ตอนที่ 747 ทางไหนก็ไม่ปล่อย
พลปืนไฟแถวที่หนึ่งขึ้นไกปืนพร้อม ยิงปืนไฟไป เก็บปืนและไม้วางปืน ก่อนจะคำนับวิ่งกลับ
พลปืนไฟแถวที่สองก้าวขึ้นหน้า ยืนในตำแหน่งแถวที่หนึ่ง ปืนไฟวางบนไม้วาง ยิงต่อ จากนั้นก็ถอยหลัง ให้แถวที่สามขึ้นเติม
ก็หมายความว่า พลปืนไฟแถวที่หนึ่งถอยออก ยังมีพลปืนไฟเก้าแถวเรียงอยู่ด้านหลัง มีเวลาพอเติมกระสุน กองกำลังหู่เวยฝึกทุกวัน พลปืนไฟเป็นพลทหารคัดเลือกมาอย่างดีของกองกำลังหู่เวย ในเวลาเช่นนี้ พวกเขาทุกคนย่อมเคลื่อนไหวว่องไว บรรจุกระสุนรวดเร็ว ยังมีเวลาเหลือให้จัดให้เรียบร้อยแบบไม่ต้องรีบ
1,200 นายล้วนเป็นเช่นนี้ 10 แถวผลัดเวียน กลายเป็นผลัดกันยิงไม่หยุด ก็หมายความว่า ในเวลาอันน้อยนิด พลปืนไฟกองกำลังหู่เวยสามารถยิงได้ 1,200 นัดใส่ศัตรูตรงหน้า จากนั้นก็กลับมาตั้งรับได้เหมือนเดิม
ทหารม้าพวกนอกด่านวิ่งเข้าปะทะแถวพลปืนไฟเช่นนี้ ระยะ 100 ก้าว พวกเขาเริ่มเร่งความเร็ว หากถูกปืนไฟระดมยิงบาดเจ็บล้มตาย ส่วนใหญ่ไม่อาจหยุดม้าเอาไว้ได้
แม้ว่ามีคนกระชากม้าให้หยุด ก็ย่อมถูกคนด้านหลังบี้เข้าใส่ ทหารม้าด้านหลังถูกยิงร่วงหมด เปิดพื้นที่ให้ยิงเพื่อนทหารด้านหลังต่อ
มีคนชำนาญการขี่ม้า จึงแอบอยู่ด้านข้างของม้า แต่พอถูกปืนไฟยิงเข้า ควันดินปืนและเสียงปืนที่ดังทำให้ม้าตกใจ กระโดดยกตัวขึ้น จึงทำทหารร่วงทับทหารไว้ข้างใต้ หรืออาจลากวิ่งไปไกลอย่างไรทิศทาง เช่นนั้นอนาถยิ่งกว่าตาย
พวกที่ถูกปืนไฟยิงอาจไม่ตายในทันที แต่ไม่อาจลุกขึ้นทัน จึงถูกเพื่อนทหารด้านหลังเหยียบตาย เรียกได้ว่าตายอย่างรวดเร็วทันใจเช่นกัน
ตอนปืนไฟระดมยิง ทั่วสนามรบเงียบกริบ ดินปืนดำกลบทั่วสนามรบ ด้านหน้าพลปืนไฟคละคลุ้งไปทั่วด้วยควันดินปืน มองไม่เห็นอันใดชัดนัก
แม้แต่ฝีเท้าม้าศัตรูก็ไม่ได้ยิน ยามนี้ตำแหน่งบนหอคอยสังเกตการณ์เริ่มมีประโยชน์ที่สุด คนด้านบนส่งข่าวลงมาว่า ทัพใหญ่ทหารม้านอกด่านหยุดแล้ว กำลังถอนกำลังกลับ
ออกจากเขามาได้ ในฤดูหนาว ลมเหนือพัดแรงไม่น้อย ควันดินปืนจางหางไปอย่างรวดเร็ว ทั่วสนามรบเมื่อครู่ยามนี้เต็มไปด้วยกองซากศพคนและม้า พลังชีวิตม้านั้นมากกว่าคน
พอถูกยิง ก็ดิ้นรน ขาม้าดิ้นรนพยายามลุก แต่แรงก็ค่อยๆ หมดลง ระยะ 80 ก้าว เป็นระยะที่เรียกว่ายิงเด็ดขาด ไม่มีศัตรูหลงเหลือแม้แต่คนเดียว
ทัพทหารม้าพวกนอกด่านถอนออกไประยะ 300 ก้าวขึ้นไป ไม่กล้าเข้าใกล้อีก เงียบไปนานไม่เท่าไร มีคนในกองกำลังหู่เวยถึงกับ ‘อาเจียน’ ออกมา
ครั้งนี้เป็นปฏิบัติการของกองกำลังหู่เวยสองหน่วย นอกจากพลปืนใหญ่และพลม้าแล้ว ก็มีทหารหน่วยรักษาความปลอดภัย รวมแล้วเกือบสองพัน พวกเขาไม่เหมือนทหารอาชีพ ภาพสนามรบนองเลือดโหดร้ายเช่นนี้เคยเห็นครั้งแรก
เมื่อครู่หม่าซานเปียวนำทัพม้าออกรบ สนามรบเช่นนี้ทำเอาเลือดในกายร้อนระอุ แต่พอปืนไฟยิงไป ก็ทำให้ไม่รู้สึกว่าได้ออกรบ
สองฝ่ายไม่ได้ใช้อาวุธเข้าปะทะกันเลย ได้แต่ระยะห่างร้อยก้าว อีกฝ่ายก็ถูกยิงล้มหมดแล้ว
ควันดินปืนคละคลุ้งไปทั่ว เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดดังระงม พอควันดินปืนถูกพัดไปหมด ก็เห็นแต่ซากศพม้าและคน กลิ่นคาวเลือดลอยมา นี่ไม่ใช่การรบ เหมือนการสังหารหมู่มากกว่า
คนที่เพิ่งออกสนามรบครั้งแรกไหนเลยจะทนรับได้ มีคนอดไม่ได้อาเจียนออกมา มีคนอาเจียน ทหารกองกำลังหู่เวยพากันหัวเราะดังลั่น ทุกคนล้วนเคยผ่านเหตุการณ์นี้มา แต่เห็นคนอื่นในสภาพนี้ ก็เป็นเรื่องน่าขันไม่น้อย
ไม่รู้ว่าอยู่ๆ มีใครตะโกนดังว่า
“กองกำลังหู่เวย ต้องชนะ!!”
ทั้งลานเงียบกริบ ทุกคนตะโกนดังตาม เริ่มแรกไม่กี่เสียง ต่อมาก็กลายเป็นหลายพันคนตะโกนดังพร้อมกันว่า
“กองกำลังหู่เวย ต้องชนะ!! กองกำลังหู่เวย ต้องชนะ!!”
ม้าในกองทัพพากันตกใจ ส่งเสียงร้องดัง ดีที่ทหารม้าบังคับม้าได้ทัน ทัพม้าที่วิ่งกลับมาสมทบก็ร้องตะโกนตามไปด้วย
ทหารเมืองจี้โจวกับเมืองต้าถงกำลังมองดูด้วยอาการอ้าปากค้าง ผู้ใดล้วนไม่คิดว่า กองกำลังหู่เวยที่ดูเหลวไหล ถึงกับได้รับชัยชนะที่เด็ดขาดเช่นนี้ได้
เสียงตะโกนดังต่อๆ กันไป ทหารม้าพวกนอกด่านที่ห่างกออกไปหลายร้อยก้าวก็พากันตื่นตระหนก บนหอสังเกตการณ์สามารถมองเห็นทัพพวกนอกด่านมีทหารม้าเริ่มหนีกระจัดกระจายออกไปสี่ทิศ
หวังทงยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เสียงดังเพราะตื่นเต้นในชัยชนะจะเริ่มเงียบลง หวังทงกล่าวเสียงดังกังวานว่า
“ถ่ายทอดคำสั่ง หม่าหย่ง จางเหล่ยนำทหารม้าออกไป ขับไล่พวกนอกด่าน แต่อย่าไล่สังหารไปไกลนัก พอสมควรแล้วก็รีบกลับมารายงานตัว!!”
ออกไล่ล่ายามนี้ก็เท่ากับกำชัยชนะขับไล่สุนัขตกน้ำ ไม่ใช่ไปรนหาที่ ยังมีเงินรางวัลก้อนใหญ่ให้รอรับ หม่าหย่งเสียงดังรับคำสั่ง มีคนรถเข้าไปเปิดทางรถใหญ่ ให้ทหารม้าเมืองต้าถงออกไปตั้งแถว
ทหารถ่ายทอดคำสั่งไปยังหยางจิ้น สถานการณ์ตอนนี้ ก็เป็นช่วงเวลาอาศัยจังหวะชนะไล่ล่า รถตู้ม้าก็เปิดทางออก ให้ทัพม้าออกไปจัดแถว รวมกำลังสองเป็นหนึ่งกับทัพเมืองต้าถง
ปฏิกิริยาทหารม้าพวกนอกด่านก็ไวพอตัว ถึงตอนนี้ ทหารม้าหมิงได้เปรียบเรื่องจำนวนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่เมื่อครู่ทัพม้าสองฝ่ายปะทะกัน ทหารม้าแผ่นดินหมิงแสดงแสนยานุภาพการรบได้เช่นนั้น
เสียงเป่าเขาสัญญาณดัง ทหารม้าพวกนอกด่านหันหลังวิ่งหนีทหารหมิงไปให้ไกลที่สุด มีทหารม้าหมิงจัดทัพเสร็จส่งเสียงร้องดังวิ่งตะบึงมาไล่ล่าสังหารแล้ว
ทหารม้าทหารหมิงตอนนี้ไม่ได้ทำอันใดน่ากลัว แต่ทหารม้าพวกนอกด่านผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ไป ถูกพลปืนไฟกองกำลังหู่เวยยิงรับ ความกล้าหาญก็มลายหายไปสิ้น ระยะห่างอีกตั้งหลายร้อยก้าว ทหารม้าพวกนอกด่านกลับรีบหนีกันก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะหนีได้หมด สถานการณ์นี้ย่อมเรียกได้ว่า ไล่ล่าสังหารทิ้ง
“แม่ทัพใหญ่ รองแม่ทัพหยางคิดว่าไล่ล่าสังหารออกไปสองลี้แล้วก็จะกลับ ขอแม่ทัพใหญ่ให้ความเห็น!”
ทุ่งหญ้านอกด่านอย่างไรก็เป็นพื้นที่ของพวกนอกด่าน หากไล่ล่าลึกเข้าไปในดินแดนศัตรู เกรงว่าอาจเกิดเหตุผิดพลาดได้ หยางจิ้นทำการรอบคอบ แต่ท่าทีเหมือนไม่เหมือนเดิม เมื่อครู่ตอนส่งคนมา เป็นการแจ้งข่าว เป็นการตักเตือน แต่ตอนนี้เป็นการรายงาน เป็นการขอความเห็น หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“รองแม่ทัพหยางทำการรอบคอบ ทัพม้าวิ่งออกไปสองร้อยลี้ก็ยกทัพกลับได้”
ทหารรีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง หวังทงตะโกนขึ้นว่า
“ซานเปียว!! มาทางนี้หน่อย!!”
หม่าซานเปียวลงจากหลังม้า ให้ทหารลูกน้องเช็ดเลือดที่เกราะอยู่ พอได้ยินหวังทงอยู่ๆ ตะโกนเรียก ก็รีบไปทันที หวังทงบนหอสังเกตการณ์กล่าวว่า
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่!”
“เรียนแม่ทัพใหญ่ แค่ขยับแขนขา ม้ายังไม่ออกเหงื่อเท่าไรเลย ไม่เหนื่อยเท่าไร”
หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“มีรายงานว่าที่นี่ยังมีเผ่าที่มีคนหลายพัน ตอนนี้ทหารม้ามองโกลไปแล้ว เผ่าพวกนั้นคงมีแต่พวกอ่อนแอ ข้ามอบทหารให้เจ้า เจ้านำทหารม้าออกไปตอนนี้ ได้หรือไม่!!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หม่าซานเปียวแสยะยิ้มกล่าวว่า
“เรื่องพวกนี้มีอันใดไม่ได้ ข้าจะรวบรวมกำลังออกไปจัดการทันที!”
“ขัดขืนฆ่า พวกหนีไม่ต้องไปสนใจ เงินทองในเผ่าและสัตว์เลี้ยงที่ไล่ต้อนกลับมาได้ก็ให้ไล่ต้อนกลับมาด้วย เข้าใจไหม?”
“แม่ทัพใหญ่ เชื่อมั่นข้าน้อย ข้าน้อยนำคนไปจัดการสั่งสอนให้ไม่เหลือ!”
หวังทงยิ้มพยักหน้าควักป้ายคำสั่งออกจากเอวส่งให้ กล่าวกับเฉินต้าเหอสองสามคำ ทหารที่ติดตามอยู่รอบกายหวังทงล้วนเป็นเด็กหนุ่มก็ขึ้นม้า
ทัพม้ากองกำลังหู่เวยกับเมืองต้าถงก็ติดตามออกไปด้วย เป็นทัพที่ออกปลอมเป็นกองโจรบนทุ่งหญ้านอกด่านกลุ่มเดิม เรื่องปล้นฆ่าเป็นเรื่องสะใจในจิตใจคนเรา ทัพไห่รื่อกู่วิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม ยามนี้เผ่านั้นย่อมว่างเปล่า ไปแล้วก็จะได้ทำอันใดได้ตามใจตน จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
ทหารหวังทงไม่น้อยเคยพบการรบครั้งแรก เกิดเป็นลูกหลานทหารก็ย่อมคุ้นเคยกับกลิ่นคาดเลือดเร็วกว่าคนทั่วไป พอเห็นสภาพตรงหน้า ไม่เพียงแต่ไม่กลัว ยังกลับตื่นเต้น แต่เพราะมีหน้าที่คุ้มกันแม่ทัพ พวกเขาคิดว่าตนเองคงไม่มีโอกาสได้ออกรบ คิดไม่ถึงว่าเลือดในกายร้อนระอุมาถึงตอนนี้ สามารถได้ออกไปยืดเส้นยืดสายแล้ว
หลายคนเตรียมตัวอย่างเร่งรีบ มีเสียงหัวเราะดังลั่นมาเป็นระยะ ทหารม้าเมืองต้าถงอดไม่ได้ส่งเสียงร้องคำรามดังสะใจ เมื่อก่อนอุดอู้อยู่ในเมืองต้าถงมานาน ตั้งแต่ผู้แทนพระองค์ออกปฏิบัติหน้าที่ ก็สะใจจริงๆ
เสียงกลองรบดังขึ้น ทหารม้าออกรบ เริ่มแรกมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทหารกองกำลังหู่เวยกับเมืองจี้โจวเริ่มออกเก็บกวาด มีเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่สะใจเท่าไรก็คือมู่เอิน เขานำปืนใหญ่ออกมาสิบกระบอก ปรากฏว่า ปืนใหญ่ไม่ได้ยิงสักกระบอก ออกไปยืนด้านนอกได้ชั่วครู่เท่านั้น
ถานเจียงขึ้นมาบนรถ เห็นพวกหม่าซานเปียวกำลังออกไปไกล ก็เป็นห่วงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“นายท่านในเวลาสงครามวิกฤตนี้ ปล่อยพวกเขาให้ทำเช่นนี้ เกรงว่าไม่ใช่เรื่องดี ศึกใหญ่ยังมาไม่ถึง เกรงว่าจะ”
วินัยทหารไม่เข้มงวด ทหารก็จะหย่อนยาน ไม่อาจมีจิตฮึกเหิม ทัพม้าเป็นกำลังสำคัญ ปล่อยพวกเขาออกไปล่าสังหาร เกรงว่าไม่ค่อยรอบคอบนัก
เห็นสีหน้าหวังทงยังคงปกติ ไม่มีอาการโกรธ ถานเจียงก็นิ่งไปก่อนจะกล่าวว่า
“เงินทองแม่ทัพใหญ่ไม่ขาดแคลน สัตว์เลี้ยงเราก็มาพอ เอามาเพิ่มก็เป็นได้แค่อาหาร ม้าตายมากมายเพียงนี้ ไยต้องไปทำเช่นนั้นด้วย?”
หวังทงเป็นแม่ทัพ แต่ระบบความคิดไปทางทางเหมือนพ่อค้ามากกว่า หากใช้เรื่องการได้กำไรขาดทุนเงินทองมาโน้มน้าว น่าจะได้ผลกว่า หวังทงได้ยินก็ยิ้มกล่าวว่า
“เงินทองสัตว์เลี้ยงเรื่องเล็ก การขับไล่หลายปากท้องไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ให้เปลืองเสบียงพวกนอกด่านเล่น ให้ไปหวาดกลัวกันที่นั่น เทียบกับเงินทองและสัตว์เลี้ยงแล้ว มีค่ากว่ามาก!!”
ถานเจียงอึ้งไป ตามมาด้วยการคำนับจากใจ หวังทงมองการณ์ไกลยิ่ง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ทหารเมืองจี้โจวระเบียบวินัยเคร่งครัดยิ่ง ถ่ายทอดคำสั่งให้ทหารเมืองต้าถงที่เพิ่งกลับมา หากอยากไปด้วย ตอนนี้ก็ตามไปได้!!”