ตอนที่ 698 แม่ทัพชื่อดังก็ไม่ต่าง โบยหนักสร้างผลงาน
ยุคสมัยนี้หนึ่งสามีหลายภรรยา ผู้ชายพอได้สถานะหนึ่งแล้ว การจะมีภรรยาแต่งสามภรรยาน้อยสี่ล้วนเป็นเรื่องปกติหวังทงที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเดียว หรือว่าชีจี้กวงที่กลัวภรรยานี้ หาได้น้อยมาก
แต่พอได้ยินโจวอี้เล่ามาว่าชีจี้กวงกลัวภรรยาเป็นเรื่องจริง แต่แม้ว่ากลัวก็ยังมีภรรยาน้อยสองบ้าน ก็ไม่รู้ว่าโจวอี้เอาเรื่องส่วนตัวเช่นนี้มาพูดเพื่ออันใด หวังทงได้แต่กล่าวไปตามเรื่องตามราวว่า
“ได้ยินพี่โจวเล่ามา แสดงว่ามีข้างนอก?”
“เมืองจี้โจวเป็นพื้นที่สำคัญ ในวังย่อมส่งสายไปไม่น้อย ระยะยังใกล้ ไปมาเมืองจี้โจวเกือบทุกเรื่องก็เป็นที่รู้ในวัง ชีจี้กวงขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่กี่ปี ก็รบกับพวกนอกด่านไปสองครั้ง ทหารย่อมล้มตาย มีนายกองพันผู้หนึ่งรบตายไป ทิ้งภรรยาเอาไว้ บิดามารดาล้วนไม่มี ไม่มีบุตร เป็นหญิงม่ายตัวคนเดียว แต่เป็นหญิงม่ายที่งดงามอรชร เรียกได้ว่าเป็นสาวงาม หลังนายกองพันผู้นั้นจากไป หญิงม่ายผู้นี้อยู่ๆ ก็ตั้งครรภ์”
ตั้งครรภ์สิบเดือน หนึ่งปีหลังจากนี้เป็นอย่างไร หวังทงก็เข้าใจแล้ว ผู้ชายดูแลครอบครัว ผู้หญิงตัวคงเดียวทำอันใดไม่ได้มาก โจวอี้เล่าต่อว่า
“นายกองพันผู้นั้นมีพี่น้องทหารที่สนิทกัน ย่อมไม่ยอม คิดจะมาสืบหาความกระจ่าง แต่ก็ถูกส่งออกนอกพื้นที่ไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจกลับมาได้อีก ในเมืองจี้โจวเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็สร้างกระแสคลื่นลมได้พอสมควร แต่ก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว ถูกคนปิดข่าวในเวลาไม่นาน หญิงม่ายผู้นั้นใช้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ ที่พักก็เป็นเรือนหลายชั้น ยังมีสาวใช้ปรนนิบัติ กลายเป็นผู้มีฐานะในเมืองจี้โจว พอลูกคลอดออกมาก็คือฉีอู่ผู้นี้”
หวังทงหันไปมอง วาจากล่าวถึงบัดนี้ ที่ควรเข้าใจก็ควรเข้าใจได้แล้ว พอกล่าวเช่นนี้ หน้ำตาฉีอู่ก็เหมือนกับชีจี้กวงอยู่หลายส่วน
“ตอนฉีอู่อายุหกขวบ ทหารประจำตัวชีจี้กวงยังมาสอนยุทธ์ให้ กล่าวเพียงว่าเห็นแก่นายกองพันผู้นั้นที่จากไป แต่ในวังมีคนกลับมารายงานว่า คนเก่าแก่ของชีจี้กวงล้วนบอกว่าหน้ำตาฉีอู่เหมือนกับชีจี้กวงตอนเด็ก น้องหวัง เจ้าลองคิดถึงชื่อนี้ดู”
“ฉี ชี……หากไม่ใช่เมื่อครู่เห็นเขาเน้นน้ำ ข้ายังคิดว่าเขาแซ่ ชี”
ทหารคนสนิทใช้แซ่เดียวกับแม่ทัพตน ก็เป็นเรื่องไม่แปลก พากันเปลี่ยนแซ่ถือว่าเป็นเรื่องมีเกียรติ โจวอี้ยิ้มกล่าวว่า
“นายกองพันผู้นั้นแซ่กง ฉีอู่เข้าเป็นทหารของชีจี้กวง ก็เปลี่ยนแซ่เป็น ชี แต่ภรรยาเอกชีจี้กวงเห็นเข้า แม้ไม่รู้สาเหตุแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงให้เขาเปลี่ยนแซ่ หากก็มิได้เปลี่ยนไปแซ่ กง ดังเดิม เพียงเปลี่ยนเป็นอักษร ฉี”
หวังทงบนม้าส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า
“เรื่องพวกนี้สามารถเอามาเป็นเรื่องเล่าในร้านน้ำชาเมืองหลวงได้เลยนะเนี่ย ยังไง ใต้หล้าล้วนรู้ แต่ภรรยาแม่ทัพชีไม่รู้งั้นหรือ?”
“เรื่องส่วนตัวแม่ทัพใหญ่เมืองจี้โจว คนเมืองจี้โจวไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเพราะคนในวังจับตาดูเรื่องนี้มาก จึงได้รู้รายละเอียดมา แต่ว่านะ ชีจี้กวงอย่างไรก็กลัวภรรยา ภรรยาน้อยสองบ้านนั้นว่ากันว่าทำเอาครอบครัวปั่นป่วนไปหลายเดือน มารดาฉีอู่จากไปเร็ว จึงไม่ต้องบอกกล่าวแก่ภรรยาเอก”
ในวังมีสายมาก วาจากล่าวกระจ่างเช่นนี้ได้ก็เพราะส่งขันทีไปควบคุมการทำงานกองทัพอีกทางและยังมีขันทีติดตามไปอีกจำนวนหนึ่ง จับตาดูเมืองจี้โจวไว้ เรื่องลับของแม่ทัพใหญ่ ย่อมเป็นเรื่องที่พวกเขาสนใจ แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องพูดให้หมดหวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ฉีอู่เป็นบุตรชายลับของชีจี้กวง เรื่องในวังนอกวังคงรู้กันหมดแล้ว หากติดตามข้า ไม่รู้จะทำให้เกิดเรื่องอันใดหรือไม่”
โจวอี้ยิ้มระรื่นอย่างไม่ยี่หระกล่าวว่า
“คนอื่นอายุเท่าน้องหวังก็ทำการไม่ระวังเท่าไร น้องหวังนี่ไม่เหมือนอายุเท่านี้เลยนะ หากชีจี้กวงยังอยู่ในตำแหน่งที่เมืองจี้โจว ย่อมไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ก็ไม่เท่าไร แม้ทุกคนรู้ ก็คงได้แต่ชมเชยน้องหวังว่ามีคุณธรรมและใจกว้าง!!”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ไม่กล่าวอันใดต่อ ส่วนเรื่องการรบที่ชีจี้กวงเสนอมานั้น สองฝ่ายไม่กล่าวถึง เรื่องนี้พัวพันใหญ่หลวง ต้องรอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัย
ระหว่างทางพักที่ร้านดื่มน้ำซุปกับอาหารแห้งให้อิ่มท้อง ผ่านมื้อกลางวันไป พระอาทิตย์เพิ่งจะค่อนไปทางตะวันตก ก็ถึงประตูฉงเหวินเหมินแล้ว
บังเอิญมาก พอถึงก็เห็นทหารองครักษ์เสื้อแพรคุมตัวคนสิบกว่าคนที่กำลังคอตกหมดหวังเข้าเมองมา หวังทงเริ่มจำได้ เห็นหนึ่งในสิบคนที่คอตกนั้นแล้ว มีหลายคนเห็นเมื่อเช้า หันไปออกคำสั่งให้ทหารติดตามเข้าไปสอบถาม
พอเข้าไปแสดงตัว องครักษ์เสื้อแพรทางนั้นก็ตอบมากระจ่าง จากนั้นก็จากไป ที่แท้ตอนกลางวันสายสืบกองลาดตระเวนปะปนออกจากเมืองหลวงไปด้วย พบว่าบ้างก็ไปอำเภออื่นเมืองอื่น บ้างก็หลบซ่อนตัวอยู่ในโรงบ้านนอกเมืองหลวง สืบไปสืบมา จึงได้พบกว่าโรงบ้านที่ให้แหล่งกบกานมักมีรถม้าเข้าออก
โรงบ้านนี้ทำนา ปกติมีรถม้าเข้าออกทำไมกัน มีเหตุน่าสงสัยจึงได้ส่งคนเข้าไปสืบ จับกุมคนพวกนี้เอาไว้ พอถามก็พบว่าเป็นโรงบ้านของขุนนางหนึ่งในหกกรมกอง คนงานโรงบ้านกับคนในเมืองสบคบคิดกันขโมยม้าและวัวในเมือง จากนั้นส่งมาขายโรงบ้านนอกเมือง
ขโมยม้าและวัวเป็นความผิดใหญ่ จับได้นับเป็นความชอบใหญ่ ต้องได้รางวัลจากทางการก้อนโต ทหารกลุ่มนี้จึงดีใจอย่างมาก
หวังทงหันไปยิ้มกับโจวอี้กล่าวว่า
“เทียนจินมีเรื่องเล่าตลกเรื่องหนึ่ง ว่าเมืองหลวงหากกำทรายปาออกไปสาดสิบคน เก้าคนต้องเป็นขุนนาง อีกคนย่อมเป็นคนมีความดีความชอบ จับโจรย่อมเกี่ยวพันถึงขุนนางพวกนี้ น่าสนุกจริง”
ทหารประตูเมืองรู้ว่าโจวอี้กับหวังทงเป็นขุนนางชั้นสูง ไม่กล้าขวางทาง ได้แต่คำนับยิ้มให้ โจวอี้ไม่สนใจ หันไปยิ้มให้หวังทงกล่าวว่า
“ขุนนางตัวเล็กๆ มาพัวพันกับเรื่องพวกนี้ คงต้องรีบคิดหาทางสลัดความสัมพันธ์นี้แล้ว ไหนเลยจะคิดเรื่องอื่นได้ แต่ในเมืองนอกเมืองก็เป็นแบบนี้มาก ลูกน้องทำเรื่องผิดกฎหมาย เจ้านายอาจไม่รู้ พอเกิดเรื่อง เจ้านายก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบ ต้องพลอยซวยไปด้วย”
สองคนคุยกันเรื่อยจนมาถึงถนนทักษิณ เข้าไปในหอรุ่งเรืองหาโต๊ะนั่ง โจวอี้ส่งฎีกาให้หวังทงกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง หากอ่านแล้วไม่ขัดข้องก็ลงนาม ข้าจะได้ทูลเกล้าฝ่าบาท”
ผู้ติดตามทั้งหลายก็ตามเข้ามาด้วย สองฝ่ายย่อมทำงานเป็นการเป็นงาน คำเรียกขานก็เปลี่ยนไป หวังทงรับฎีกามาอ่านแต่ต้นจนจบโดยละเอียดแล้วก็หยิบพู่กันขึ้นมาลงนาม
“ข้าจะเข้าวังไปทูลรายงานเลย ใต้เท้าหวัง เรื่องนี้ยังไม่จบ ฝ่าบาทอาจทรงถามอีก ใต้เท้าหวังเตรียมตัวด้วย”
“ขอบคุณโจวกงกงที่เตือน”
หวังทงยิ้มลุกขึ้นส่ง ในใจเขาไม่ได้คิดว่าในวังจะอย่างไร แต่คิดถึงเรื่องที่ชีจี้กวงพูดมากกว่า ไม่ว่าความคิดในโลกก่อนหรือโลกนี้ พวกทุ่งหญ้านอกด่านเป็นภัยใหญ่ของแผ่นดินหมิงมาโดยตลอด ชีจี้กวงวิเคราะห์ได้มีเหตุผล สถานการณ์ตอนนี้เทียบกันแล้ว มีผลดีต่อแผ่นดินหมิงมากกว่า หากจัดการพวกทุ่งหญ้านอกด่านเผ่าใหญ่ๆ พวกนั้นลงได้ ก็ย่อมเป็นผลดีต่อแผ่นดินและชาวประชาหมิงให้สงบสุขยาวนานสืบไป
พอเสร็จงานนี้ หวังทงก็ไปที่ห้องทำงานของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตั้งแต่ในวังมีราชโองการมา หลังหวังทงยื่นฎีกา สถานะหวังทงในหมู่องครักษ์เสื้อแพรก็มั่นคงอย่างไม่อาจสั่นคลอน ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกงแค่รูปปั้น หวังทงถึงจะเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริง มีอำนาจสั่งการแท้จริง
ห้องทำงานหวังทงเดิมอยู่ทางด้านข้างปลายๆ พื้นที่แคบมาก ย่อมเป็นเพราะพวกเหรินต้าถงจงใจกลั่นแกล้ง แต่พอสถานะชัดเจน ลั่วซือกงในตำแหน่งนี้ก็ไม่รอช้า เดิมในที่ทำการ นอกจากผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรจะเป็นเรือนเดี่ยวแล้ว รองทั้งสองกับผู้ช่วยทั้งสองก็แบ่งกันคนละห้องรวมเป็นอีกหนึ่งเรือน แต่พอเล็งที่ทำงานให้หวังทงได้แล้วก็เริ่มก่อสร้างครั้งใหญ่ ขยายเรือนเดี่ยวของผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอีกสองเท่า กลายเป็นร่วมใช้เรือนใหญ่กับลั่วซือกง เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็รู้กัน แสดงถึงสถานะของหวังทง
แม้หวังทงจะปฏิเสธหลายครั้ง แต่คนในสำนักองครักษ์เสื้อแพรยังคงยืนยันเหมือนกันทุกคน จึงได้แต่มาทำงานที่นี่ พอนั่งลงก็ย่อมมีอาลักษณ์นำเอกสารที่ต้องจัดการในวันนี้เข้ามาให้อนุมัติ พอเสร็จงาน ลั่วซือกงก็เดินเข้ามาทักทายหวังทง ยิ้มกล่าวว่า
“เมื่อครู่กุ้ยกงกงในวังมาขอบคุณ บอกว่าปีก่อนม้าหายไปหาเจอแล้ว ปีก่อนหลานทำม้าหายไปที่หอฝูโซ่ว เมืองหลวงวุ่นวายเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้โจรขโมยม้าจะมาถูกจับได้ว่าเอาไปขายที่เมืองไคเฟิง โจรพวกนี้พอโดนจับได้ก็หวาดกลัวสารภาพมาหมดเพื่อทำความดีชดเชย”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า ขโมยวัวม้า กุ้ยกงกงระดับนี้ม้าหายยังเสียดายเช่นนี้ หากเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ทำม้าหายไป จะเป็นเรื่องใหญ่เพียงใดกัน
“ใต้เท้าหวัง หลังการโบยหนัก ทำให้ทหารในพระองค์เช่นองครักษ์เสื้อแพรเราตอนนี้ได้ยืดอกเดินได้อย่างภาคภูมิแล้ว ล้วนเป็นเพราะใต้เท้าหวังโดยแท้!”
“ท่านชมเกินไปแล้ว วันหน้าเรียกข้าว่าหวังทงก็พอ ให้ท่านมาเรียกใต้เท้าได้อย่างไร”
ลั่วซือกงไพล่มือยิ้มตาหยี กล่าวว่า
“ท่านสร้างผลงานใหญ่เช่นนี้ ยังไม่อวดบารมี วันหน้าอนาคตย่อมยาวไกลไร้ประมาณ เกรงว่าไม่กี่วัน ข้าก็คงต้องเรียกท่านว่า ใต้เท้า จริงๆ แล้ว มีอันใดไม่ได้กัน ท่านทำงานท่านไปเถอะๆ”
หวังทงเกรงใจต่อลั่วซือกง ไม่ได้แตะต้องตำแหน่งลั่วซือกงตอนนี้ ในสายตาคนนอก เรียกได้ว่าหวังทงรู้ขอบเขต เป็นคนมีคุณธรรม ลั่วซือกงย่อมรู้น้ำใจนี้ ตอนนี้เห็นองครักษ์เสื้อแพรรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่มาจากองครักษ์เสื้อแพรเหมือนกันก็ย่อมรู้สึกเป็นเกียรติไปด้วย มีโอกาสจึงต้องมาแสดงความเป็นมิตร ตนเองแม้ไม่ได้พึ่งพาบารมี แต่วันหน้าลูกหลานก็อาจต้องพึ่งพา
ยุ่งมาทั้งวัน พอกลับถึงบ้าน หวังทงก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก พอนั่งลงบนเก้าอี้ ถานเจียงก็เดินเข้ามากระซิบเบาๆ ว่า
“นายท่าน ฉีอู่ที่เพิ่งมาวันนี้บอกว่าจะต้องมาขอพบนายท่านเพื่อขอบคุณที่นายท่านรับไว้”