Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 737

ตอนที่ 737 ลงทัณฑ์ก่อนสงคราม หวังทงไม่ฟังทัดทาน

ร้านสามธารา ร้านจิ้นเหอและร้านค้ามีชื่อ ใช่ว่าทุกคนจะรู้ว่ามีสายสัมพันธ์กับหวังทง แต่หวังทงให้การดูแลร้านค้าพวกนี้ทุกคนล้วนเห็นด้วยตา

ร้านค้าพวกนี้จัดขบวนการค้าออกนอกด่าน มีทหารม้าพวกนอกด่านมารอรับ พูดให้ถูกก็คือ เท่ากับว่าผู้แทนพระองค์ ผู้บัญชาการเมืองต้าถงกับพวกนอกด่านร่วมมือกัน กองโจรม้าทุ่งหญ้านอกด่านกล้าเพียงใด จะยังคิดมาปล้นอีกหรือ

แต่ทหารช่องเขาสังหารพยัคฆ์กองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงพอเห็นขบวนพ่อค้าสภาพยับเยินเข้าด่านมา แต่ละคนตาเบิกกว้าง กองโจรม้าช่างเหิมเกริม ถึงกับกล้าปล้น

ข่าวแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทหารม้าพวกนอกด่านคุ้มกันไปถึงเมืองกุยฮว่าเฉิงส่งมอบสินค้าเสร็จ ก็ไม่มีเรื่องอันใดให้คุ้มกันต่อ ขากลับก็เลือกซื้อสินค้าจากเมืองกุยฮว่าเฉิงกลับมา หากพวกนอกด่านไม่กลับมาส่งแล้ว ระหว่างทางขบวนพ่อค้าปะทะเข้ากับกองโจรม้า

กองโจรม้าเพียงแค่กวาดเอาทรัพย์สินไปหมด ไม่ได้สังหารทิ้ง ดูท่าแล้วเป็นการกระทำเช่นกองโจรม้าชุดแรกๆ

แม้ไม่ได้ทำร้ายชีวิต แต่เมืองต้าถงก็เหมือนว่าถูกตบหน้า ขายหน้ายิ่ง กองโจรม้าไม่ไว้หน้าทุกคนเลย!

ช่องเขาสังหารพยัคฆ์ห่างจากกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงไม่ไกล ทุกคนได้รับรู้ปฏิกิริยาเบื้องบนอย่างรวดเร็ว หวังทงผู้แทนพระองค์ ผู้บัญชาการเมืองต้าถง ใต้เท้าหวังโมโหมาก

ยามนี้เป็นวันที่ 23 เดือนสิบสอง ในและนอกเมืองต้าถงได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังสนั่น แต่พวกที่รู้เรื่องการทหารล้วนรู้ว่าไม่ใช่บรรยากาศการเฉลิมฉลองอันใด กลับรู้สึกว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร

ทางตะวันออกไปทางเมืองกุยฮว่าเฉิงสองสามร้อยลี้ หากมีกลุ่มควันไฟย่อมเป็นที่สังเกตโดยง่าย และหลายคนจำได้ว่า ทางนั้นเป็นที่ส่งทหารม้าออกปราบกองโจรม้า

พอทหารม้าชุดสองไปถึงที่นั่น ก็เห็นแต่กองหัวกองเท่าภูเขา กำลังลุกไหม้อย่างน่าอนาถ กลิ่นเหม็นยากรับไหว พวกฝูงแร้งสัตว์ป่ากำลังกัดแทะร่างพวกเขาอยู่

พวกทหารนอกด่านกองพันนี้เรียกได้ว่าเป็นพวกแนวหน้า หน้าตาพวกเขาทุกคนย่อมจำได้ จำได้คนหนึ่ง ที่เหลือก็จำได้หมด

ทุกคนล้วนคำรามตวาดดังก้องด้วยความโมโหเคียดแค้น ถืออาวุธกวัดแกว่งฟาดฟันใส่ท้องฟ้า คิดจะตามสะกดรอยจากพื้นหิมะที่เป็นน้ำแข็งนั้นไม่ง่ายนัก เพราะไฟกับควันได้ปกคลุมร่องรอยไปทั่วบริเวณแล้ว

************

“ขุนพลหลัว คนของท่านรังแกหญิงชาวบ้านจนผูกคอตาย เรื่องนี้จริงหรือไม่?”

ในกระโจมหวังทง บรรยากาศไม่เหมือนกับการเฉลิมฉลอง หวังทงบนเก้าอี้นั่งถามหัวหน้าทหารผู้หนึ่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ พื้นด้านหน้ามีชายแต่งกายแบบนายกองพันหัวแตกเลือดอาบคุกเข่าอยู่ ตัวถูกมัดแน่นหนา หัวหน้าทหารแต่ละหน่วยล้วนอยู่ในที่นั้นหน้าตาเคร่งเครียด มองชายที่คุกเข่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ขุนพลแซ่หลัวหน้าตาดุดัน รูปร่างกำยำ แต่ยามนี้สภาพดูย่ำแย่มากกำลังประสานมือกล่าวว่า

“ใต้เท้า นายกองพันอวี๋เลอะเลือนไปชั่วครู่ ข้าน้อยยินดีชดเชยให้ครอบครัวหญิงผู้นั้น ขอใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย……”

“ในเมื่อมีเรื่องเช่นนี้จริง ก็ลากตัวออกไปลงทัณฑ์ได้!”

หวังทงไม่ให้โอกาสได้แก้ตัวต่อ ทหารสองนายได้ยินคำสั่งหวังทงก็ก้าวเข้ามา ลากตัวออกไปทันที

นายกองพันผู้นั้นดิ้นรน แต่ร่างถูกมัดแน่นหนา จะดิ้นไปไหนได้ ก่อนออกไป หวังทงกล่าวสำทับน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“ตัวหัวแล้วก็ใช้ทวนยาวเสียบประสานไว้ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง พวกฝ่าฝืนวินัยทหารมีจุดจบเช่นไร!”

ทหารรับคำ นายกองพันคิดตะโกนด่า หากถูกคนยัดผ้าอุดปากไว้ ลากตัวออกไป หวังทงมองขุนพลหลัวกล่าวว่า

“หลัวอวี้เฉิง ข้าเคยบอกว่ายามนี้เท่ากับยามสงคราม ห้ามออกนอกค่ายพัก นายกองพันค่ายเจ้าถึงกับออกไปเที่ยวในเมืองดื่มสุราบุกเข้าบ้านชาวบ้าน เจ้าเป็นขุนพลคุมกำลังได้อย่างไร!?”

น้ำเสียงหวังทงเข้มงวดเอาจริง ขุนพลหลัวเข่าอ่อนยวบ คุกเข่าลงกับพื้นทันที ต่อด้วยโขกศีรษะติดๆ กันกล่าวว่า

“ข้าน้อยผิดไปแล้วๆ ขอใต้เท้าไว้ชีวิตๆ”

ทหารชายแดนเอาแต่ขี้ขลาดกับพวกนอกด่าน แต่ในด่านกลับวางอำนาจ ชาวบ้านต่างหวาดกลัวไม่พอใจ หากทหารกองกำลังหู่เวยกับเมืองจี้โจวมีระเบียบวินัย ทำให้ราษฎรในพื้นที่ไม่รู้สึกหวาดกลัว จึงได้ผ่อนคลายความกังวล แต่ทหารในพื้นที่กลับทำเรื่องบัดซบดังเดิมได้ แม้ว่าหวังทงมีคำสั่งไว้ก่อนหน้าแล้วก็ยังไม่สนใจดูแลให้ดี

นายกองพันผู้นี้ดื่มไปหนัก บุกเข้าบ้านชาวบ้านขืนใจหญิงสาวในบ้าน หญิงผู้นั้นทนอับอายไม่ไหวฆ่าตัวตายไป ปกติเรื่องพวกนี้ก็จะถูกลืมๆ กันไป

หากเจ้าทุกข์เอาเรื่องหนัก ก็อาจถูกสังหารทิ้งไปด้วย เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เกิดครั้งสองครั้ง แต่ตอนนี้หวังทงมาประจำที่นี่ บิดาหญิงสาวผู้นั้นวิ่งมาร้องทุกข์ที่กระโจมหวังทง

ทหารคุ้มกันหวังทงเป็นทหารจากกองกำลังสังกัดวังหลวงเทียนจิน ปกติรักษาระเบียบวินัยเคร่งครัด ย่อมไม่ค่อยได้เห็นเรื่องเช่นนี้ ข่าวการร้องทุกข์แพร่เข้าหูหวังทงอย่างรวดเร็ว

ความประพฤติชั่วร้ายดังสัตว์ป่าย่อมควรได้รับการลงโทษ ที่ทำให้หวังทงโมโหมากก็คือตนเองประกาศไปแล้วว่ายามสงครามแล้ว นายกองพันผู้นั้นยังหนีออกจากค่ายทหารไปดื่มสุราก่อเรื่องอีก

ฝ่าฝืนวินัยทหาร ย่อมต้องถูกลงโทษ แต่เรื่องนี้ไม่แค่นี้ เพราะตอนไปจับกุมคนทำผิดวินัย ถึงกับถูกคนกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถงขวาง

นายกองพันผู้นั้นมีทหารม้าในสังกัดพันนาย แต่ละคนจงรักภักดีอย่างมาก ยังมีคนตะโกนว่า ‘หากทหารมาจับ อย่างมากก็เผาที่นี่หนีไปสวามิภักดิ์พวกทุ่งหญ้านอกด่าน!’

ผู้แทนพระองค์อายุน้อยมาที่นี่นำกำลังทหารนับหมื่น วันๆ ควบคุมทุกคนจนขยับตัวไม่ได้ ทุกคนล้วนไม่พอใจกันมาก คิดว่าจะทำให้หวังทงเห็นฤทธิ์เสียบ้าง ทำให้รู้ว่ากองทัพนี้อาศัยกองกำลังคุณชายน้อยเจ้า หรือว่าอาศัยกำลังในพื้นที่กัน

ปฏิกิริยาหวังทงก็ง่ายมาก ส่งหลี่หู่โถวนำทหารหน่วยที่ 1 นำปืนใหญ่ 4 กระบอกออกไปค่ายทหารนั้น พวกทหารที่วางอำนาจบาตรใหญ่พอเห็นแถวทหารรบหน่วยที่ 1 ตั้งแถวก็หมดท่า

พวกเหิมเกริมก็ส่วนเหิมเกริม อย่างไรก็เป็นทหารที่ฝึกมา เห็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าเป็นทหารแข็งแกร่ง ตนเป็นแค่ไข่ไก่ นับประสาอันใดกับการนำเอาปืนใหญ่มาอีกสี่กระบอก ช่างน่าตกใจเสียจริง

เดิมในค่ายก็มีอาวุธ ทุกคนก็เตรียมข่มอ้างบารมีกัน พอเห็นปืนใหญ่มา ก็รู้สึกว่าแค่ขู่ ไม่กล้ายิงคนกันเองหรอก เลยไปหลบด้านหลังด่าไม่หยุด

หลี่หู่โถวทนเห็นข้อผิดพลาดดังเม็ดทรายระคายตาไม่ได้ จึงออกคำสั่งให้พลปืนไฟยิงไประลอกหนึ่ง ศพหลายสิบอยู่ตรงหน้า พอเห็นทหารกองกำลังหู่เวยเช่นนี้ ทหารอื่นก็รู้ว่าหากยังก่อเรื่องต่อ ทางนั้นคงไม่ไว้หน้าสังหารอีกรอบเป็นแน่ จึงรีบยอมสลายตัว

พอนายกองพันผู้นั้นถูกจับได้ ขุนพลหลัวก็รีบมาถึง เมื่อก่อนไม่ว่ามีเรื่องกันอย่างไร ไม่เคยออกหน้า

พอรู้ฤทธิ์เดชกองกำลังหู่เวยแล้ว จึงไม่กล้าแอบหลบหัวเราะเยาะอยู่ พอเข้าไปในพื้นที่ตั้งกระโจมกองกำลังหู่เวย ได้เห็นการป้องกันแน่นหนา ท่าทีที่วางท่าไม่กลัวเกรงก็ลดลง พอถึงในกระโจมก็เริ่มหวาดกลัว ไม่กล้าส่งเสียงดัง

รองแม่ทัพหม่าต้งเมืองต้าถงมองมายังขุนพลหลัวด้วยสายตาดุดัน เมื่อก่อนอยู่กองกำลังเทียนเฉิง เป็นรองแม่ทัพ ขุนพลผู้นี้ไม่ยอมลงให้ ทำอะไรตามใจตนเอง เขาก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ครั้งนี้เท่ากับมาขายหน้าต่อหน้าหวังทงโดยแท้ ช่างน่าโมโหยิ่งนัก

“รองแม่ทัพหม่า นี่ไม่ใช่เวลายามปกติ หลัวอวี้เฉิงปล่อยให้ลูกน้องก่อเรื่อง ท่านว่าควรจัดการเช่นไร?”

ในกระโจมได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกเข้ามาเป็นระยะ หวังทงอยู่ๆ ถามขึ้น หม่าต้งอึ้งไปรีบตอบว่า

“หลัวอวี้เฉิงเองก็ไม่รักษาวินัย ในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่ฉลาด เหลวไหลเช่นนี้ จะให้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อได้อย่างไร ขอใต้เท้าเลือกคนใหม่มาดำรงตำแหน่ง!”

“ปลดหลัวอวี้เฉิงจากตำแหน่งขุนพลกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถง นำทหารในสังกัดมาอยู่กองทัพปฏิบัติหน้าที่สร้างความชอบชดใช้ความผิดต่อ ตำแหน่งขุนพลกองกำลังฝ่ายขวาเมืองต้าถง รองแม่ทัพหม่าเป็นผู้ดูแลเมืองต้าถง ก็ให้ท่านกับขันทีคุมเสบียงสวีกงกงหารือแต่งตั้งก็แล้วกัน!”

หม่าต้งรีบคำนับรับคำ ไม่มีผู้ใดสนใจหลัวอวี้เฉิงที่หน้าตาบึ้งตึง หวังทงครานี้นับว่าให้น้ำใจแก่หม่าต้งมาก ให้เขาจัดการตำแหน่งที่ว่างลง ทำให้หม่าต้งเริ่มมีสถานะมั่นคงในเมืองต้าถง

ทหารเมืองต้าถงแม้ไม่พอใจเรื่องนี้เท่าไร แต่เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้วก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับไป ทหารของใต้เท้าผู้แทนพระองค์นำมานั้นเก่งกล้าจริงๆ จัดการทหารกเฬวกรากเมืองต้าถงได้อย่างง่ายดาย กอปรกับตอนนี้รองแม่ทัพหม่าต้งก็ยอมอ่อนให้ ทุกคนก็รู้ว่าต้องอดทนเก็บงำความรู้สึกตนให้ดี

*************

วันที่ 25 เดือนสิบสอง มีข่าวจากทุ่งหญ้านอกด่าน เมืองกุยฮว่าเฉิงยกทัพมาทีเดียวหมื่นนาย ออกกวาดล้างค้นหากองโจรม้าทั่วทุ่งหญ้า ต้องการเพียงแค่กวาดล้างกองโจรม้าที่เหิมเกริมให้สิ้น

ทหารม้าพวกทุ่งหญ้านอกด่านเดิมที่ยังมีวินัยอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้ไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น ชายแดนเมืองต้าถงเริ่มส่งสัญญาณเตือนมา ทางซ้ายของเมืองเห็นสัญญาณคบไฟจุดขึ้น เดิมทีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ก็มิได้มากมายอันใด ยามนี้กลับถูกกลิ่นอายสังหารกลบมิดไปหมดสิ้น

สถานการณ์เคร่งเครียด ผู้แทนพระองค์หวังทงก็กำลังโมโหหนักกับขบวนพ่อค้าถูกปล้น ผู้แทนพระองค์หารือกับใต้เท้าในเมืองต้าถงแล้ว ตัดสินใจว่าไม่อาจปล่อยให้กองโจรม้าเหิมเกริมต่อไปได้ และไม่อาจปล่อยให้ทหารม้าพวกนอกด่านเคลื่อนไหวอย่างไร้ขอบเขตเช่นนี้ได้อีก หากไม่ใช่ว่ามาปราบกองโจรม้า แต่กลับเข้าโจมตีเมืองต้าถง ใช่ว่าเป็นภัยใหญ่หรือ

พวกศัตรูนับหมื่น ทางนี้อย่างไรก็ต้องเตรียมการรับมือ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ตัดสินใจขอทัพกองกำลังหู่เวยกับเมืองจี้โจวมาช่วย รวมกับทหารเมืองต้าถงออกนอกด่านไปปราบปรามกองโจรม้าและกำราบพวกนอกด่าน

พอได้ยินข่าวเช่นนี้ทุกคนก็ต้องตกตะลึงไป กำราบพวกนอกด่าน อย่าถูกพวกนอกด่านกำราบมาก็ไม่เลวแล้ว ตอนนี้ทหารแต่ละกองกำลังมารวมตัวกัน แอบตัวอยู่ในกำแพงรอดไปได้ก็ดีแล้ว ยังจะออกไปทำไมกัน หรือว่าไม่เคยได้ยินว่าส่งแพะเข้าปากเสือกัน

พวกที่ถูกหวังทงจัดการมา เช่นจวนอ๋องไต้ก็เขียนฎีการอ รอให้หวังทงแพ้พวกทุ่งหญ้านอกด่านก็จะยื่นฎีกาทันที พวกที่รู้ความหน่อย ก็พากันเขียนจดหมายหรือไม่ก็ส่งคนไปเตือน

วัยหนุ่มฉกรรจ์กับพวกมุ่งมันเหมือนกัน หวังทงย่อมฟังวาจาความเห็นคนอื่นไม่เข้าหู ยังคงตัดสินใจตามความคิดตนเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!