Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 709

ตอนที่ 709 ปฏิบัติการโบยหนักหลายเดือน ป้ายประกาศเกียรติคุณส่งถึงที่

องครักษ์เสื้อแพรพกดาบออกปฏิบัติหน้าที่ ขุนนางเมืองหลวงย่อมเห็นแล้วขัดตา บ่นสองคำแค่ว่า ‘จิ้งจอกขวางทาง เมืองหลวงไร้ความสงบสุข’ แต่การปรับระบบรักษาความปลอดภัยทำให้ราษฎรเมืองหลวงเห็นกันอยู่ ย่อมรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ราษฎรเห็นด้วยตารู้ด้วยตนเองกันมาก แต่ไม่ว่าจะว่าดีอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเสียงราษฎร

กล้ามาก่อเรื่องในเมืองหลวง กล้าฝ่าฝืนกฎ เบื้องหลังย่อมมีผู้ใหญ่ยิ่งหนุนหลัง องครักษ์เสื้อแพรลงทัณฑ์ไม่ไว้หน้า ย่อมล่วงเกินคนไม่รู้เท่าไร

ตอนนี้ขจัดเว่ยหยุนเจินไป เกรงว่าคลื่นระลอกต่อไปก็คงโจมตีองครักษ์เสื้อแพรกับหวังทง หากก็แค่เห็นหวังทงแล้วขัดหูขัดตาเท่านั้น ส่วนเรื่องลูกหลานขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงสอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อต่างหากที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของทุกคน

วงการขุนนางหมิงใส่ใจเรื่องคนจากบ้านเกิดเดียวกันที่สุด บ้านเกิดเดียวกันย่อมช่วยเหลือกัน การได้ครองตำแหน่งจิ้นซื่อได้มากก็เท่ากับได้เสริมรากฐานบ้านเกิดตน หากไม่มี ก็เท่ากับตัดอิทธิพลของตนเองในวันหน้า หรือถึงขั้นส่งผลต่อการเลื่อนตำแหน่งและเงินทองในวันหน้า เรื่องนี้ต้องจัดการให้กระจ่างให้ได้

แน่นอน บุตรชายหนิงซีป๋อถูกลงทัณฑ์กลางถนน จากนั้นส่งไปโรงบ้านเทียนจิน ‘ใช้แรงงานชดใช้ความผิด’ เป็นที่สะเทือนหลายคน หวังทงช่างไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินจริงๆ

พอเว่ยหยุนเจินยื่นฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นชัดว่าไม่ทรงอยากให้เรื่องนี้บานปลายยาวนาน จึงลดตำแหน่งเว่ยหยุนเจินและขับไล่ออกจากเมืองหลวง

เว่ยหยุนเจินครั้งนี้เดิมพันถูก หากยังอยู่ตำแหน่งเดิมที่มณฑลซานซีค่อยๆ ก้าวขึ้นมา ยังไม่รู้ว่าจะได้ก้าวหน้าเมื่อใด แต่ครั้งนี้ใต้หล้าล้วนยกย่อง พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวต่างพากันยกย่องว่ากล้ากล่าววาจาตรงไปตรงมา ตอนเขาออกจากเมืองหลวง ว่ากันว่าขุนนางสำนักตรวจสอบและหกกรมพากันมาส่ง บรรยากาศยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องใหญ่ที่เมืองหลวงหลายปีนี้ไม่ค่อยได้เกิด

วันที่ 11 เดือนหก เว่ยหยุนเจินถูกลดตำแหน่งขับไล่ออกจากเมืองหลวง บ่ายวันนั้น นายกองพันจางซื่อเฉียงแห่งองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินกับซุนต้าไห่ และหัวหน้าในร้านสามธาราหลายคนก็มากันที่จวนของหวังทง พวกเขามาเมืองหลวงคารวะหวังทง ย่อมมาคุยเรื่องงาน ด้านนอกทหารอารักขาถอยห่างออกไป

วันที่ 10 เดือนหกก็มาแล้ว หวังทงจัดเลี้ยงต้อนรับ วันรุ่งขึ้นไม่ว่านอกประตูเมืองเอะอะส่งเว่ยหยุนเจินกันให้วุ่นวายเพียงใด ก็ไม่สน จวนหวังทงปิดประตูเงียบคุยงาน คุยกันจนถึงยามเที่ยง

ในจวนคุยเรื่องงานอยู่ หวังทงมีระเบียบมาก รอบๆ ห้องไม่ให้มีคนอยู่ มาส่งน้ำชาก็ต้องตะโกนรายงานก่อน ล้วนเป็นคนร้านสามธาราออกมารับน้ำชาเข้าไป

พอเที่ยง ถานเจียงรีบเร่งห้องครัวให้ทำอาหารง่ายๆ สองสามอย่าง พอดีกับโหววั่นไฉมาถึงอย่างเร่งรีบ มาถึงหน้าประตูกล่าวว่า

“ฮูหยินรองเจ้ากรมหลัวมาที่ทำการเรา ขอเชิญใต้เท้าหวังรีบไปด่วน!”

วาจานี้สร้างความงุนงงให้ทุกคน ไม่พูดถึงว่าตอนนี้ในหกกรมกองไม่มีรองเจ้ากรมแซ่หลัว ฮูหยินจากจวนขุนนางระดับสูง ออกหน้ามาที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรทำไมกัน

แต่ก็แค่ไปที่ทำการ ตนเองไปดูสักหน่อย หันไปสั่งให้จัดอาหารกลางวันให้คนจากเทียนจิน หวังทงรีบออกไปคนเดียว ตอนนี้โหววั่นไฉเป็นหูเป็นตาของหวังทงในสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีเรื่องอันใดแม้เพียงลมแตะยอดหญ้า โหวเจินแห่งกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรก็จะให้โหววั่นไฉมาบอก ไปๆ มาๆ สถานะโหววั่นไฉในสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เริ่มลอยขึ้นตามน้ำ เหมือนดังสำนวนที่ว่าจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ แต่อย่างไรก็ทำงานได้รอบคอบ หวังทงจึงยังคงใช้งาน

“ฮูหยินตราตั้งของรองเจ้ากรมหลัว ข้าจำได้ว่าหกกรมกองไม่มีคนแซ่หลัว?”

“เรียนใต้เท้า ตอนนี้ไม่มีจริง คือว่า สมัยเสด็จมู่จงมีรองเจ้ากรมอากรผู้หนึ่งป่วยจากไปตอนยังอยู่ในตำแหน่ง ครอบครัวเป็นคนอำเภอต้าซิง ก็เลยอยู่เมืองหลวงต่อ”

ขุนนางยามกล่าวถึงฮ่องเต้ ห้ามเอ่ยพระนาม อาจเรียกพระสมัญญานามหรือพระอารามนาม เป็นการให้สรรเสริญพระเกียรติ ตามธรรมเนียมมารยาท แต่คนระดับล่างไม่คิดมากให้วุ่นวาย ส่วนใหญ่ก็เรียกรัชศก แล้วเติมคำว่าเสด็จเข้าไป โหววั่นไฉรู้จักคำว่า มู่จง (หมายถึงฮ่องเต้หลงชิ่ง) ก็เรียกได้ว่าไม่เลวแล้ว

หวังทงกำลังงง แต่ก็ตามขึ้นม้าออกมา โหววั่นไฉขี่ม้าเหลื่อมอยู่ด้านหลังนิดหน่อย

“ไม่ใช่ตอนนี้นี่ ข้าจำไม่ได้นะว่าข้าเกี่ยวข้องอันใดกับจวนหลัวกัน”

“ใต้เท้าไม่ทราบ รองเจ้ากรมหลัวมีบุตรชายชื่อหลัวฉีเฟิง เดือนครึ่งก่อนเมาสุราลวนลามสตรี ถูกกองลาดตระเวนจับกุมตัวโบยแส้ไปห้าที ส่งไปโรงบ้านที่เทียนจินหนึ่งเดือน”

ตั้งแต่หวังทงไปเยือนจวนหนิงซีป๋อครั้งนั้น จากนั้นกองลาดตระเวนหากพบลูกหลานชนชั้นสูงก่อเรื่อง ก็จะจับลงทัณฑ์ไป ไม่เคยพบกับความยุ่งยากลำบากอันใด นับประสาอันใดกับตระกูลหลัวที่ไม่มีผู้ใดเป็นขุนนางในยามนี้ จับก็จับไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาตามหวังทงไปพบนี่

เมื่อครู่รายงานโหววั่นไฉก็ไม่ชัดเจน เช่นว่าฮูหยินตราตั้ง เห็นได้ว่าฮูหยินรองเจ้ากรมหลัวได้รับการแต่งตั้ง มีตำแหน่ง สถานะนี้แม้ว่าไม่กระไรนัก แต่บางครั้งราชสำนักก็ให้ความสำคัญไม่น้อย

หวังทงเงียบไป ถามขึ้น

“หรือว่ามาเอาเรื่อง?”

“ตอนแรกที่ถูกจับ เคยมีคนจากศาลอาญาใหญ่และกรมอากรมาเจรจา แต่ถูกขวางให้กลับไป ก็ไม่ได้มาอีก ไม่มีเหตุผลที่ถูกปล่อยตัวกลับมาแล้วยังจะมาเอาเรื่องอีก……ข้าน้อยมีเพื่อนอยู่เขตบูรพา ฮูหยินหลัวนั่งเกี้ยวออกมาแล้ว เขาได้ยินข่าวก็มาแจ้งข้าน้อย……”

โหววั่นไฉกล่าวจบ หวังทงก็ไม่ถามต่อ ฮูหยินตราตั้งจะมาเอาเรื่องอะไรที่สำนักองครักษ์เสื้อแพรได้ ไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน

หวังทงมาถึงหน้าประตูที่ทำการ ทางนั้นยังมาไม่ถึง หวังทงไม่ได้ไปยังห้องทำงานตน หากเข้าไปรอในห้องทหารแถวประตู ทำให้หลายคนแตกตื่น

ไม่นาน ก็เห็นปากทางที่เงียบมาโดยตลอดมีขบวนหนึ่งปรากฏขึ้น ก็แค่รถม้าที่มีเจ้าบ้านหญิงมาพร้อมกับคนอารักขาที่ขี่ม้ามาด้วยอีกสองสามคน หน้ารถม้ามีนางรับใช้สูงวัยเดินนำอยู่ ด้านหลังเหมือนมีคนแบกของตามมา

ทหารในที่ทำการมองไปยังคนทั้งขบวน โหววั่นไฉรีบเข้ามากล่าวว่า

“ใต้เท้า หรือว่าให้ตามสารวัตรทหารของหน่วยวินัยทหารมา”

หวังทงขำหรี่ตามมองโหววั่นไฉ กล่าวว่า

“แค่สตรีอ่อนแอไม่กี่คน ทหารตรงนี้หรือว่ารับมือไม่ไหวกัน? ยังต้องไปตามทหารมาช่วยอีกหรือ ไม่ขายหน้าหรือ?”

โหววั่นไฉหัวเราะแหะๆ ถอยกลับไปที่เดิม หวังทงคุยกับเขา เขาเหมือนเสียหน้า แต่คนรอบข้างไม่รู้อิจฉาเท่าไร นี่เป็นคนสนิทของหวังทงเชียวนะ ไม่เช่นนั้นจะถูกตำหนิสั่งสอนได้อย่างไร

ฮูหยินหลัวมาถึง องครักษ์เสื้อแพรก็เข้ามารายงาน นายกองพันสองนายเดินออกไปดู เห็นหวังทงอยู่ด้านนอกก็หดหัวกลับเข้าไป มีนายอยู่ก็ไม่ต้องโผล่หน้าออกไปหาเรื่องใส่ตัว

แต่จากสำนักองครักษ์เสื้อแพรมองออกไปเห็นคนเบียดกันมากมาย หนุ่มๆ หลายคนถึงกับยกโต๊ะมาปีนกำแพงดู

ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกงที่เข้าประชุมในวังก็เพิ่งกลับมา ได้ยินข่าวก็เดินออกมาดู หน้าประตูที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพรคึกคักยิ่ง

แม้ว่าเป็นขุนนาง ก็ยังต้องยำเกรงที่ทำการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตอนที่มาถึงระยะห่างจากประตูไม่ถึงร้อยก้าว ขบวนก็หยุดลง ชายแต่งกายแบบพ่อบ้านก็ค่อยๆ เดินเข้ามา มาถึงตรงหน้าก็กระแอมไอก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดังขึ้นว่า

“ข้าน้อยเป็นพ่อบ้านจองจวนตระกูลหลัว ขอถามหน่อยว่ารองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ใต้เท้าหวังอยู่หรือไม่?”

มาหาหวังทงจริงด้วย หวังทงส่ายหน้ากล่าวเสียงดังตอบไปว่า

“ข้าคือหวังทง ไม่ทราบว่าต้องการพบข้าด้วยเรื่องใด”

ชายผู้นั้นพอเห็นหวังทงก็คำนับกล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง ข้าน้อยรับคำสั่งนายหญิงเรา มาขอบคุณในความเมตตาของใต้เท้าหวัง”

พอได้ยินเช่นนี้ คนมุงดูเรื่องสนุกนอกประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็พากันผิดหวัง บางคนยังถึงกับถอนหายใจ หวังทงยิ่งงงไปใหญ่ เห็นๆ ว่าจัดการบุตรชายนางไป ยังมาขอบคุณเรื่องใดกัน

พ่อบ้านคำนับเสร็จก็หันไปกวักมือ ด้านหลังรีบเป้าแตรตีฆ้องตีกลองดัง มีคนแบกของบางอย่างเดินมา ในที่สุดก็เห็นแล้วว่าคือสิ่งใด เป็นแผ่นป้ายประกาศเกียรติคุณพร้อมผ้าแพรแดงผูกไว้

พอป้ายประกาศเกียรติคุณแบกมาตรงหน้า พ่อบ้านก็เข้ามาดึงผ้าแพรแดงออก แผ่นป้ายเขียนไว้ว่า ‘ยุติธรรมไม่ไว้หน้า’ หน้าประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพรเงียบกริบ ลั่วซือกงอึ้งไปนานอยู่ๆ ก็กระแอมไอขึ้น หวังทงได้แต่รู้สึกอยากร้องไห้ก็ไม่ได้ อยากหัวเราะก็ไม่ออก มอบป้ายประกาศเกียรติคุณถึงหน้าสำนักองครักษ์เสื้อแพรนี้ แท้จริงแล้วชมหรือว่าด่ากันแน่

“นายหญิงเราไม่สะดวกออกหน้ามาขอบคุณท่านด้วยตนเอง ขอนายน้อยเรามาโขกศีรษะต่อใต้เท้าแทน”

ชายวัยกลางคนตัวดำเมี่ยมเดินมาอย่างกลัวๆ กล้าๆ คุกเข่าลงโขกศีรษะ ยามนี้หวังทงกำลังงงจริงๆ ยังคงหาที่มาที่ไปไม่ได้ สับสนไปหมด พอขอบคุณเสร็จก็กลับไป หวังทงเรียกพ่อบ้านเอาไว้ ถามความจริงเรื่องเป็นมาอย่างไร

รองเจ้ากรมหลัวตอนทำงานได้สะสมเงินทองไว้ไม่น้อย เพียงพอที่จะกินใช้ไปอีกหลายรุ่น ฮูหยินอยู่เมืองหลวงยังมีญาติที่เป็นขุนนางดูแล ไม่โดนรังแก แต่มีบุตรชายโทน ถูกตามใจแต่เด็ก โตมาก็มีคนคอยปกป้อง นับวันจะยิ่งก่อเรื่องใหญ่โตขึ้น

หากพูดถึงการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ตระกูลหลัวอย่างไรก็ยังจ่ายไหว หลังๆ ถูกคนชั่วข้างนอกหลอก วันๆ เอาแต่ไปขลุกตัวกับพวกข้างนอก ถึงกับไปเล่นเป็นขโมยเพื่อความสนุก ยังมีเรื่องที่ไม่อาจกล่าวได้อีกมาก เพราะว่าเป็นบุตรชายโทน แต่เล็กจึงไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าขัดใจ พอโตมาก็ยิ่งไม่อาจสั่งสอน ฮูหยินก็เป็นห่วงว่าจะก่อเรื่องใหญ่สักวัน”

หลังองครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติการโบยหนัก เจ้าเด็กชั่วร้ายยังคิดว่าจะมีครอบครัวปกป้องได้ ไม่เป็นไร พอถูกจับไปโบยห้าทีและส่งไปใช้แรงงานที่เทียนจิน คุณชายที่สุขสบายมาแต่เล็ก ไม่เคยได้รับความลำบากมาก่อน พอผ่านการอบรมสั่งสอนจากเทียนจินไป ก็เป็นคนดีขึ้นมา

พอกลับมา แม้จะรูปร่างผอมตัวดำเมี่ยม แต่ฮูหยินกลับพบว่ารู้ความขึ้นมาก ทำอะไรก็รู้จักระวัง อยู่แต่บ้านไม่กล้าออกไปก่อเรื่องอีก กลับช่วยที่บ้านทำงาน ฮูหยินรู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่มีตา พอรู้ว่าเป็นเพราะได้รับการสั่งสอนจากองครักษ์เสื้อแพร ก็รีบทำป้ายประกาศเกียรติคุณนำขบวนดนตรีมาขอบคุณ

“เป็นครั้งแรกที่องครักษ์เสื้อแพรเรามีเรื่องเช่นนี้นะกระมัง!”

ไม่รู้ผู้ใดด้านหลังกล่าวขึ้น……

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!