหลวงทั้งหลาย ร่วมหลายหมื่น หากนับที่อยู่นอกเมืองหลวง แสนคนก็ว่าได้
การกระทำครั้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงพร้อมผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนและผู้ช่วยผู้บัญชาการหยางที่มาถึงจวนนี้เป็นคนละขั้วกับลั่วซือกง แม้ว่าระดับต่างกันไม่มาก แต่ปกติก็ไม่พบหน้ากัน ต่างคนต่างอยู่ วันนี้มาถึงถิ่นเช่นนี้ ก็เพื่ออยากให้ลั่วซือกงออกมาจัดการปัญหา
สามคนมากันไม่นาน ขอตัวกลับอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นก็เป็นเวลาอาหารค่ำแล้ว ฟ้าก็ค่อยๆ มืดแล้ว คนรับใช้ตระกูลลั่วจุดโคมหน้าประตูได้ไม่นาน ก็มีแขกมาเยือน
คนรับใช้ตระกูลลั่วเห็นอะไรมามาก พอเห็นการแต่งกายเช่นนี้พร้อมคนติดตามข้างกายก็พอเดาสถานะได้แล้วว่าเป็นผู้ใด
รีบเข้าไปรายงาน ก่อนจะรีบวิ่งออกมายิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง นายท่านเรียนเชิญ!”
หันไปเปิดประตู ประตูเปิดครึ่งเดียว ก็เห็นนายตนเองวิ่งออกมา รู้สึกแปลกใจ เมื่อครู่ตอนเข้าไปรายงาน นายท่านยังคิดงานอยู่ในห้องโถง เหตุใดจึงรีบวิ่งออกมาเช่นนี้ มารับแขกถึงหน้าประตูใหญ่ นี่เป็นการต้อนรับที่ไม่เบาเลย
เมื่อครู่รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงพร้อมผู้ช่วยผู้บัญชาการเหยียนและผู้ช่วยผู้บัญชาการหยางมากัน นายท่านก็เพียงแค่รอรับที่หน้าประตูห้องโถงเท่านั้น ใต้เท้าหวังท่านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ อายุยังน้อยเพียงนี้กลับทำให้นายท่านต้องวิ่งออกมารับด้วยตนเอง ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ไหนเลยกล้ารบกวนใต้เท้าออกมารับเช่นนี้ ทำข้าอายุสั้นแล้ว!!”
“ใต้เท้าหวัง ไยเกรงใจเช่นนี้ บอกแล้วว่าเราพี่น้องกัน?”
คนรับใช้เดินติดตามไปด้านหลัง นายท่านท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ ใต้เท้าหวังไม่ธรรมดาเสียจริง อายุน้อย ยังรู้จักรุกถอยเช่นนี้
“……มีเรื่องหารือกับท่าน ไม่ทันได้สนใจว่าฟ้ามืดแล้ว รีบวิ่งมาก่อน……”
*************
“น่าสนใจๆ พวกองครักษ์เสื้อแพรขี้เกียจกันมานาน ก็ควรให้หวังทงมาจัดการขนาบเสียบ้าง”
ตั้งแต่ได้ข้อมูลว่าฟ้ามืดแล้วความสว่างขนาดใดจึงไม่ทำลายสายตา โคมไฟในห้องทรงอักษรจึงสว่างอย่างมาก แขวนไว้ก็มี ตั้งไว้ก็มีไม่น้อย
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอ่านฎีกาไปก็หัวเราะไป พออ่านจบ ก็ไม่ทันรอให้จางเฉิงตอบ หันไปมองก็เห็นจางเฉิงกำลังขยี้หน้าผาก ท่าทางเหนื่อยอ่อนมาก ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า
“จางปั้นปั้น ในวังมีเรื่องมากมาย ท่านไม่ต้องรับใช้เราแล้ว ลำบากท่านจริงๆ มีเสี่ยวเลี่ยงก็พอแล้ว ท่านไปพักเถอะ!”
จางเฉิงรีบหยุดมือ ส่ายหน้าก้มตัวลงกล่าวว่า
“ขอบพระทัยฝ่าบาท รับใช้ฝ่าบาทเป็นหน้าที่ของกระหม่อม กระหม่อมปฏิบัติหน้าที่ก็ส่วนปฏิบัติหน้าที่ รับใช้ฝ่าบาทไม่อาจละเลย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงสนพระทัยต่อ หากพยักพระพักตร์หันไปอ่านฎีกาต่อ ตรัสขึ้นเบาๆ ว่า
“เดิมคิดว่าหวังทงเข้าเมืองหลวงมา เราจะได้คุยกันมากขึ้น เหมือนกับเมื่อก่อนตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย คิดไม่ถึงว่าพอมารับตำแหน่งก็ยุ่งจนไม่มีเวลาหยุดนิ่ง ไม่ต่างอันใดกับตอนอยู่เทียนจิน”
จางเฉิงยิ้มรับคำกล่าวว่า
“หวังทงปฏิบัติหน้าที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท หากเขาทำตัวว่างงาน อาจเป็นเรื่องไม่งาม!”
พอทูลออกไป ในใจจางเฉิงก็คิดถึงคำที่กราบทูลไปเมื่อครู่ ตอนนั้นเพราะเฝิงเป่าไปเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ จึงได้มีเวลาอยู่ข้างพระวรกายน้อยลง ตนเองจึงได้ค่อยๆ ก้าวขึ้นมา ในวังอำนาจทุกอย่างก็เริ่มน้อยลง ไม่มีความไว้พระทัยจากฮ่องเต้ว่านลี่ ไม่ช้าก็ย่อมตายอย่างอนาถ
มีตัวอย่างจากเฝิงเป่า ตนเองย่อมไม่ดำเนินรอยตาม จางจิง จางหง เถียนอี้ คนเหล่านี้บ้างก็พวกเดียวกัน บ้างก็คนละพวก ต่างก็จับต้องตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ไม่อาจลืมระวังตัวได้
“หวังทงเสนอให้ตั้งหน่วยงานในองครักษ์เสื้อแพร จางปั้นปั้น ท่านเห็นว่าอย่างไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พลิกฎีกาตรัสถาม จางเฉิงกำลังจะตอบก็ได้ยินเสียงดังจากด้านนอก เจ้าจินเลี่ยงเข้ามาอย่างเบากริบ จากนั้นก็มองจางเฉิง
เห็นกระดาษในมือเจ้าจินเลี่ยง จางเฉิงก็รีบเข้าไปรับมา กางออกดู สีหน้าก็แปลกใจ เข้าไปใกล้ฮ่องเต้ว่านลี่ กระซิบทูลว่า
“ฝ่าบาท ครรภ์พระสนมกง แปดเก้าส่วนย่อมเป็นพระโอรส กระหม่อมขอถวายพระพรยินดีกับฝ่าบาท!”
หากแสดงความยินดี ก็ไม่จำเป็นต้องเสียงเบาเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มรำคาญพระทัยตรัสว่า
“เสด็จแม่ทางนั้นยุ่งยากจริง ก็แค่ไม่ได้ตั้งใจอะไรนักหนา กลับทำจนเป็นเรื่องเช่นนี้ได้”
พระสนมกงเป็นนางกำนัลตำหนักฉือหนิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จตำหนักฉือหนิงกงถวายพระพรพบเข้า ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงให้นางเข้ารับใช้ สิ่งใดที่ทรงทำนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก กรมอาลักษณ์ย่อมจดบันทึกไว้ ในวังมีฮองเฮา มีพระสนมเอกเจิ้ง จะมีนางกำนัลเล็กๆ สักคนไม่เท่าไร ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงให้สถานะใด ต้องการให้เงียบไปเช่นนี้
คิดไม่ถึงว่า คนหรือสู้ฟ้าลิขิต ถึงกับตั้งครรภ์ได้ เป็นนางกำนัลตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาฉือเซิ่งจะแย่งอำนาจอย่างไรไม่รู้ แต่ก็ตั้งพระทัยหวังให้ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระโอรส ตอนนี้ฝ่ายในทั้งหลาย มีแต่ฮองเฮาที่มีพระธิดา แต่ชันษาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จากไป
วังหลังของฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่มีผู้ใดตั้งครรภ์ จากความต้องการของฮ่องเต้ว่านลี่ ดีที่สุดควรเป็นพระสนมเอกเจิ้งมีพระโอรส เป็นรัชทายาทไปเลย สนมอื่นเข้ามาก็วุ่นวาย นับประสาอันใดกับนางกำนัลตั้งครรภ์ ไทเฮาฉือเซิ่งทรงรู้แล้วก็ยืนกรานว่าฮ่องเต้ว่านลี่ต้องทำตามธรรมเนียม จึงต้องแต่งตั้งเป็นพระสนมกง
ก่อนคลอด ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งคนในวังไปตรวจ ท้องโตเพียงนี้ หมอหลวงกับนางในฝ่ายในต่างก็มองออกจากประสบการณ์ว่าเป็นหญิงหรือชาย
ฮ่องเต้ว่านลี่วางฎีกาลง ขมวดพระขนงตรัสว่า
“ไปบอกคนนอกวังพวกนั้น แม้เป็นพระโอรสก็อย่าได้เฉลิมฉลองใหญ่โตไป เราไม่อยากให้คนเอ่ยถึงนัก”
“ฝ่าบาท หากเป็นโอรสมังกร เช่นนั้นก็ย่อมเป็นองค์โต เรื่องนี้……”
จางเฉิงลังเลทูล ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะโต๊ะ เริ่มกริ้วหนักตรัสว่า
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฎีกาหวังทง ท่านคิดว่าควรทำเช่นไร?”
“ฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรตั้งแต่ก่อตั้งมาก ก็ให้คนในคณะเสนาบดีใหญ่ดูแล ในวังไม่อาจสั่งการใด หวังทงพยายามเช่นนี้ก็เพื่อให้อำนาจจัดการนี้กลับคืนสู่ฝ่าบาท และเรื่องที่เสนอนี้ก็มิได้ทำลายกฎระเบียบเดิม ก็แค่ปรับโครงสร้างในสำนักองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้น กระหม่อมคิดว่า ดีกว่าเสียพะยะค่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ตรัสสุรเสียงเยียบเย็น
“ตั้งแต่สมัยเสด็จพ่อเราเลย แม้แต่ตอนนี้พวกชนชั้นสูงกับพวกขุนนางต่างยื่นมือเข้าจัดการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เราก็ต้องอาศัยสำนักรักษาความสงบจึงวางใจได้ จางปั้นปั้น ร่างราชโองการ จัดการตามที่หวังทงต้องการ พรุ่งนี้ประชุมราชสำนักเสร็จก็ประกาศไปยังสำนักองครักษ์เสื้อแพร!”
จางเฉิงรีบถวายบังคมรับพระบัญชา องครักษ์เสื้อแพรเป็นทหารในพระองค์ โครงสร้างจะเปลี่ยนเช่นไร หกกรมกองก็ไม่อาจข้องเกี่ยว ในวังมีราชโองการไปก็เป็นพอ
วันรุ่งขึ้น ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกงมารอประชุมราชสำนักตามปกติ แต่เช้านี้หน้าที่ทำการของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีคนมา เชิญหวังทงไปหารือที่ทำการด้วย
พอถึงที่ทำการ ในห้องลั่วซือกงนอกจากผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่ไม่อยู่ รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรล้วนอยู่ พอเห็นหวังทง ก็ทำสีหน้าบึ้งตึงใส่ ไม่ทักทายสักคำ