ตอนที่ 751 ลองบุก
ปืนใหญ่ระดมยิงเสร็จ ทหารและม้าบนสนามรบกว่าแสนก็เงียบกริบลง เห็นเพียงเศษร่างครึ่งตัวอีกส่วนขาดหายไปกลางสนามรบ
พอเศษร่างอีกครึ่งล้มลง ทุกคนจึงได้สติ อวี๋ซื่อเฉียงตอนอยู่เมืองต้าถงก็ไม่ใช่ระดับธรรมดา เป็นตัวเลือกที่จะได้เป็นรองแม่ทัพและแม่ทัพใหญ่เลยที่เดียว ทหารเมืองต้าถงส่วนใหญ่รู้จักเขาดี ครั้งนี้แม้แต่กองกำลังหู่เวยหรือทหารเมืองจี้โจว ยังมีทหารเมืองต้าถงที่ส่งมาช่วยรบ ก็ล้วนจำอวี๋ซื่อเฉียงได้
เห็นคนผู้นี้กล่าววาจาไร้ยางอายเอ่ยอ้าง ‘อ๋องซุ่นอี้’ ทุกคนต่างคันปาก พอเสียงอสุนีบาตดังก้อง อวี๋ซื่อเฉียงก็ถูกถล่มร่างกระจุยกระจาย ทั่วสนามเงียบกริบก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องชมตะโกนดัง
สองทัพทำศึก ทหารหมิงชนะยกแรกในเรื่องความองอาจไปแล้ว มองไปเห็นทหารม้าใต้ธงเหลืองทองนั้นแตกกระจัดกระจายวิ่งกันกลับไปแล้ว
‘ตึงตึงตึง’ เสียงกลองหนังวัวดังขึ้น มีทหารม้าพวกนอกด่านจากด้านหลังเริ่มออกออกมาตั้งทัพ ทหารม้าพวกนี้ดูแล้วก็ธรรมดา หรือเรียกได้ว่าดูเหยาะแหยะกว่าทหารแถวหน้าเดิมที่ตั้งทัพรอ เครื่องแต่งกายก็ดูซอมซ่อกว่า
ทางด้านซ้ายและขวาทหารม้าเกือบพันวิ่งออกมา ตรงกลางมีทหารม้าอีกสามพัน สามพันนี้เห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าสองปีกมาก
การผสมกันของทัพนี้ทำให้รู้สึกแปลกใจ แต่สำหรับทหารหมิงแล้ว ศัตรูเข้าโจมตีเป็นการต่อสู้ที่ดีที่สุด จักต้องทำให้ศัตรูต้องเสียเลือดเนื้อไปด้วยปืนไฟและธนู
เสียงกลองหยุดลง ตามมาด้วยเสียงดังครืนหลายเสียง ทหารม้าพวกนอกด่านส่งเสียงตะโกนดัง รวมกำลังเคลื่อนทัพขึ้นหน้า นายทหารกองทัพหมิงก็ระดมคำสั่งดังให้ทุกคนเตรียมพร้อม
มีทหารม้าอยู่ตรงกลางระหว่างทหารเมืองจี้โจวกับกองกำลังหู่เวย ค่อยๆ เริ่มเดินหน้า ทหารม้าพวกนอกด่านช่วงกลางดูจะแข็งแกร่งที่สุด ดูท่าแล้วมุ่งมายังทัพม้าทหารหมิง น่าจะคิดสู้กันให้รู้ดำรู้แดง
“แม่ทัพใหญ่ พวกนอกด่านส่งทหารออกมาอีกแล้ว เป็นพวกที่อยู่หลังทัพม้าที่ออกมาตั้งทัพรอก่อนหน้า!” “
ทหารบนหอสังเกตการณ์ตะโกนดังลงมา หวังทงขมวดคิ้วให้ทหารด้านบนลงมา ตนเองขึ้นไปแทนตามที่ว่ามาจริงๆ พวกนอกด่านส่งทหารม้าออกมาสามกอง นอกจากองตรงกลางแล้ว อีกสองข้างแม้เป็นทหารม้าแต่ก็เรียกได้ว่าพยายามรั้งท้าย
ทหารม้าสามกองออกรบ เริ่มแรกยังเดินมาได้พร้อมกัน พอมาท้ายๆ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกองกลางอยู่รั้งท้าย อีกสองกองอยู่ๆ ก็เริ่มออกมาด้านหน้า
ตำแหน่งหวังทงทำให้พอมองเห็นทหารม้าสองกองนั้นชัดเจนว่าดูไม่เป็นระเบียบ อีกราวสองสามร้อยก้าวก็จะปะทะกันแล้ว ไยทหารม้าพวกนอกด่านที่ชำนาญการขี่ม้าจึงบังคับรูปทัพไม่ได้กัน
“ปืนเสือหมอบเตรียมเชือกจุดไฟ!!”
“ใช้ปืนประสุนหนึ่งชั่ง ปืนใหญ่ที่เหลือปรับมุมให้ดี ไปบอกให้หัวหน้าคนขับรถ ให้พวกเขาดูม้าและวัวให้ดี ไม่เช่นนั้น……”
นายกองร้อยพลปืนใหญ่มู่เอินกับนายกองธงใหญ่จางอู่สองคนออกไปตะโกนสั่งอยู่หน้าค่ายรบ พื้นที่กว้างไม่มากนัก ไม่ให้ทหารม้าออกมาเพ่นพ่าน แต่พลปืนใหญ่ได้รับอนุญาตพิเศษ ปืนใหญ่หนักยิ่งลากออกไป พลปืนใหญ่บนหลังม้าวิ่งไปมา ออกคำสั่งยังแต่ละจุด
“พลปืนไฟ พลธนูขึ้นรถ เตรียมตัวให้พร้อม!!”
“พลทวนยาวขึ้นประจำรถตามสังกัดเตรียมพร้อม เร็วหน่อย เนื้อแพะหลายวันนี้กินกันอิ่มท้อง ยังไม่มีแรงอีก เร็วหน่อย!!”
นายทหารแต่ละจุดออกคำสั่งเสียงดัง หวังทงนิ่งคิด รีบปีนขึ้นไปสอดแนมบนหอสังเกตการณ์ ตะโกนขึ้นว่า
“มู่เอิน ปืนใหญ่ใช้แต่ปืนประสุนหนึ่งชั่ง ศัตรูเข้ามาในระยะยิงแล้วค่อยยิง แล้วค่อยตามด้วยปืนเสือหมอบ 10 กระบอก”
ได้ยินหวังทงสั่งการ มู่เอินบนหลังม้าที่กำลังเตรียมการเร่งด่วนก็อึ้งไป กระชากบังเหียนม้า คนเกือบร่วงจากหลังม้า เขามองไปยังหวังทงบนหอสังเกตการณ์ หวังทงสีหน้าจริงจัง จึงได้รู้ว่าฟังไม่ผิด
ปืนประสุนหนึ่งชั่งยิงได้ในระยะไม่เกิน 120 ก้าว อานุภาพสังหารไม่มาก ปืนเสือหมอบยิงแค่กระสุนเม็ดเล็กๆ อย่างกับโอสถเซียน ระยะยิงก็ต้อง 30 ก้าว การยิงเช่นนี้ ปืนไฟระยะยิงก็ตั้ง 80-90 ก้าว ระยะยิงเช่นนี้ไม่อาจโดนศัตรูให้บาดเจ็บล้มตายได้
แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง มู่เอินกับจางอู่เหมือนตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงคำรามดัง ทหารปืนใหญ่ได้ยินคำสั่งก็ถึงกับชะงักกึก ไม่เข้าใจว่าทำไม
พริบตาเดียว หน่วยทะลวงแรกของทหารม้าพวกนอกด่านก็มาถึง ระยะห่างราว 150-160 ก้าว ทหารเมืองจี้โจวก็เริ่มยิงปืนใหญ่
รถตู้ม้าล้วนเป็นปืนใหญ่ฟะรังคี ปืนใหญ่นี้ระยะยิงไม่ไกล น่าจะเป็นกระสุนหนึ่งหรือชั่งครึ่งเท่านั้น ยิงลูกโลหะออกไปก็ราว 150-160 ก้าว
ระยะ 150 ก้าว ยิงได้ผลดีสุด แม้ว่าสองทัพยังห่างกันอีกไกล แต่ก็ได้ยินเสียงทหารม้าพวกนอกด่านดังโหยหวนมา ตำแหน่งหวังทงถึงกับได้เห็นทหารม้าพวกนอกด่านบุกใส่กองกำลังหู่เวยก็ลนเหมือนกัน
เดินหน้ามาเผชิญกับทัพม้าหมิง เริ่มใกล้เข้ามา พวกเขาก็ยิ่งลน ทัพม้าหมิงย่อมนิ่งระวัง ธงใหญ่ในมือทหารโบกธงข้างหม่าซานเปียวเริ่มยกขึ้นชี้ฟ้า เป็นสัญญาณว่าให้นิ่งรอ
“ยิง!!”
เหมือนว่ามีเสียงกลองหนังวัวดังขึ้นอีก ปืนใหญ่หนึ่งชั่งยิงระลอกแรก กระสุนปืนใหญ่ไม่หนักมากมองเห็นแนวยิงออกไปได้ชัด พวกนอกด่านที่บุกมาเริ่มระส่ำระสาย มีบางที่มีคนไปรวมตัวกัน มีบางที่มีคนเบาบาง
หากแม้ทหารหมิงมีแต่ธนู แต่การบุกเช่นนี้เรียกได้ว่าเหลวไหลนัก กระจายตัวเบาบางยังดี ไปรวมตัวกันทางนั้นตอนโดนระลอกสองย่อมระดมยิงไปทางนั้น
ถูกกระสุนปืนใหญ่ถล่ม ม้าก็เอียงล้มลง ทหารม้าก็ย่อมร่วงจากหลังม้า ปืนใหญ่ระดมยิงอย่างไรก็มีช่วงพัก คนกลุ่มหนึ่งล้มลง คนด้านหลังมากมายก็ยังบุกขึ้นหน้าไปได้อีก
ปืนเสือหมอบยิงออกจากช่องว่างตัวรถไปหลายระลอก แม้ควันไฟคละคลุ้งแต่ก็ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บอันใด ระยะร้อยก้าว พลปืนไฟกับพลธนูบนรถสามารถมองเห็นหน้าตาบิดเบี้ยวทหารม้าศัตรูตรงหน้าได้ เป็นหน้าตาหวาดกลัวและตื่นตกใจอย่างมาก
พลปืนไฟส่วนใหญ่เป็นทหารมานาน หลายคนเคยร่วมรบนอกเมืองเซวียนฝู่กับที่กู่เป่ยโข่วมา ทหารม้าพวกนอกด่านที่พวกเขาเผชิญมานั้น พวกที่บุกอยู่หน้ามักจะมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ หรืออาจเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง อาจมีบ้างที่สีหน้านิ่งเฉย แต่อย่างไรก็ไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวตื่นตกใจเช่นนี้มาก่อน
ทัพหน้าบุกต้องเป็นทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุดจึงจะสามารถปฏิบัติการรบได้ หากตื่นตระหนกเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าจะหนีทัพกลางทาง เช่นนี้กลับส่งผลต่อเพื่อนทหารด้วยกันและทัพที่ตามมาด้านหลัง
ตอนนี้ทหารม้าตรงหน้าเริ่มคิดหนีแล้ว แต่ในสถานการณ์ที่รบอยู่แนวหน้า คิดจะให้ม้าที่กำลังควบเร็วเปลี่ยนทิศทาง คงมีจุดจบอนาถไม่น้อย ดูท่าแล้วก็ไม่ใช่ม้าดีอันใด ก็ย่อมน่าจะล้มลงมากกว่า ทหารม้าที่แบกมาก็ย่อมร่วงลงพื้นเช่นกัน
หากก็ยังมีคนที่โชคหนีหนีออกไปได้ แต่ก็ไม่พ้นถูกทหารตรงกลางไล่สังหารทิ้งทันที
พวกเขาแม้ว่าน่าสงสาร แต่ศัตรูก็คือศัตรู พลปืนไฟกองกำลังหู่เวยไม่ใจอ่อน 90 ก้าว……80 ก้าว ทหารม้าพวกนอกด่านชุดแรกเริ่มเข้ามาในรัศมีระยะยิงแล้ว
“ยิง!!”
เสียงตะโกนดังของนายทหาร ปืนไฟเสียงดังสนั่นราวปืนใหญ่ยิงกระหน่ำออกไป ทหารม้าพวกนอกด่านเหมือนถูกวัตถุโลหะปาดเข้าใส่ทั้งคนและม้าร่วงล้มระเนระนาด
เมืองจี้โจวเองก็มีปืนใหญ่ ปืนสับนก ปืนสามตา ปืนใหญ่ฟะรังคี ปืนเสือหมอบ ล้วนยิงพร้อมกัน พวกทหารม้าที่บุกเข้ามาส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
ปืนไฟยิงออกจากตัวรถ เพราะช่องเปิดให้ยิงจำกัด บนรถจึงมีทหารปืนไฟได้แค่สองแถว ที่เหลือล้วนรออยู่ด้านข้างรถ และเพราะมีขั้นตอนผลัดกันขึ้นรถนี้เอง ทำให้การระดมยิงไม่อาจยิงต่อเนื่อง ทหารม้าศัตรูจึงมีโอกาสบุกขึ้นหน้ามา
กองกำลังหู่เวยยังเป็นเช่นนี้ ปืนไฟทางเมืองจี้โจวก็ย่อมเช่นกัน ดังนั้นทหารราบพร้อมอาวุธทวนยาวและขวานก็ต้องเตรียมพร้อม เตรียมปะทะกันผ่านกำแพงไม้รถม้าศึกของพวกเขาตลอดเวลา
แต่ครั้งนี้พวกนอกด่านที่บุกมาไม่เอาไหนจริงๆ บุกมาระยะ 50 ก้าว ความกล้าหาญราวกับเหือดหายไปสิ้น เพื่อนทหารที่ตายลงไปมากทำให้พวกเขามีพื้นที่หันหลังกลับ และความเร็วม้าก็ลดลงจนสามารถบังคับม้าเปลี่ยนทิศกลับตัวได้แล้ว
พวกนอกด่านส่งเสียงแหกปากร้องไห้ มีบางคนร้องดังอย่างเสียสติ พากันหันหัวหนี พลปืนไฟกองกำลังหู่เวยเห็นเช่นนี้ มีคนถึงกับยืนอึ้งลืมยิง พวกทางเมืองจี้โจวก็เป็นเช่นกัน
ควันดินปืน ความชุลมุน ทำให้ทุกคนเริ่มงง นายทหารสองฝ่ายกำลังสั่งการเสียงดัง เสียงด่าทอด้วยความโมโฆ ทำให้ทหารที่อึ้งอยู่ได้สติทันที รีบปฏิบัติการตามคำสั่งทันที
เป้าหมายพลปืนไฟกับพลปืนใหญ่หันไปทางกองกลางแทน เพราะทางนั้นเป็นทหารม้าพวกนอกด่านที่ยังมาอย่างเป็นระเบียบ ค่อยๆ บุกเข้ามา ระยะห่างไม่ถึง 200 ก้าว พวกเขาหันเผชิญกับทหารม้าหมิง แต่มองไม่เห็นว่าจะออกมาปะทะกันแม้แต่น้อย
“อู~~~” เสียงเป่าเขาดังยาว ทหารม้าพวกนอกด่านกองกลางหันหลังกลับ เริ่มถอย การกระทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนพากันอึ้งตกใจเช่นกัน
“………ต้องชนะ!!……ต้องชนะ!!!”
มีเสียงร้องดีใจดังมาจากทางทหารเมืองจี้โจว ศัตรูแม้ไม่แตกพ่าย แต่ซากศพตรงหน้าก็เรียกได้ว่าของจริง ได้ชัยแล้ว เริ่มมีกำลังใจฮึกเหิม ทุกคนต่างตื่นเต้นยินดี
บรรยากาศกองกำลังหู่เวยคึกคัก ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องดีใจ หวังทงบนหอสังเกตการณ์ก็ตะโกนเสียงเยียบเย็นลงมาว่า
“มู่เอิน พลปืนใหญ่ทั้งหมดเตรียมตัว เจ้าดีใจอันใดกัน นี่เพิ่งเริ่มต้น!!”
****************
“เรียนท่านเฉ่อลี่เข้อ ทางซ้ายทัพทหารเมืองจี้โจวปืนไฟยิงระยะไกลสุด 200 ก้าว ทางขวาทหารกองกำลังสังกัดวังหลวงไกลสุดสามารถยิงได้ 150 ก้าว”
ชายสวมหมวกเหล็กสีทอง ร่างกายกำยำหนวดเคราเต็มหน้าผู้หนึ่งล้อมรอบด้วยแม่ทัพนายทหารหลายนาย เผ่ามองโกลผู้ที่สวมหมวกเหล็กสีทอง มีเพียงแค่ท่านข่านและพระญาติสายตรงเท่านั้น นี่เป็นบุตรชายคนโตของเซิงเก๋อตูกู่เหลิง ชื่อว่าเฉ่อลี่เข้อ เซิงเก๋อตูกู่เหลิงอายุ 35 จึงมีลูกชายคนแรก
เฉ่อลี่เข้อเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“จากเมืองจี้โจวออกไป 300 ก้าว ……กองกำลังสังกัดวังหลวงแม้ยิงไม่ไกล แต่เพื่อความปลอดภัย ก็ 300 ก้าว จับตัวพวกเศษสวะพวกนั้นกลับมาใหม่ อีกสักครู่จะใช้งานอีก!”