ตอนที่ 72 ตอนตนเอง
บัดซบ!!
เดิมทีจิตใจในคืนนี้ผ่อนคลายลงไม่น้อยแล้ว แต่อยู่ๆ ข่าวนี้กลับทำให้หวังทงเดือดขึ้นมาอีกครั้ง ตามที่หลี่ว์วั่นไฉบอกไว้ เหอจินอิ๋นหากได้รับการปล่อยตัว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอีกสี่วัน หากเป็นเช่นนี้ย่อมมีเวลาพอที่จะเตรียมรับมือ
ค่ำคืนนี้จางเฉิงที่นับว่าเป็นอันดับสองในวังหลวงก็รับปากแล้วว่าจะไปช่วยดูแลเรื่องนี้ คดีนี้เดิมที่ก็ตอกฝาโลงไปแล้ว แต่อยู่ๆ กลับเกิดเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ได้
การทำงานในวงการราชการนั้นก็เน้นเรื่องกาลเทศะเหมาะสม ไม่รู้ว่าขันทีบุคคลระดับสูงศักดิ์ผู้ใดที่เบิกทางให้ ศาลซุ่นเทียนจึงได้ปล่อยตัวออกมา จางเฉิงไม่แน่ว่าอยากเอาตัวมาข้องเกี่ยวด้วย การจะสั่งให้ศาลซุ่นเทียนจับคนกลับไปอีก ไม่เพียงแต่ทำให้ศาลซุ่นเทียนดูแย่แล้ว ยังจะต้องมีเรื่องกับคนเบิกทางด้วย
เพื่อคดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเช่นนี้ ใยต้องมีเรื่องถึงที่สุดกัน ถึงตอนนั้นก็มิสู้แล้วกันไป…
ลมหนาวพัดเข้ามาทางประตู หวังทงตัวสั่นตื่นจากภวังค์ความคิดที่วุ่นวาย มองไปที่ซุนต้าไห่ที่ท่าทางร้อนเป็นไฟ อดตวาดอย่างรำคาญใจไม่ได้ว่า
“ลนลานหาอะไร!! เงียบหน่อย!!”
แม้ว่าหวังทงจะมีอารมณ์ร้อนอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนกับผู้อื่นอยู่เสมอ การตวาดเสียงดังขึ้นในตอนนี้ทำให้ซุนต้าไห่รีบสงบเสงี่ยมลงทันที หลี่หู่โถวจูงเจ้าจินเลี่ยงไปยืนด้านข้าง
เงียบไปพักหนึ่ง ซุนต้าไห่ก็กล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจว่า
“ใต้เท้า องครักษ์เสื้อแพรเราจับกุมผู้ใด หากผู้นั้นได้รับโทษจำคุกอยู่ก็ดี แต่หากได้รับการปล่อยตัวออกมา คนที่จับก็พากันซวย เหอจินอิ๋นผู้นั้นก็เหมือนกับถูกเราพี่น้องล้างครัว ออกมาได้ไม่รู้ว่าจะเจ็บแค้นพวกเราถึงเพียงไหน…”
“เรื่องนี้ข้ารู้ เรื่องยังไม่จบ ทำไมเรื่องมันเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้นะ!”
ซุนต้าไห่คิดว่าหวังทงอายุยังน้อย ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ หวังทงตัดบทอย่างรำคาญใจ วิธีเดียวที่จะยื้อไว้ได้ก็คือให้คนในวังออกหน้า แต่ตนเองก็ไม่มีช่องทางจะส่งข่าวให้คนในวังได้
อย่างน้อยต้องรอถึงพรุ่งนี้ รอถึงพรุ่งนี้เกรงว่าไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนแล้ว ในใจรู้สึกสับสนยิ่งนัก หวังทงรู้สึกตัวหันไปมองเจ้าจินเลี่ยงที่นั่งลงแล้ว
เด็กอายุเจ็ดขวบนั่งเงียบด้วยท่าทีแบบผู้ใหญ่ สายตาเหม่อมองไปเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ด้านนอกเสียงม้าควบมาใกล้ เสียงวิ่งอย่างเร่งรีบใกล้เข้ามา
ตามมาด้วยเสียงเรียกดัง ม้าหยุดหน้าหอเลิศรส ผ้าม่านเปิดออก เป็นนายกองหลี่ว์วั่นไฉที่รีบพุ่งเข้ามา หน้าดำๆ ของหลี่ว์วั่นไฉยามนี้เปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ หายใจกระหืดกระหอบรุนแรง พอเข้ามาก็เดินไปทางหวังทง ประสานมือคารวะ คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้เสียงดังว่า
“ใต้เท้าหวัง ท่านต้องช่วยเหลือข้าน้อย!!”
ความวุ่นวายซ้ำซ้อนกระหน่ำลงมา หวังทงเพิ่งจะสงบสติลงได้ก็ต้องร้อนใจขึ้นอีก ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปบอกจางซื่อเฉียงที่ไม่รู้จะทำอย่างไรว่า
“พี่จาง ปิดประตูก่อน พี่นั่งอยู่ข้างประตูนั่น ข้างนอกหากมีความเคลื่อนไหวใดก็ออกไปดูหน่อย”
จางซื่อเฉียงรับคำเดินไป หวังทงไม่ได้ประคองหลี่ว์วั่นไฉขึ้นมา เพียงแต่ยืนกล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า
“ก็แค่นักเลงที่ถูกปล่อยออกมา หรือเหอจินอิ๋นยังคิดจะแก้แค้นเจ้าให้ได้ ภัยใหญ่อันใดกัน!! อย่าได้ร้อนลน!!”
หวังทงอายุน้อยกว่าหลี่ว์วั่นไฉ 20 กว่าปี ยามนี้กลับเหมือนผู้ใหญ่ถามเด็ก หลี่ว์วั่นไฉถูกถามเช่นนี้ ร่างกายก็สงบนิ่งลง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ตอนบ่ายกำลังจะออกเวร ขันทีน้อยในวังผู้หนึ่งก็นำสารลายมือของเถียนกงกงจากสำนักส่วนพระองค์มา บอกว่าในเมื่อหลักฐานไม่พอ เช่นนั้นก็ปล่อยเหอจินอิ๋นไป…ใต้เท้าหวงกับใต้เท้าเฉินไหนเลยจะกล้ารอช้า รีบปล่อยคนทันที และยังลงโทษข้าน้อย บอกว่าให้พักงานรอตัดสิน!!”
พูดถึงตอนสุดท้าย หลี่ว์วั่นไฉเสียงสั่นเครือเล็กน้อย อย่ากล่าวหาว่าเขากลัวถึงขั้นนี้ สำนักส่วนพระองค์ถึงกับออกหน้าเอง แม้แต่หวังทงก็ต้องยอมถอยหลายก้าว!
สำนักส่วนพระองค์หากพูดถึงอำนาจแท้จริง ว่ากันว่าเป็นองค์กรอำนาจสูงสุดของราชวงศ์หมิงก็ว่าได้ เพราะว่าสำนักส่วนพระองค์รับหน้าที่กาสีชาดอนุมัติลงในฎีกาแทนองค์ฮ่องเต้ สถานสูงส่งกว่าคณะเสนาบดีใหญ่เสียอีก
ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้จูลี่เป็นต้นมา ก็มีตำนานเรื่องเล่าถึงอำนาจขันทีและสำนักส่วนพระองค์มากมาย หลี่ว์วั่นไฉเป็นเพียงเจ้าหน้าที่สืบคดีระดับหก เหมือนกับมดปลวกในสายตาของขันทีสำนักส่วนพระองค์ ตอนนี้ถึงกับล่วงเกินบุคคลใหญ่ระดับนี้เข้า ตนเองก็กลัวว่าจะถูกบี้เหมือนกับแมลงตัวน้อยๆ
ความรู้เกรงกลัวในตอนแรกผ่านพ้นไป หวังทงก็ได้สติคืนมา อดถามขึ้นไม่ได้ว่า
“หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็คือเฝิงกงกงผู้เดียว รองขันทีก็คือจางเฉิงกงกง เถียนกงกงคือใคร?”
หลี่ว์วั่นไฉแข้งขาสั่นจนล้มลงไปนั่งกับพื้น ตอบคำถามหวังทงอย่างหมดแรงว่า
“ใต้เท้าหวัง สำนักส่วนพระองค์นอกจากหัวหน้าสำนักขันที ผู้บัญชาการและรองหัวหน้าสำนักขันทีสามคนแล้ว ยังมีขันทีในห้องทรงงานอีกห้าตำแหน่ง เถียนอันกงกงผู้นี้ก็คือขันทีในห้องทรงงานลำดับที่สอง…”
“ท่านอาหวัง ขันทีในห้องทรงงานผู้นี้ยิ่งใหญ่มากหรือ?”
หลีหู่โถวที่ฟังอยู่นาน อยู่ๆ ก็ถามขึ้น หวังทงขมวดคิ้วก้มหน้าครุ่นคิด ไม่สนใจคำถามนี้ หลี่ว์วั่นไฉกลับปลงตก อธิบายด้วยน้ำเสียงเหมือนคนใกล้ตายว่า
“คณะเสนาบดีใหญ่นอกจากมหาอำมาตย์ เสนาบดีแล้ว ก็ยังมีราชบัณฑิตอีกหลายท่าน ขันทีในห้องทรงงานนี้ก็ใหญ่เหมือนราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่”
ราษฎรไม่แน่ว่าจะต้องรู้จักสำนักส่วนพระองค์ แต่ต้องรู้จักมหาอำมาตย์แห่งราชวงศ์หมิงว่าเป็นมหาอำมาตย์ประจำคณะเสนาบดีใหญ่ ในคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนเป็นขุนนางใหญ่
พอกล่าวจบ หลี่ว์วั่นไฉก็ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมาจากไหน จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งโขกศีรษะสิบกว่าทีเสียงดังลั่นพลางร้องไห้เสียงดังกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวังท่านมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับเฝิงกงกง ครั้งนี้ต้องช่วยข้าน้อยให้พ้นภัย ข้าน้อยทำคดีมาไม่น้อย ล่วงเกินคนมาก็ไม่น้อย หากถูกปลด อยู่ต่อไปก็มิสู้ตาย หากใต้เท้าช่วยเหลือข้าน้อย วันหน้าข้าน้อยจะบุกน้ำลุยไฟแทนใต้เท้า…”
หวังทงตบโต๊ะตวาดดังลั่นว่า
“เอาแต่ลนลาน นิ่งสู้เด็กน้อยอย่างเจ้าจินเลี่ยงยังไม่ได้ กลัวอะไรกัน หลี่ว์วั่นไฉ วันนี้ข้าหวังทงรับประกันให้เจ้าตรงนี้ว่า ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบคดีของเจ้าไม่หลุดแน่ คิดจะเลื่อนตำแหน่งก็ใช่ว่าไม่ได้ สงบจิตสงบใจกลับบ้านไป ไม่ต้องกังวลไป!”
ในห้องเงียบเสียงลง หลี่ว์วั่นไฉอ้าปากกว้างจ้องมองหวังทงตาค้าง หวังทงโบกมือให้เขาลุกขึ้นอย่างรำคาญใจ คืนนี้จางเฉิงมาที่หอเลิศรส หวังทงในใจก็พอมีความมั่นใจอยู่มาก จะรับประกันเจ้าหน้าที่สืบคดีสักคนจะไปยากอะไร ที่วุ่นวายใจก็คือเหอจินอิ๋นผู้นั้นถูกปล่อยตัวไป จะแก้แค้นให้เจ้าจินเลี่ยงได้อย่างไร
มาถึงตอนนี้จริงๆ หลี่ว์วั่นไฉคิดว่าความสัมพันธ์ของหวังทงกับเฝิงเป่าและโจวอี้นั้นไม่น่าพึ่งพาอาศัยได้ คืนนี้มาขอร้องที่นี่ ก็เพราะไร้หนทาง คิดเพียงจะฉวยฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้เท่านั้น
ไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายแม้ว่าร้อนใจ แต่ก็ให้คำมั่นหนักแน่นเพียงนี้ ทำเอาตะลึงค้างอยู่ตรงนั้นไปชั่วขณะหนึ่ง
พอพูดถึงเจ้าจินเลี่ยง หลีหู่โถวที่ตั้งอกตั้งใจฟังผู้ใหญ่คุยกันก็อดไม่ได้หันไปมอง เจ้าจินเลี่ยงที่นั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว
หลี่หู่โถวมองซ้ายมองขวา เจ้าจินเลี่ยงไม่ได้อยู่ที่โถงด้านหน้าของร้าน กำลังจะเอ่ยปากถามผู้ใหญ่ในร้าน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังจากห้องโถงในบ้านหวังทง
เสียงหวีดร้องดังโหยหวนนั้น ฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นเจ้าจินเลี่ยง ทั้งสามคนในห้องพากันตกใจมาก นอกจากหลี่ว์วั่นไฉที่ตัวสั่นเทาอยู่ที่พื้นแล้ว คนอื่นๆ ก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน
หลี่หู่โถวเคลื่อนไหวว่องไว ประกอบกับความร้อนใจจึงวิ่งมาถึงเป็นคนแรก หวังทงก่อนออกมาจากห้องมาได้จุดตะเกียงเอาไว้ ประตูที่ปิดสนิทนั้นก็ยังพอมีช่องอยู่ มองเห็นคนอยู่ด้านใน หลี่หู่โถวพุ่งไปเปิดประตูออก พลันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ชะงักไปก่อนจะตะโกนร้องเสียงดังว่า
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าเป็นอะไรไป!!”
เจ้าจินเลี่ยงนอนอยู่ที่พื้น ร่างกายส่วนล่างเปล่าเปลือย เด็กน้อยมือหนึ่งถือมีด มีดและใต้หว่างขาเต็มไปด้วยเลือด เจ้าจินเลี่ยงสีหน้าซีดขาว พอเห็นคนเข้ามา ก็ปากสั่นกล่าวเสียงแห้งว่า
“เสี่ยวเลี่ยงจะเป็นขันที แก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่…”
พอกล่าวจบก็สลบไป หวังทงเห็นภาพเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจไปชั่วครู่ ก่อนจะได้สติคืนมา บอกจางซื่อเฉียงว่า
“ไปบ้านน้าหม่าเอาผ้าขาวสะอาดมาต้มในน้ำเดือด หู่โถวเจ้าไปเอาเกลือมา ซุนต้าไห่ ที่นี่มีหมอที่ไหนบ้าง!!?”
เขาออกคำสั่งไป คนที่ยืนมองสถานการณ์น่าสลดอยู่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อก็รีบขยับตัว หวังทงอุ้มเด็กขึ้นมาก่อน ไม่สนว่าเลือดจะเปื้อนตัว หยิบผ้าเช็ดหน้าไปอุดปากแผลที่เลือดยังไหลอยู่เอาไว้
อุ้มเข้าไปในหอเลิศรส นางหม่าคลุมตัวด้วยเสื้อบุนวมวิ่งเข้ามาร้องไห้ด่าเสียงดังว่า
“เดรัจฉานจากนรกแท้ๆ ถึงได้บีบคั้นให้เด็กน้อยต้องกลายเป็นเช่นนี้”
ด่าไปพร้อมหยิบผ้าขาวที่ลวกน้ำร้อนชุบน้ำเกลือมาเช็ดคราบเลือด ทำการฆ่าเชื้อง่ายๆ ก่อน จางซื่อเฉียงดึงผ้านวมจากเตียงในบ้านผืนหนึ่งมาห่อตัวเจ้าจินเลี่ยงที่สลบอยู่บนโต๊ะ หวังทงรีบอุ้มออกไปอย่างรีบร้อน หม่าซานเปียวและซุนต้าไห่รออยู่ด้านนอก ถนนทักษิณนับว่าเป็นพื้นที่ร่ำรวยในเขตทักษิณ ดังนั้นจึงมีร้านยาที่มีหมอเฉพาะทางอยู่ ซุนต้าไห่หลายวันนี้ก็เดินเตร่บนถนนทักษิณไปทั่วทุกที่ หม่าซานเปียวก็เป็นคนในพื้นที่ ก็รู้ว่าที่ไหนมีหมอ
หลี่ว์วั่นไฉขี่ม้าตามมาด้วย เด็กคนนี้บาดเจ็บไม่อาจขี่ม้าได้ ได้แต่อุ้มไป ทำให้ทุกคนร้อนใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ยังดีที่ระยะทางไม่นับว่าไกลมากนัก ไม่นานก็มาถึงประตูบ้านหมอ หม่าซานเปียวก้าวไปตบประตูเรียก ข้างในกลับไม่มีเสียงเคลื่อนไหวตอบรับ
ชายใจร้อนเริ่มโมโห ให้ซุนต้าไห่เป็นฐานส่งตัวเขาข้ามกำแพงไปเปิดประตูจากด้านใน
ขณะที่พวกหวังทงกำลังเข้าไป ประตูห้องของบ้านหมอปิดแน่น ได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กดังลอดออกมา ได้ยินเสียงหมอผู้นั้นพูดอย่างหวาดกลัวว่า
“ชายหนุ่ม ท่านเอาเงินทองไปเลย อย่าได้ทำร้ายคนในบ้านข้า…”
พอกล่าวถึงสาเหตุการมาจบ หากไม่เห็นชุดขุนนางที่หลี่ว์วั่นไฉและซุนต้าไห่กับคนอื่นๆ ที่สวมอยู่ เกรงว่าหมอผู้นั้นก็คงจะหลุดด่าไปแล้ว
เพราะเป็นหมอที่เปิดร้านรักษา ในบ้านย่อมมียาและเครื่องมือพร้อม และยังรู้ว่าควรทำอย่างไร พอเห็นเจ้าจินเลี่ยงที่ถูกห่อด้วยผ้า หมอผู้นี้ก็ตกใจมาก
หมอเครายาวสีขาว ลูกและภรรยาก็พอรู้การแพทย์บ้าง คนทั้งบ้านก็พากันชุลมุนวุ่นวาย หวังทงและคนอื่นๆ ถูกกันออกไป พวกเขาถูกเข้าใจว่าเป็นโจรมาบุกปล้น ทำเอาอีกฝ่ายตกอกตกใจ แน่นอนย่อมไม่อาจมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ดีต่อกันได้
หวังทงสีหน้ามืดมน ตอนออกมาก็ดึงเสื้อของหลี่ว์วั่นไฉมาซักถามอย่างโมโห ในใจหวังทงเดือนสุดขีด เรื่องที่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัดอย่างนี้ ทำไมถึงได้แพ้หมดรูปเช่นนี้ได้ ยังทำให้เด็กน้อยต้องมาเป็นเช่นนี้
คิดดูแล้วเป็นเพราะไม่ได้ปิดบังบางคำพูดกับเจ้าจินเลี่ยง อย่างเช่น เหอจินอิ๋นมีคนในวัง เถียนกงกงจากสำนักส่วนพระองค์ที่เทียบได้กับราชบัณฑิต คาดว่าน่าจะทำให้เจ้าจินเลี่ยงเกิดความคิดสุดโต่งเช่นนี้ออกมาได้ ความแค้นของบิดามารดา ย่อมต้องตอบสนองด้วยการกระทำที่สุดโต่งเช่นนี้
เจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ จึงรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด แต่ก็เหมือนกับที่พูดมาก่อนหน้าทุกอย่าง
เดิมได้ปรึกษากันกับเจ้ากรมเหอเซินและรองเจ้ากรมเฉินจื้อจงแห่งศาลซุ่นเทียนแล้วว่า วันที่ 18 เดือนหนึ่งนี้หากเฝิงกงกงหรือโจวกงกงไม่ฝากวาจามาบอกกล่าวอันใดก็จะปล่อยเหอจินอิ๋น
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ตอนบ่ายจะมีขันทีน้อยชุดเขียวผู้หนึ่งขี่ม้ามา วางท่าวางทางยื่นสารจากขันทีในห้องทรงงานจากสำนักส่วนพระองค์ เดิมทีเจ้ากรมและรองเจ้ากรมที่รู้สึกไม่สบายใจกันอยู่แล้วจึงได้ตัดสินใจปล่อยคน และยังเอาเรื่องหลี่ว์วั่นไฉกับสองมือปราบนั่น หลี่ว์วั่นไฉนั่นแค่พักงาน แต่หวังซื่อกับหลี่กุ้ยนั่นถึงกับถูกไล่ออกเลย
ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบคดีมีค่าน้ำร้อนน้ำชาเยอะ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่จ้องจะเอาอยู่ ในใจหลี่ว์วั่นไฉรู้ดีว่าหากตนเองล้มลง มีความเป็นได้มากว่าจะเหมือนกับกำแพงถูกผู้คนล้ม เงินทองที่เก็บเกี่ยวได้มาก็ต้องกลายเป็นเนื้อก้อนโตในสายตาผู้อื่น อย่าว่าแต่เงินทองวาสนาเลย แม้แต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้ ดังนั้นจึงรีบมาขอความช่วยเหลือจากหวังทง
หวังทงเดินไปมาอยู่ในลานบ้าน เรื่องครั้งนี้ตนเองมิได้ดำเนินการผิด วิธีการที่ใช้อำนาจที่ยืมมาอ้างก็มิผิด แต่กลับสู้ที่พึ่งพิงอีกฝ่ายไม่ได้
โจวอี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงปลีกตัวออกไป นอกจากโจวอี้แล้ว ตนเองก็ไม่อาจหาสายสัมพันธ์ใดๆ ในวังได้อีก
ภาพลายอักษรของเฝิงเป่าที่แขวนอยู่บนกำแพงและการที่ตนจะได้ออกกำลังกายพร้อมกับฮ่องเต้ เปรียบเหมือนมีทองหมื่นตำลึงในบ้าน แต่กลับไม่อาจใช้การได้ อีกฝ่ายมีแค่ไม่กี่พันตำลึงเงิน กลับใช้ตามอำเภอใจ ใครเหนือกว่าก็เห็นได้ชัดแล้ว
ตนเองกับคนรอบตัวคงไม่มีอันตรายอะไร ทุกอย่างปกป้องไว้ได้ แต่คดีนี้จะสืบความจริงให้กระจ่างได้หรือไม่ คนร้ายที่บีบคั้นให้บิดามารดาเจ้าจินเลี่ยงต้องตายนั้นลอยนวลเหนือกฎหมายหรือไม่ ทำให้เจ้าจินเลี่ยงความคิดความอ่านไม่ค่อยปกตินักในยามนี้ทำเรื่องนี้สุดโต่งออกไป เป็นความพ่ายแพ้หมดรูปจริงๆ
ยามนี้ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังมา พอหันไปมอง แสงตะเกียงส่องเห็นหลี่หู่โถวยืนจ้องประตูอย่างเคร่งเครียด กัดปากแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
สามารถเห็นเงาคนในบ้านท่านหมอสามคนจากแสงตะเกียงที่ทาบบนกระดาษบุหน้าต่าง ท่านหมอสั่งคนในบ้านให้หยิบยาต้มยาไม่หยุด หยิบเครื่องมือต่างๆ แต่เจ้าจินเลี่ยงก็ยังคงนิ่งเงียบ ระดับการแพทย์ในสมัยนี้ หวังทงก็ไม่มั่นใจอะไรนัก บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้จะช่วยให้กลับคืนมาได้หรือไม่ ในใจก็ไม่มั่นใจนัก
ในบ้านท่านหมอเงียบผิดปกติ หวังทงยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวทันใดก็นึกบางอย่างได้ คิดจะยึดมั่นคุณธรรมในยุคสมัยนี้ ตอบแทนบุญคุณความแค้นได้ทันใจ ก็ต้องมีกำลังและอำนาจเพียงพอ มิเช่นนั้นทุกอย่างล้วนจบกัน ไม่เพียงแต่ยืนหยัดต่อไปไม่ได้ ยังได้แต่มองคนรอบตัวถูกทำร้าย ตนเองกลับไร้ความสามารถช่วยเหลือ
จุดมุ่งหมายในชีวิตคนอยู่ๆ ก็ชัดเจนขึ้นเช่นนี้เอง ต้องมีเงินทองวาสนา และต้องเป็นวาสนาใหญ่ ความมั่นใจของหวังทงเต็มเปี่ยม เขาได้เปิดทางด่วนเข้าสู่วาสนาใหญ่อย่างรวดเร็วที่สุดเอาไว้แล้ว