ตอนที่ 711 ราษฎร์หลวงสองฝ่าย เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
ได้ยินหวังทงถาม หม่าซานเปียวอึ้งไป ถามกลับว่า
“ใต้เท้า นับรวมมองโกลและชาวฮั่นหรือ?”
หวังทงพยักหน้า ทัพม้ากองกำลังหู่เวยมีชาวมองโกลไม่น้อย ทหารม้าต้องขี่ม้าเป็น ชาวฮั่นทำไร่ทำนาเป็นหลัก ใกล้ชิดสัมผัสสัตว์ก็เกรงว่าคงมีแต่วัวแล้ว เมืองหย่งผิงกับซุ่นเทียนทางตะวันออก ล้วนมีพวกชาวเลี้ยงสัตว์เร่รอนไม่น้อยที่มาจากทุ่งหญ้านอกด่าน ตอนทัพม้ารับสมัครทหาร พวกเขาก็มาสมัครและย่อมได้รับคัดเลือก
ในบรรดาชาวฮั่น โดยเฉพาะครอบครัวทหารที่เหลือจากการเป็นทหารตามสายตระกูล คนขี่ม้าได้มีน้อย พวกที่ขี่ม้าได้ อย่างน้อยก็ต้องระดับนายกองร้อย คนเช่นนี้ล้วนมีงานที่ดี น้อยมากที่จะมาเป็นทหารออกรบ
ชาวฮั่นที่ขี่ม้าเป็น ไม่น้อยหนีกลับมาจากทุ่งหญ้านอกด่าน ฐานกองกำลังมี่อวิ๋นกับเมืองจี้โจวเผชิญหน้ากับเผ่าตั่วเหยียนของพวกมองโกล เป็นเผ่าที่มีสนธิสัญญากับแผ่นดินหมิง แม้ว่าจะมีการกระทบกระทั่งชายแดนหรือยามอากาศไม่ดีขาดแคลนอาหารจะเข้าด่านมาปล้นบ้านก็ตาม
สัมพันธ์ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็มีชาวฮั่นใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าตั่วเหยียนไม่น้อย ตอนดีก็ไปใช้ชีวิตที่นั่น ตอนไม่ดีก็หนีกลับมา ชาวฮั่นพวกนี้ขี่ม้าเป็น ไม่น้อยมาเป็นทหารม้า
กองกำลังหู่เวยมีคนสองประเภทนี้ไม่น้อย ยังมีอีกพวกก็คือเป็นทหารราบร่างกายกำยำแข็ง ทำงานหนักได้ทรหดอดทน เรียนรู้การขี่ม้าแต่เริ่มต้นได้ จึงเป็นหนึ่งจำพวกในกองกำลังม้าหวังทง
คนสองสามพวกนี้รวมเป็นกองกำลังทหารม้าหู่เวย ได้ยินหวังทงถาม หม่าซานเปียวแม้ส่งมอบกองกำลังทหารม้าไปแล้ว แต่ก็ยังรู้ตัวเลขอยู่
“ชาวมองโกลส่วนใหญ่ก็พวกชื่อเฮย ทั้งหมด 127 ได้ ชาวฮั่นจากทุ่งหญ้านอกด่านก็ราว 215 คน ชาวมองโกลที่เลี้ยงม้าที่โรงบ้านมักเคลื่อนไหวเข้าออก ดังนั้นจำนวนไม่แน่นอน”
ได้ยินหม่าซานเปียวตอบ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง มองไปประตูด้านหลังหม่าซานเปียว จางซื่อเฉียงติดตามหวังทงมานาน ย่อมเข้าใจ รีบลุกขึ้นปิดประตู
ที่แท้ต้องการถามอันใด ในบ้านตนเองยังต้องระวังเพียงนี้ ทุกคนแปลกใจ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น
“หากส่งคนพวกนี้ออกทุ่งหญ้านอกด่าน ไว้ใจได้ไหม?”
“คิดว่าใต้เท้าจะถามอะไร ข้าน้อยกำลังตั้งใจฟังเนี่ย ที่แท้เรื่องนี้ ใต้เท้าวางใจ ยิ่งมาจากทุ่งหญ้านอกด่าน ก็ยิ่งภักดีต่อกองกำลังหู่เวยเรา ต่อแผ่นดินหมิง ชื่อเฮย เต๋อเหลิ่ง ครอบครัวพวกเขาถูกเผ่าใหญ่สังหารหมด ผู้หญิงและเด็กรวมทั้งสัตว์เลี้ยงถูกปล้นไปหมด พวกเขากว่าจะหนีออกมาได้ คิดจะล้างแค้นก็ไร้หนทาง ใต้เท้านำพวกเขาออกทุ่งหญ้านอกด่านไปสังหารมาหลายครั้ง ทุกคนล้วนยินดีดีอกดีใจ ชาวฮั่นพวกนั้นก็เช่นกัน ตั้งแต่จากแผ่นดินหมิงไป หากมีชีวิตที่ดี พวกเขาจะกลับมากันทำไม กลับมาแล้ว ใครบ้างไม่โกรธแค้น พวกเขาไปทุ่งหญ้านอกด่าน ย่อมคิดอยากสังหารคนที่นั่น ใต้เท้าวางใจได้”
หวังทงพยักหน้า จางซื่อเฉียงแทรกขึ้นว่า
“ทัพม้าทางนั้นแข็งแกร่ง คนไม่มาก แต่คนเก่งกล้า และมีที่มาซับซ้อนกว่าทหารราบ ดังนั้นข้าน้อยจึงส่งคนไปจับตาดู หลายปีมานี้ เรื่องของทัพม้าน้อยมาก คนพวกนี้วันๆ เอาแต่ขลุกกับม้า กินอิ่มนอนอุ่น ก็พอใจแล้ว”
หวังทงพยักหน้ากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เช่นนี้ดีที่สุด วันนี้เรื่องที่ข้าพูด อย่าได้จด อย่าได้แพร่ออกไป ทุกคนจำให้ดี”
เห็นสีหน้าจริงจังหวังทง และยังกดเสียงให้เบา ทุกคนในห้องก็ก้าวออกมาตั้งใจเตรียมฟังหวังทง
************
เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิง เสนาบดีกรมอากรหวังหลินล้วนเป็นพรรคพวกกลุ่มจางซื่อเหวย จางซื่อเหวยกลับไปไว้ทุกข์ พวกเขาย่อมให้เหยียนชิงเป็นผู้นำ
แม้ว่ารวมตัวเป็นพรรคพวก แต่ทุกคนก็เป็นขุนนางราชสำนัก แผ่นดินย่อมสำคัญ ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกประชุม ตรัสเรื่องการรบเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เพื่อกำจัดภัยชายแดนตอนเหนือให้สิ้นซาก ทำให้พวกเหยียนชิงปวดหัวมาก ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ว่าราชการเอง ในราชสำนักก็ไม่ทรงอ่อนข้อ หากฮ่องเต้ว่านลี่ยืนยัน ยังมีหวังทงหนุน คิดจะขัดราชโองการก็ยุ่งยากยิ่ง หลายครั้งที่มารวมตัวหารือกันที่จวน ก็ล้วนหารือว่าจะทำอย่างให้ให้ฮ่องเต้ว่านลี่ยกเลิกพระประสงค์
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงถามแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่เอ่ยถึงอีก ดูท่าเสนาบดีกรมทหาร จางเสวียเหยียนยืนยันหนักแน่นไปวันนั้นคงได้ผลเป็นแน่
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนสบายใจ แต่เรื่องที่เว่ยหยุนเจินเขียนร้องในฎีกานี่สิ เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนร้อนใจ ฎีกาแม้ไม่ได้กล่าวชื่อ แต่เห็นชัดว่าเป็นจางจวีเจิ้ง เซินสือหัง และจางซื่อเหวย ทว่าลูกหลานหกกรมกองที่ก้าวเร็วก็เป็นเช่นนี้ไม่น้อย
เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงสู้กับหวังทง ในราชสำนักเป็นหัวหน้าของกลุ่มจางซื่อเหวย แต่ที่เขาได้เข้าแทนที่เหลียงเมิ่งหลงที่จุดจบไม่ดีนักก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่นับว่าตรงไปตรงมา แม้ว่าดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างกรมปกครอง แต่ก็ไม่เคยทำเพื่อประโยชน์ตน จัดตำแหน่งให้ลูกศิษย์ตนตามหน่วยงานต่างๆ เป็นคนทำการไม่เป็นที่ครหา แต่น่าเสียดาย บุตรชายสองคนของเหยียนชิงเองก็ได้รับการดูแลจากการสอบใหญ่และการสอบหน้าพระที่นั่งเช่นกัน
คนเช่นเหยียนชิงยังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงหยางเหว่ย หวังหลิน พานจี้ซวิ่น ในฎีกาของนายกองตรวจสอบเว่ยหยุนเจินมณฑลซานซี ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวหลายหน่วยงานต่างกำลังเอาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไม่หยุด พวกเหยียนชิงมักชอบใช้การวิพากษ์วิจารณ์เป็นเครื่องมือการเมือง ดังนั้นย่อมรู้ผลเจ็บตัวจากการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างดี
พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเอาเรื่องขึ้นมา พวกเขาก็ย่อมลนลาน ในเมื่อฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ตรัสอันใด พวกเขาก็ย่อมอาจมัวแต่สนใจการรบว่าจะดีหรือไม่ต่อแผ่นดิน ล้วนไปรับมือเรื่องตนเองดีกว่า
ไม่รู้ว่าผลประโยชน์มากมายเท่าไร ไม่รู้ว่าตำแหน่งมากมายเท่าไร แต่ลูกหลานชนชั้นสูงยึดครองไป ส่งผลต่อเส้นทางขุนนางของตนในวันหน้า เรื่องเช่นนี้ไม่อาจปล่อยให้เงียบไปอย่างนี้ได้
แต่พอเรื่องร้อนกำลังระอุอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ก็มีราชโองการลดตำแหน่งเว่ยหยุนเจินให้ออกจากเมืองหลวง เสียงเซ็งแซ่วิพากษ์วิจารณ์เมืองหลวงก็เงียบลงไปไม่น้อย
“เว่ยหยุนเจินออกมากัดไม่เลือกครั้งนี้ โดนลงโทษหนัก มันสะใจจริง!!”
“……อย่าดีใจเร็วไป เจ้าและข้าล้วนผ่านห้วงเวลานี้มา เรื่องเช่นนี้หากเป็นปีที่เจ้าและข้าร่วมอยู่ด้วย เจ้าจะทนได้หรือ ก็คงต้องออกมาโวยวายเช่นกัน เจ้าบัดซบเว่ยหยุนเจินออกหน้าเลยโดน หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าวันหน้าคงยุ่งยาก……”
“ทุกท่านไม่รู้ว่าได้สังเกตบ้างไหม แม้ครั้งนี้จะมีเสียงกระเพื่อนไหว แต่ไม่ได้พร้อมเพรียงเหมือนเมื่อก่อน หากเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าพวกเราคงมีคนได้ลาจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดไปแล้ว”
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเหยียนชิงหรือแม้กระทั่งเซินสือหังก็ต้องทำการระวังยิ่งขึ้น ไม่กล้าเผอเรอแม้นาที การวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้คงต้องเกิดที่จวนผู้ใดสักคนในสักวัน
การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมักมีขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นคนสร้างกระแส มีเป้าหมาย มีทิศทาง ครั้งนี้กลับไม่มีเป้าหมาย ไปซ้ายที ไปขวาที วุ่นวายไร้ทิศทางไปหมด
เว่ยหยุนเจินกล้าออกหน้าจึงได้ถูกลดตำแหน่งออกจากเมืองหลวงไป คนที่เหลือมีความกล้า คิดจะออกมาเรียกร้อง แต่ ขุนนางใหญ่กลับมองออก
สาเหตุที่ขุนนางบัณฑิตชิงหลิววิพากษ์วิจารณ์ไม่สำเร็จในครั้งนี้ สาเหตุก็ง่ายมาก เพราะไม่มีคนรวมกำลังเป็นกลุ่ม ไม่มีการประสานงาน ไม่มีแกนกลาง ย่อมสร้างกระแสไม่ขึ้น ไม่อาจก่อกระแสให้เป็นเรื่องใหญ่ได้
ตอนนี้ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็เริ่มเข้าใจ รอดพ้นเหตุน่าตื่นเต้นครั้งนี้มาได้โดยไม่เป็นไร พวกขุนนางบัณฑิตเมืองหลวงมีผู้ใดรวมกำลัง ผู้ในประสานงานกัน ย่อมเป็นหลี่ซานไฉกรมอากรกับกู้เซี่ยนเฉิง ครั้งนี้ทั้งสองคนระมัดระวังตัวมาก สงบปากสงบคำอย่างดี
“เมืองหลวงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ เต้าผู่เหตุใดจึงปิดปะตูไม่รับแขก วันๆ พอออกจากห้องทำงานก็กลับบ้านเล่า!?”
“ใต้เท้าทำงานก็ย่อมมีหลักการของใต้เท้า ข้าน้อยไหนเลยกล้าวิจารณ์มากความ”
“เว่ยหยุนเจินถูกมองว่าเป็นแกนนำขุนนางมือสะอาด แต่ไรมาก็มากับชื่อเสียงของเต้าผู่ เต้าผู่ไม่คิดอะไรในเรื่องนี้เลยหรือ?”
“ข้าน้อยออกวิจารณ์ก็ล้วนเพื่อประโยชน์ประชาประโยชน์แผ่นดิน ตนเองไม่คิดชื่อเสียงอันใด ชื่อเสียงแค่เรื่องจอมปลอม ไม่เอาก็ได้!”
ผู้ถามหลี่ซานไฉ ย่อมไม่รู้ว่าหวังทงส่งคนมาเตือนไว้แล้ว ว่าหากไม่ต้องการให้กิจการตระกูลล้มละลาย ก็ให้อยู่ไปดีๆ อย่าได้พูดมาก เว่ยหยุนเจินยื่นฎีกา หลี่ซานไฉยังไม่ทันวิเคราะห์เลยว่าเป็นความต้องการของหวังทงหรือไม่ พวกจางซื่อเหวยเห็นหวังทงเป็นศัตรู อาจเป็นหวังทงที่คิดอาศัยจังหวะนี้โจมตี ผู้ใดก็ไม่รู้แน่
แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับถูกมองว่ารู้จักมองการเพื่อแผ่นดิน รู้จักรุกถอย ปกติหลี่ซานไฉก็ส่งอิทธิพลต่อขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมาก คนเช่นนี้ รู้งานเช่นนี้ จะต้องส่งเสริม
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 ปลายเดือนหก กรมอากรมีข่าวรอดออกมา ตำแหน่งหนึ่งที่ยูนนานว่างลง หลี่ซานไฉอาจได้เข้าแทนตำแหน่งที่ขาดนี้ ยังมีข่าวว่า นายกองกรมอากรกู้เซี่ยนเฉิงมีความรู้ดี มีความสามารถ กำลังจะได้เป็นนายกองคัดเลือกบทความในกรมปกครอง
กรมอากรที่ยูนนานมีหน้าที่เก็บภาษีเส้นทางน้ำ เป็นงานที่มีอำนาจไม่น้อยในกรมอากร หกกรมกองมีกรมปกครองเป็นหนึ่ง กรมปกครองนั้นตำแหน่งที่ดีที่สุดคือกองคัดเลือกบทความ หลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงอยู่ๆ ก็เจริญรุ่งเรือง ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวหลายคนเห็นหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงแล้วก็อิจฉาตาร้อน มีคนรู้ทิศทางลม บอกว่าเขาสองคนเพราะปิดปากเงียบ ไม่ตามทุกคนก่อเรื่องครานี้ ดังนั้นจึงได้รับการส่งเสริมเช่นนี้
มีคนนึกเสียใจ มีคนอิจฉาตาร้อน ทุกคนกำลังเริ่มครุ่นคิด ที่แท้ไม่ออกหน้าก็เป็นเรื่องดี คนไม่น้อยจึงเริ่มเงียบ เมืองหลวงสงบลงมาก
ต้นเดือนเจ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 มีฎีกาจากเมืองซงเจียงในเขตปกครองใต้มาเมืองหลวง มหาอำมาตย์สวีเจี้ยในปลายรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมาถึงต้นรัชสมัยฮ่องเตหลงชิ่ง ผู้ที่ล้มเหยียนซงลงได้ ต่อมาสวีเจี้ยถูกกาวก่งล้ม ยามนี้สวีเจี้ยได้จากไปด้วยอาการป่วย ตายบนเตียงนอนในจวนในวัย 80 ปี
สวีเจี้ยบริหารงานตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งตอนปลาย ในราชสำนักเป็นพวกเขาทั้งนั้น แม้แต่จางจวีเจิ้งเองก็เป็นชนรุ่นหลังที่เป็นเขาส่งเสริมขึ้นมา ขุนนางใหญ่น้อยในราชสำนักล้วนมีสายสัมพันธ์กับเขาหลากหลายรูปแบบ พอเขาตายไป ก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทุกคนสนใจทันที ลูกหลานชนชั้นสูงเข้าครองตำแหน่งในการสอบขุนนาง ฎีกาเว่ยหยุนเจิน ค่อยๆ เงียบลง คนเรียนหนังสือตอนนี้ยุ่งกับการเขียนบทความรำลึกถึงมหาอำมาตย์สวี ดูว่าจะมีลูกศิษย์มหาอำมาตย์สวีคนใดที่มองเห็นความสามารถเขา
แต่ที่คนไม่สนใจเท่าไรนักก็คือ ป้ายประกาศเกียรติคุณหน้าสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีมาเรื่อยๆ พร้อมมอบของต่างๆ ทั้งอาหารและสุรา……