ตอนที่ 708 ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเงียบวาจาไหนเลยจะมีเงินทอง
หวังทงกล่าวมาได้อย่างกินใจ และยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ในห้องเงียบลงอีกครา นอกจากเจ้าจินเลี่ยงที่มองซ้ายทีขวาทีแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนกำลังคิดหนัก
ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงและโจวอี้ล้วนสนิทกับหวังทง แต่คนมาถึงตำแหน่งนี้แล้ว เรื่องสัมพันธ์ส่วนบุคคลย่อมเป็นเรื่องรอง กับใต้หล้าย่อมเป็นคนละเรื่องกัน
ที่หวังทงกล่าวมาล้วนเป็นเรื่องจริง การรบไม่มีปัญหา การตัดสินใจเกิดขึ้นแล้ว ลำดับถัดมาก็คือหวังทงกับกองกำลังหู่เวยแล้ว กองกำลังหู่เวยตั้งมาไม่ถึงหกปี เกี่ยวพันกับฝ่ายต่างๆ น้อยมาก หวังทงก็คิดเช่นนี้ เขามาจากพลทหารองครักษ์เสื้อแพรสู่ตำแหน่งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ถึง 10 ปี นอกจากสายสัมพันธ์กับคนในวังแล้ว นอกวังก็ล้วนไม่มี
ตัวคนเดียวเช่นนี้ออกรบ หากชนะย่อมเป็นความยินดียิ่ง หากไม่ชนะ ราชสำนักก็ไม่เสียหายอันใด ถึงกับแม้แต่ความรับผิดชอบก็ไม่ต้อง
ฮ่องเต้ว่านลี่ว่าราชการด้วยพระองค์เองตอนนี้ ไม่อาจขาดความจงรักภักดีและการสนับสนุนจากหวังทงไปได้ ขันทีที่นี่ทั้งจางเฉิง โจวอี้ หรือแม้กระทั่งเจ้าจินเลี่ยง ตอนนี้ก็มีสถานะมั่นคงในวังแล้ว ร่วมตัวเป็นพรรคพวกกับหวังทงหรือไม่ ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานะพวกเขาในตอนนี้
กล่าวแล้งน้ำใจหน่อยก็คือหากหวังทงไม่อยู่แล้ว กิจการที่เขาทิ้งไว้ กลับทำให้ทุกคนได้ประโยชน์ใหญ่ ในที่นี่ทุกคนไม่ว่าคิดเช่นไรก็ย่อมไม่กล่าวออกมา แต่หลังจากเงียบไปนาน สายตาทุกคู่ที่หันไปทางฮ่องเต้ว่านลี่
เมื่อก่อนหวังทงคุกเข่า ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ให้เขาคุกเข่านาน มักตรัสขึ้นว่า ‘คุกเข่าทำไมกัน ยืนขึ้นตอบ’ แต่วันนี้กลับไม่ตรัสอันใดเพราะกำลังตกในภวังค์ความคิด
รู้ว่าฮ่องเต้กำลังชั่งผลดีผลเสีย ทุกคนล้วนรอคำตอบ แต่ทว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าคิดอย่างไร ก็ล้วนได้คำตอบแล้ว ส่งกองกำลังไปมีแต่ได้ประโยชน์มากกว่าเสีย และยังประโยชน์ใหญ่อีกด้วย
“เจ้าลุกขึ้น”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงเข้ม พระหัตถ์ก็เอื้อมไปประคอง พอหวังทงยืนขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงนิ่งต่ออยู่นาน สักพักจึงตรัสขึ้นว่า
“แม้ไม่ใช่การรบใหญ่ แต่การเคลื่อนกำลังชายแดน ก็ยุ่งยาก เคลื่อนกำลังรบ คณะเสนาบดีใหญ่ กรมทหาร กรมอากร เมืองต้าถงและเมืองเซวียนฝู่รวมถึงเมืองต่างก็ต้องเคลื่อนไหว ราชสำนักก็คงไม่อาจให้เรื่องนี้ผ่านไป แค่ทะเลาะกันก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าไร ที่ยุ่งยากก็คือ เรื่องนี้หากทำไม่สำเร็จ เกรงว่าสุดท้าย คงหันไปกระทบเจ้าแทน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ทุกคนในห้องก็รู้ผลการตัดสินแล้ว ฮ่องเต้ไม่ตรัสว่าการรบนี้มีปัญหาอันใด แต่ตรัสว่าจะเปิดศึกแต่มีปัญหาอยู่ ก็คือเหมือนว่าปล่อยให้หวังทงคิดแผนไปได้แล้ว แต่ตอนนี้ต้องคิดรายละเอียดให้รอบคอบ จางเฉิงกับโจวอี้สบตากัน มองไปยังจำงจิง สามคนล้วนก้มหน้าลงเล็กน้อย ในเมื่อหวังทงออกปากขอไปรบเอง ฮ่องเต้ก็มีท่าทีเช่นนี้ ทุกคนย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใด
“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลไป เรื่องนี้ไม่รีบในตอนนี้ ปีสองปีนี้ยังได้อยู่ แม้ว่าทหารสงบนานวันจะเกียจคร้าน แต่สามปีนี้ยังไม่ต้องกังวล ในสามปี อย่างไรคอยจังหวะได้อยู่ ถึงตอนนั้นค่อยขอพระราชทานพระอนุญาต”
ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ พยักพระพักตร์ ในห้องไม่กล่าวอันใด เงียบไปพักหนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หยิบฎีกาขึ้นมาพร้อมกับแผนที่ตรัสว่า
“เรื่องที่หารือกันวันนี้อย่าได้แพร่ออกไป ไม่เช่นนั้นพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวปากมากย่อมจับตาเรื่องนี้ไม่ปล่อย!”
ทุกคนถวายคำนับรับพระบัญชา กล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่มีเรื่องให้คุยกันต่อแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่กลับตำหนัก หวังทงทูลลา จางเฉิงย่อมตามเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่ จางจิงกลับสำนักส่วนพระองค์ โจวอี้ตามหวังทงไปด้วย
ขันทีน้อยที่นำทางหวังทงออกไปรู้ว่าหวังทงคือผู้ใด สถานะโจวอี้ในวังย่อมไม่ต้องพูดถึง เห็นสองคนมีวาจำต้องการสนทนา เขาย่อมรู้งานเดินนำไปด้านหน้า
โจวอี้กับหวังทงสองคนกลับเงียบไป ก่อนโจวอี้จะกล่าวว่า
“น้องหวัง เรื่องนี้ พี่ไม่รู้ว่าควรกล่าวเช่นไร ตอนนี้ชายแดนสงบสุข ชีจี้กวงยินยอมออกมากราบทูลเรื่องนี้อย่างไม่หวั่นเกรงภัย ก็เรื่องของเขา เราพี่น้องไยต้องสนใจด้วย นำทัพออกรบ นอกจากอันตรายแล้ว ไม่มีเรื่องดีอันใด หากเกิดเหตุสูญเสียไม่เพียงแต่ทำลายชื่อเสียง ถึงตอนนั้นกลับตัวก็ไม่ทัน เจ้าไยต้องลำบาก……”
“ฝ่าบาทแม้ต้องการให้พวกเราเก็บเป็นความลับ แต่เกรงว่าใต้เท้าเซินกับใต้เท้าอีกสองท่านนั้นคงไม่คิดเช่นนี้ สองวันนี้คงมีเรื่องวุ่นวายแล้ว!”
หวังทงไม่ตอบรับคำโจวอี้ ได้แต่ยิ้มกล่าวขึ้น ได้ยินเขาว่ามาเช่นนี้ โจวอี้ก็ไม่พูดต่อ ได้แต่ถอนหายใจ
***********
ฮ่องเต้เรียกพบส่วนพระองค์ ไม่ใช่การประชุมงานแผ่นดินปกติ มหาอำมาตย์เซินสือหัง เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนกับเสนาบดีกรมอากรหวังหลินก็รู้ดี แม้ว่าคิดจะวิจารณ์โจมตี หรือต้องการจัดการคนผู้นี้ ก็ย่อมต้องคิดให้มาก ไม่อาจทำเปิดเผย
และเรื่องนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงบอกที่มาที่ไป ทุกคนก็ไม่อาจกล่าวโจมตีด้วยอ้างการคาดเดาไปเอง ไม่มีเป้าโจมตี และไม่อาจเป็นปรปักษ์กับฮ่องเต้ว่านลี่ได้ ดังนั้นปลายเดือนห้าถึงต้นเดือนหก ข่าวฮ่องเต้ต้องการเปิดศึกชายแดน ก็มีเพียงการแพร่ข่าวเล็กๆ ในวง และขุนนางใหญ่ก็มักจะเอ่ยอ้างถึงจิ๋นซีฮ่องเต้กับจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ที่รบจนแผ่นดินยากแค้น ชัยชนะใหญ่ แต่ทำให้ประเทศต้องสั่นคลอน เหมือนอาศัยเรื่องนี้มาเสียดสีการรบ
ทุกครั้งที่พูดเช่นนี้ แม้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะรำราญพระทัย แต่ก็ไม่ทรงแสดงปฏิกิริยาอันใด ทำเป็นไม่เข้าใจ ทุกคนรู้สึกหมดสนุก นานวันเข้า ก็กลายเป็นการสรรเสริญมหาอำมาตย์กับเสนาบดีอีกสองท่านว่ากล้าทูลตรงไปตรงมาทำให้ฮ่องเต้เลิกล้มพระทัย แต่ความจริงเป็นเพราะข่าวจริงเท็จยังไม่อาจบอกได้ จึงไม่ทำให้เกิดคลื่นลมแรงนัก
ถึงเดือนหก ทหารองครักษ์เสื้อแพรสองนายในชุดเต็มยศเดินลาดตระเวนบนท้องถนน กลายเป็นภาพประจำเมืองหลวงไปเสียแล้ว แต่คนนอกมาเห็นครั้งแรกก็ย่อมตกใจ จากนั้นก็รู้ว่าเป็นระเบียบการลาดตระเวนของเมืองหลวง
หลังจัดโบยหนักถึงตอนนี้ พวกหัวขโมยตัวเล็กๆ ก็หายไปจากท้องถนนและตรอกซอกซอย พวกต้มตุ๋นและพวกชุมนุมก็หายไปหมด องครักษ์เสื้อแพรคิดจับกุมผู้ใด ส่วนใหญ่ก็หนีไม่รอด
เริ่มเก็บกวาดเดือนแรก ก็ทำให้มีแรงงานจำนวนมากถูกส่งไปยังโรงบ้านที่เทียนจิน บางคนหากินง่ายจนเคยตัว ไม่เคยทำงานหนัก หลายคนยังดุร้าย ปกติเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนไม่กล้ายุ่งด้วย คนพวกนี้พอไปอยู่โรงบ้านใหม่ๆ ก็ย่อมไม่อาจทำงานใช้แรงงานได้
แต่พอผ่านไปหนึ่งเดือน ทุกคนไม่ว่าก่อนมาสถานะใด นิสัยใด ก็ล้วนทำงานใช้แรงงานไปอย่างไม่กล้าปริปากบ่น
จะรักสบายเพียงใด จะดุร้ายเพียงใด ต่อหน้ากองกำลังหู่เวย หน่วยรักษาความปลอดภัย หรือทหารองครักษ์เสื้อแพร ก็เป็นได้แค่สุกรตัวน้อย ปกติไม่เชื่อฟังก็ถูกกระบองและแส้หนังฟาด หากยังคิดก่อเรื่องอีก ก็จะใช้ดาบแทน หรืออาจต้องให้ทหารม้าชุดเกราะออกโรงจัดการหนัก
ทุกโรงบ้านล้วนมีหอปืนใหญ่ ปืนประสุนสามชั่งตั้งอยู่ หากยังคิดการไม่ดี เห็นปืนใหญ่ เกรงว่าคงต้องหนาวสันหลัง จึงต้องตั้งใจทำงานชดใช้ความผิดไปแต่โดยดี
องครักษ์เสื้อแพรจับกุม ศาลซุ่นเทียนตัดสินคดี คนที่ถูกจับมีมากยิ่งกว่ามาก แต่ตัดสินคดีรวดเร็ว ความผิดแต่ละอย่างกำหนดโทษชัดเจน หากไม่ใช่โทษที่ต้องไต่สวน ส่วนใหญ่ก็จะโบยไม้ โบยแส้ จากนั้นส่งไปขังที่โรงบ้านใช้แรงงาน เรื่องนี้มีคนตั้งชื่อเรียกว่า ‘ใช้แรงงานชดใช้ความผิด’
หากทะเลาะวิวาทกันในร้านน้ำชาร้านสุราในเมืองหลวงตอนนี้ มีเรื่องชกต่อยกลางถนน ก็ล้วนมีคำพูดติดปากใหม่ว่า ‘ถ้ายังก่อเรื่องอีก ระวังจะส่งเจ้าไปเทียนจินทำความดีชดใช้ความชั่ว!’ หมายถึงว่า ‘ไปใช้แรงงานชดใช้ความผิด’ เทียนจินได้แรงงานไปใช้ วิธีนี้ทำให้หลายหน่วยงานคิดทำตาม จะได้ไม่ต้องเปลืองงบในคุก ต้องใช้เงินเลี้ยงดูนักโทษ เลี้ยงตายไปยังต้องรับผิดชอบอีก
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หวังทงกังวลไม่เกิดขึ้น เพราะตอนนี้จากรายงานที่ได้มาบอกว่าตอนนี้เมืองหลวงไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าสร้างกระแสโจมตี ไม่ใช่เรื่องง่าย สาเหตุก็ง่ายมาก เรื่องนี้เพราะหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงไม่คิดหาเรื่องใส่ตัว เขาสองคนวางมือ ย่อมยากก่อกระแส
แต่เรื่องนี้ทำให้หวังทงต้องมองความสามารถของหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงใหม่ สองคนไม่อาจเรียกได้ว่าตำแหน่งสูง แต่กลับมีความสามารถทำได้เพียงนี้
ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวระดับล่างพวกนี้อย่างไรก็นับพันคน หากไม่กล่าววาจาสะเทือนเมืองหลวงเสียบ้าง เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่อาจเลื่อนตำแหน่งให้สูงกว่านี้ได้ อย่างไรก็ย่อมมีคนคิดกล่าววาจาเกินจริงเพื่อตำแหน่ง
นายกองเว่ยหยุนเจินแห่งสำนักตรวจสอบมณฑลซานซี วันที่ 7 เดือนหกยื่นฎีกา ในฎีกามีสี่เรื่อง เรื่องแรกก็คือ ขุนนางบุ๋นบู๊ควรรักษาระเบียบแบบแผน ขุนนางบุ๋นบริหาร ขุนนางบู๊นำกำลัง ล้วนต้องทำตามแบบแผนปฏิบัติ เรื่องที่สอง กล่าวว่า การสอบขุนนางต้องยุติธรรม ไม่ควรอาศัยว่าเป็นศิษย์ผู้ใดหรือมีผู้ให้การสนับสนุนหรือรับฝากจากชั้นชั้นสูงแล้วจะมาปรับเปลี่ยนผลสอบ สำนักตรวจสอบยื่นฎีกาเป็นเรื่องจริง เพื่อขุนนางทั่วแผ่นดิน การสอบควรระวังคำครหานินทา เรื่องที่สาม ต้องระวังในการเลื่อนตำแหน่งขุนนางให้รอบคอบ นายกองและเจ้ากรมต้องคัดเลือกผู้มีความสามารถ กล้าหาญ เชี่ยวชาญ รู้การทำงาน ซื่อสัตย์ เรื่องที่สี่ การรบทัพจับศึกต้องระมัดระวังรอบคอบ อย่าได้กล่าวเรื่องนี้ออกมาอย่างไม่คิดให้ดี
เรื่องหนึ่งและสามก็พูดได้ดีมีเหตุผล แต่เรื่องที่สี่เห็นชัดว่าเป็นข่าวที่แพร่กันอยู่ระยะนี้ แต่ทุกคนในเมืองกลับสนใจประเด็นสอง
ตั้งแต่จางจวีเจิ้งบริหารแผ่นดินมา จางจวีเจิ้ง หลี่ว์เถียวหยาง(รองอำมาตย์ในตอนนั้น) จางซื่อเหวยมาถึงเซินสือหังในตอนนี้ บุตรชายพวกเขาล้วนสอบได้คะแนนดี ล้วนมีความสามารถทำงอักษรพู่กันลายมืองาม บางคนอาจเป็นเช่นนั้นจริง บางคนก็ไม่แน่ การสอบขุนนางครั้งหนึ่ง รายชื่อที่สอบได้จิ้นซื่อมีไม่มาก กลับถูกลูกหลานขุนนางและชนชั้นสูงครองไปเกือบหมด ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวที่สอบมาด้วยตนเองไหนเลยจะยินยอม
ลูกหลานชนชั้นสูงครองตำแหน่งไป ตำแหน่งกลุ่มพวกเขาก็น้อยลง ทำให้พวกเขาไม่อาจทนต่อไปได้ มีคนเปิดโปงมา ทุกคนก็เริ่มประสานเสียงรับร้องเรียนไปทั่ว
คณะเสนาบดีใหญ่ไม่ตอบเรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่มีคำตัดสินโทษอย่างรวดเร็ว เว่ยหยุนเจิน งความคิดเห็นส่วนตนเลอะเทอะ กล่าวมากความเกินจริง’ ขับไล่จากเมืองหลวงปลดไปเป็นเจ้าหน้าที่สืบคดีที่เมืองสวี่โจว
ที่ทุกคนตอนนี้กำลังสนใจ หาใช่หวังทง……