ตอนที่ 716 ปลอมตัวชมงิ้ว เรื่องเกิดไม่คาดคิด
การชมงิ้ว ไม่ก็ชมในร้านน้ำชา ไม่ก็ที่ชุมนุมชนมากมาย ไม่ก็งานวัด คนเมืองหลวงทุกคนไม่ค่อยคิดไปชมงิ้วในที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ
งิ้วในยุคนี้เป็นงิ้วที่บัณฑิตแต่งคำร้อง คำร้องก็มักสละสลวยมากไป คิดฟังให้เข้าใจก็ต้องมีความรู้ระดับหนึ่ง แต่โรงงิ้วภักดีแสดงงิ้วที่เรียกว่าใช้คำร้องภาษาพูด สนใจแค่ท่วงทำนองคำร้อง ไม่สนใจว่ารู้หนังสือหรือไม่ ขอเพียงฟังภาษาจีนกลางรู้เรื่อง ก็ย่อมฟังเข้าใจ
เรื่องเทพปกรณัม เรื่องบัณฑิตสาวงาม เป็นเนื้อหาสำคัญของยุคนี้ ราษฎรดูแล้วก็เหมือนห่างไกลจากตนเอง เข้าไม่ถึง ไม่ได้รับความสนใจเหมือนงิ้วสมัยหยวนที่เล่นเรื่องโต้วเอ๋อเยียน[1] แต่ที่โรงงิ้วภักดีแสดงนั้นกลับเป็นเรื่องจริงที่เอามาเรียบเรียงใหม่ ทุกคนเคยได้ยินมาก แต่ไม่ละเอียดนัก
พอนั่งลง ก็มีน้ำชาและขนมมาวาง บนเวทีร้องไป รอบด้านล่างก็ชมไป ไม่ได้มาเพื่อดื่มชาสนทนาการงาน แต่มาเพื่อความบันเทิง
แน่นอน หอสุรา หอคณิกา มีลูกเล่นมากกว่า แต่ค่าใช้จ่ายก็ย่อมมากตาม ในโรงงิ้ว ไม่ต้องใช้เงินมากก็สามารถบันเทิงได้หลายชั่วยามหรือทั้งวัน
แผ่นดินหมิงในสมัยนี้ เมืองใหญ่เช่นเมืองหลวงก็ย่อมมีระดับต่างทางชนชั้น แต่พวกเขาไม่มีที่หาความบันเทิง พอมีโรงงิ้ว ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดี
ด้วยเหตุนี้ โรงงิ้วภักดีคิดจะไม่ดังก็คงไม่ได้แล้ว
ที่จริงแล้ว ราษฎรอยากดู ชอบดู โรงงิ้วภักดีให้ชมฟรีสามวัน จากนั้นก็ดังเป็นพลุแตกทั่วเมืองหลวง ไม่ว่าบัณฑิตหรือชนชั้นสูงก็มากัน คิดอยากดูเรื่อง ‘กลับตัวกลับใจ’ ที่ดังไปทั่วเมืองหลวง ว่าสนุกอย่างไร อย่าว่าแต่คนพวกนี้เลย แม้แต่ขันทีในวังก็ยังรวมกลุ่มกันออกมาดู
คนมากันมาก ทุกวันแสดงสี่รอบ แต่ละรอบขายไม้ที่นั่ง 300 ไม้ ไม้ที่ยืน 100 ไม้ มีคนมายืนรอตั้งแต่ฟ้ามืด ชาวบ้านเล็กๆ มากันเอง พวกคนมีเงินก็ให้คนงานที่บ้านมาต่อแถวรับไม้ที่นั่ง
แต่แม้เป็นเช่นนี้ ก็มีความต้องการมากกว่าการรองรับได้ ยังมีคนต้องรอ คนเมืองหลวงมีเงินกันมาก เรื่องงิ้วก็มีเลี้ยงไว้ในจวนตนเอง มีคนรอไม่ไหว ก็คิดว่าสถานะเช่นเขา หรือว่าต้องมาเข้าแถวรอกับพวกชาวบ้านด้วย
จึงส่งคนมาเชิญคณะงิ้วไปร้องที่จวน หากร้องได้ดี ก็แค่ซื้อไว้ชมเองในจวนก็แล้วกัน
ส่งคนไปถาม คณะงิ้วโรงงิ้วภักดีกลับไม่ออกแสดงที่อื่น ร้องแต่ที่นี่ คนที่มาถามโมโหมาก คิดไม่ไว้หน้าหรืออย่างไร กำลังจะด่าวาจาไม่น่าฟังออกไป ก็เห็นสีหน้าเย็นเยียบของทหารองครักษ์เสื้อแพรเดินเข้ามาถาม ถามไปถามมาจึงได้รู้มาว่าผู้ให้การดูแลที่นี่ก็คือหวังทง จึงไม่กล้ากล่าวอันใดต่อ ได้แต่ยอมกลับไปแต่โดยดี
พอร้องเรื่อง ‘กลับตัวกลับใจ’ นี้ไปได้ครึ่งเดือน ก็มีคนยิ่งมาชมกันมาก บรรดางิ้วตามจวนคหบดีก็เริ่มเลียนแบบ ไม่รู้จวนใดที่ตอนเลี้ยงรับรองแขก ก็ร้องเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าน้ำเสียงร้องร้องได้ดีกว่าโรงงิ้วภักดีมาก
คิดกันว่าความคึกคักโรงงิ้วภักดีจะผ่านไปในเวลาไม่นาน คิดไม่ถึงว่าต้นเดือนเก้า โรงงิ้วภักดีมีแสดงงิ้วเรื่องใหม่ ทุกวันมีเรื่อง ‘กลับตัวกลับใจ’ สองรอบแล้ว ยังมีงิ้วใหม่อีกเรื่องชื่อว่า ‘บันทึกการเดินทางส่วนพระองค์’
แสดงงิ้วเรื่องนี้ โรงงิ้วมีการปรับเปลี่ยนต่างจากตอนเปิดไม่น้อย เช่นว่าชั้นสองมีห้องพิเศษ มีม่านบัง คนด้านล่างมองขึ้นไป ไม่เห็นว่าผู้ใดนั่งอยู่ ผู้ชมก็เริ่มเปลี่ยนไป
หากเป็นเมื่อก่อนก็ล้วนเป็นราษฎร แต่ตอนนี้เริ่มมีลูกหลานชนชั้นสูงกับขันทีในวังมากขึ้น ราษฎร ลูกหลานชนชั้นสูง ขันทีในวัง ปกติจะไม่มารวมตัวกันในที่หนึ่ง แต่เพื่อมาชมงิ้ว กลับมาร่วมชมและด่าไปด้วยกัน
ต้นเดือนเก้างิ้วเรื่อง ‘บันทึกการเดินทางส่วนพระองค์’ ออกแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับฮ่องเต้ในราชวงศ์หนึ่งปลอมตัวออกเยี่ยมราษฎร เห็นบุตรชายเสนาบดีหนึ่งฉุดคร่าสตรี ฮ่องเต้ออกหน้าจัดการ พร้อมด้วยองครักษ์เสื้อแพร จัดการสืบพบว่าบุตรชายเสนาบดีเป็นพวกลัทธิไตรสุริยัน เสนาบดีผู้นั้นโกงกิน สุดท้ายฮ่องเต้ทรงแสดงสถานะ เป็นเรื่องราวของการผดุงคุณธรรมใหญ่
งิ้วแสดงตอนบ่าย มีขันทีหลายสิบคนมาชมอยู่ด้วย เรื่องปลอมตัวออกนอกวังไม่ว่าจริงหรือเท็จ ทุกคนก็ชมกันอย่างออกรส พอฮ่องเต้บนเวทีแสดงสถานะ ร้องหนึ่งท่อน ด้านล่างก็ร้องเชียร์ขึ้นตาม เงินทองก็เหมือนเม็ดทรายโปรดหว่านขึ้นไปบนเวทีเป็นรางวัล
สีหน้าขันทีแปรเปลี่ยน งิ้วนี้เป็นเรื่องหลู่พระเกียรติ สุดท้ายมีขันทีชุดครามผู้หนึ่งลุกขึ้นด่า แต่พอยืนขึ้น ขันทีอายุมากข้างๆ ก็ดึงให้นั่งลง
“เหล่าโจว เจ้าดึงข้าทำไม หากปล่อยไป มีเรื่องขึ้น วันหน้าเราคงหนีไม่พ้นโดนไปด้วย!”
“เจ้าตาบอด หรือหมาคาบไปกินแล้ว ตอนเข้ามาไม่ได้ดูหรือว่ามีขันทีตำหนักเฉียนชิงอยู่ด้านล่าง ทุกคนเห็นอยู่ เจ้าตาบอดหรือไง รีบๆ นั่งลงดูต่อ!!”
พอได้ยิน ขันทีที่ยืนขึ้นก็เหงื่อเย็นหลั่งเต็มแผ่นหลัง ขันทีตำหนักเฉียนชิงก็เหมือนขันทีสำนักส่วนพระองค์ พวกที่รู้มาก ก็ย่อมรู้ว่าเป็นที่ประทับฮ่องเต้กับที่บริหารงานแผ่นดิน ขันทีที่นั่นจะมาดูงิ้วได้อย่างไร ยังมารอรับใช้ด้านล่าง หรือว่าด้านบนจะมี
……
พอหันกลับไป ก็ถูกขันทีข้างๆ ดึงกลับมา ตวาดเสียงดุดันว่า
“เจ้าไม่อยากมีหัวต่อไปใช่ไหม ยังไม่ควักเงินโยนขึ้นไปอีก ตะโกนว่าเยี่ยมสิ!”
ขันทีที่สูญเสียการควบคุมเริ่มได้สติ รีบควักเงินออกมา เป็นเงินเหรียญกับเศษเงิน ล้วนควักออกมาหมดจากนั้นก็โยนขึ้นไปบนเวที
ชั้นสองห้องที่อยู่ตรงหน้าเวทีพอดี เป็นตำแหน่งดี ตอนนี้หากต้องการที่นี่ต้องจ่ายหนึ่งตำลึงต่อรอบ วันหนึ่งก็ห้าตำลึง แม้ว่ามีขนมและชาชั้นดีรับรอง แต่ก็เป็นราคาที่น่าตกตะลึงอยู่ดี แต่ไม่ว่าอย่างไรที่นั่งตำแหน่งนี้ ทุกคนก็ยังแย่งชิงกันอยู่ดี เงินห้าตำลึงสำหรับชาวบ้านเป็นเงินก้อนโต แต่สำหรับพวกคหบดีแล้วไม่กระไรนัก
แต่วันนี้ ชั้นสองเหมาไปทั้งชั้น แต่มาห้องเดียว และในห้องยังมีคนนั่งแค่คนเดียว คนที่เหลือยืน คนที่ยืนรอบถึงคนที่รู้กันว่าเป็นผู้ให้การดูแลโรงงิ้วนี้ รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง
งิ้วด้านล่างใกล้แสดงจบแล้ว ทุกคนบนเวทีล้วนร้องสรรเสริญฮ่องเต้ทรงพระปรีชายิ่งพร้อมกัน ออกหน้าแทนราษฎร ฉากนี้เป็นฉากที่ใช้ภาษาเรียบง่ายทำให้ร้องง่ายเข้าใจง่าย ทุกคนจึงพากันร้องตาม
ฮ่องเต้ว่านลี่เองกำลังตั้งใจชมงิ้วอย่าออกรสออกชาติ จางเฉิงกับหวังทงที่ยืนข้างๆ ก็เห็นท่าทางสนใจของฮ่องเต้ว่านลี่
บันทึกการเดินทางส่วนพระองค์ย่อมเป็นตอนที่ยังทรงฝึก ณ ลานฝึกหู่เวย พวกเขามีเรื่องกับพวกคุณชายของเสนาบดีหวัง ช่วยเหลือจางหงอิง ตอนนั้นหากไม่ใช่คนสำนักบูรพามาทัน ฮ่องเต้ว่านลี่กับพวกหวังทงคงสู้ไม่ไหวแล้ว แต่เวทีงิ้วกลับแสดงเห็นพระปรีชาด้านการยุทธ์ของฮ่องเต้
เรื่องราวคุ้นเคย และยังกล่าวสรรเสริญเกินจริงไปมาก ฮ่องเต้ว่านลี่จะไม่พอพระทัยอย่างมากได้อย่างไร ม่านเวทีค่อยๆ ปิดลง นี่ก็เป็นเรื่องใหม่ในวงการแสดงงิ้ว
ผู้ชมด้านล่างก็ร้องตะโกนชมไม่หยุด ในห้องพิเศษ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงหัวเราะพอพระทัย จากนั้นก็ปรบพระหัตถ์ แย้มสรวลตรัสว่า
“เสี่ยวเลี่ยง ให้รางวัลนักแสดงพวกนั้น100 ตำลึง”
การแสดงงิ้วอันยอดเยี่ยมอย่าว่าแต่ผู้ใหญ่สนุกเลย แม้แต่เจ้าจินเลี่ยงก็ดูจนไม่อาจละสายตา ต้องให้หวังทงเตะที่ขาเรียกไปทีหนึ่ง จึงได้สติรับพระบัญชา รีบลงไปปฏิบัติตามพระบัญชาทันที
“สนุกๆ หวังทง เรื่องสนุกเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มาให้เราดูก่อนหน้านี้ เรื่อง กลับตัวกลับใจ เราก็ไม่เคยดู เราอยากดูอีกรอบ วันหน้ามีเรื่องใหม่ จะต้องแจ้งในวัง เราจะมาดูที่นี่”
ฮ่องเต้ออกนอกวังมาชมงิ้ว แพร่อออกไป ไม่ว่าไทเฮาหรือขุนนางบุ๋น เกรงว่าคงสร้างความยุ่งยาก จางเฉิงส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน ทูลว่า
“ฝ่าบาทหากทรงต้องการชม ก็ให้งิ้วไปแสดงที่อุทยานปัจจิมก็ได้ ไยต้องทรงออกจากวัง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ โบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“เช่นนั้นก็ไม่สนุกสิ อาหารหอเลิศรสกับในวังทำออกมารสชาติเหมือนกัน แต่กินที่หอเลิศรสอร่อยกว่า ที่นี่ก็เหมือนกัน ได้ยินเสียงผู้ชมด้านล่างร้องชม เห็นโยนเงินกัน เราก็รู้สึกสนุกไปด้วย หากให้ไปแสดงในวัง จะไปสนุกอะไรกัน จะว่าไป ออกมาครั้งนี้ เสียเงินเท่าไรกันเอง หากเอาไปเล่นในวัง ไม่รู้ว่าสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์จะต้องลำบากอีกเท่าไร……”
พระดำรัสตรัสได้ถูกต้อง จางเฉิงย่อมไม่ทูลอันใดต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงจ้องมองม่านเวทีที่ปิดลง เหมือนทรงกำลังคิดอันใดอยู่ตรัสว่า
“ตอนนั้นอ่านฎีกาที่หวังทงส่งมาเป็นเรื่องหนี่ง มาดูงิ้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใช่แล้ว หวังทง จางหงอิงตอนนี้เป็นอย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท จางหงอิงกำลังเรียนงานดูแลจัดการกับนางหม่า”
ฮ่องเต้ขุนนางถามตอบกันทั่วไป เพราะเรื่องงิ้วทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อก่อน ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจทรงอยู่นอกวังได้นาน ด้านนอกเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว รอให้ผู้ชมออกไปหมดก่อน หวังทงกับจางเฉิงจึงได้ออกมาส่งเสด็จฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นรถม้า จางเฉิงไม่ได้ตามเสด็จ หากค่อยตามไปทีหลัง หันมายิ้มกับหวังทงกล่าวว่า
“เจ้าออกเดินทางเมื่อไร?”
“อีกสี่วัน เรื่องเบี้ยพระราชทานเชื้อพระวงศ์นี้ต้องอ่านเอกสารหน่วยงานต่างๆ ในเมืองหลวงก่อนว่าเป็นมาอย่างไร ไปแล้วก็เสียเวลาจัดการน้อยหน่อย”
หวังทงตอบนอบน้อม จางเฉิงพยักหน้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หวังทงกลับรู้สึกเหมือนรอยยิ้มจางเฉิงดูแปลกๆ ไม่เหมือนที่เคยเป็น หากเหมือนหญิงชรามากกว่า จางเฉิงนิ่งไปก่อนยิ้มกล่าวว่า
“หวังทง ปีนี้เจ้าอายุ 21 แล้วใช่ไหม!?”
“20”
“อายุไม่น้อยแล้ว หลายคนเท่าเจ้าลูกหลานเต็มบ้านไปหมดแล้ว เจ้ายังไม่แต่ง มีหญิงสาวที่ต้องใจหรือไม่?”
ได้ยินจางเฉิงถามเช่นนี้ หวังทงอดไม่ได้ติดอ่างขึ้น เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องที่เขาไม่ค่อยได้คิด การงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาสนใจ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จางเฉิงจะเอ่ยขึ้น
“……ยังไม่มี……”
“ข้าเป็นพ่อสื่อให้เจ้าดีไหม?”
………………..
[1] งิ้วมีชื่อในสมัยราชวงศ์หยวน (ราชวงศ์ชนชาติมองโกล ไม่เชี่ยวชาญกาพย์กลอนแบบชาวฮั่นจึงนิยมงิ้วแทนในยุคนี้) เป็นเรื่องหญิงชาวบ้านที่ถูกใส่ความว่าฆ่าคนตาย ก่อนโดนประหารตายกล่าวว่า หากตนไม่ผิดจริง ขอให้แผ่นดินนี้แล้งไปสามปี ต่อมาบิดาของนางที่ไปสอบได้ตำแหน่งขุนนางกลับมาช่วยล้างคดีให้ ฝนจึงได้ตกลงมา