ตอนที่ 81 ลูกหลานกองทัพในลานฝึก
นายกองร้อยเถียนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากจากการประชุมหารือกันมาทั้งคืน หลังจากมอบหมายงานเรียบร้อยจึงกลับเข้าไปพักผ่อน
นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งก้มหน้าคอตกกลับบ้าน ‘พักผ่อน’ นานแล้ว ประตูจวนนายกองร้อยเถียนปิดลง องครักษ์เสื้อแพรหน้าประตูยังไม่ยอมแยกย้ายกันไป แม้แต่เจ้ากั๋วต้งก็ยังไม่ขยับไปไหน
ไม่รู้ว่าใครเปิดทางก่อน ทุกคนพากันประสานมือยิ้มปรี่เข้ามาคารวะหวังทง คำนับทักทายอย่างเป็นทางการ ล้วนกล่าววาจานอบน้อมเอาใจ หวังว่าจากนี้นายกองหวังจะช่วยเหลือดูแลให้มากๆ
เด็กน้อยที่ไม่เข้าใจธรรมเนียม วางท่าอวดเบ่งผู้นี้ ตอนนี้รวบเอาทั้งงานกวาดล้างจับกุมและงานประจำการทั้งหมดไปไว้ในมือเรียบร้อย แปลว่างานในกองร้อยทั้งหมดล้วนมอบให้เขาจัดการ
ทุกคนรู้ว่าผู้ให้การสนับสนุนเบื้องหลังหลิวซินหย่งก็คือขันทีในวัง ยังกราบไหว้เป็นบิดาบุญธรรม แต่ตอนนี้ที่พึ่งพิงได้พังทลายลงแล้ว หลิวซินหย่งแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้แน่ชัดก็นับว่าจบแล้ว
การงานทั้งหมดมีเพียงนายกองธงใหญ่ผู้นี้ดูแลผู้เดียว เช่นนั้นจากวันนี้ไปทุกคนต้องอยู่ภายใต้การสั่งการของหวังทง ก็ไม่รู้ว่านายกองร้อยเถียนคิดอย่างไร ผู้ที่เคยยึดกุมอำนาจไว้มั่นกลับยอมปล่อยมือได้
“พี่น้องทุกท่านพื้นที่ดูแลยังคงเหมือนเดิม เงินที่เคยส่งมอบให้ใต้เท้านายกองร้อยก็ยังคงเหมือนเดิม ถึงเวลานายกองร้อยเถียนจะแบ่งสรรให้ทุกคน เวลาสายมากแล้ว ทุกคนไปปฏิบัติหน้าที่ของตน เลิกแถวได้!”
หวังทงไม่ได้ตื่นเต้นอันใด เพียงแค่ประสานมือกล่าวว่าทุกอย่างคงเดิม ให้ทุกคนเลิกแถวกลับไป กององครักษ์เสื้อแพรวางแผนกันมาทั้งคืน กำชับลงมาตามลำดับ ตามการวิเคราะห์ของหวังทงแล้ว เรื่องที่แท้จริงก็คือเพื่อความปลอดภัยของลานฝึกหู่เวย การจัดการอื่นๆ ก็เพียงเพื่อไม่ให้คนภายนอกรู้วัตถุประสงค์แท้จริงเท่านั้น
สำหรับเหตุใดนายกองร้อยเถียนจึงได้มอบอำนาจกองร้อยให้ตนนั้น เดาว่าคงจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็เป็นลุงเถียนแอบส่งสัญญาณ จึงได้จัดการเช่นนี้
การแสดงออกเป็นมิตรต่อหวังทงเช่นนี้ก็ไม่น่าเสียหายอะไร หวังทงก็มิได้ละโมภเงินที่ได้มา เช่นนี้มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษอันใดกับนายกองร้อยเถียน
ตอนเดินทางกลับ แม้แต่หลี่เหวินหย่วนที่แต่ไรมามักมีท่าทีสงบนิ่งก็ยังตื่นเต้น ไม่ต้องพูดถึงซุนต้าไห่และจางซื่อเฉียงที่ตลอดทางเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันไม่หยุด
พอมาถึงหัวถนนทักษิณ หลี่หู่โถวสวมชุดเสื้อตัวสั้นสีน้ำเงินเข้มวิ่งเข้ามา พอเห็นหวังทงก็รีบพูดว่า
“ท่านอาหวัง โจวกงกงกำลังรอท่านอยู่ที่ร้าน รีบกลับไปเร็ว!”
“นักเรียนทุกคนล้วนไปที่ลานฝึกกันแล้ว น้องหวังทำไมยังชักช้าอยู่นี่?”
พอโจวอี้เห็นหวังทงเข้ามาก็รีบพูดทันที หวังทงรีบเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อตัวสั้นสีน้ำเงินเข้ม ตามโจวอี้ออกไปด้วยกัน
“ตอนนี้งานของน้องหวังก็หนักขึ้นอีกแล้ว ไทเฮาไม่ทรงอนุญาตให้คนในวังมาร่วมด้วย เพื่อมิให้ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าที่นี่เป็นวังหลวง ทุกอย่างก็คงต้องให้น้องหวังคอยรับมือแล้ว”
หวังทงพยักหน้ารับ เดินไปสองสามก้าวก็หันมาพูดกับโจวอี้อย่างลังเลว่า
“พี่โจว ข้ามีเรื่องขอร้อง ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”
การถามอย่างลังเลเช่นนี้ แต่โจวอี้กลับตื่นเต้นกับคำเรียกขานว่า ‘พี่โจว’ ครู่หนึ่ง ความสัมพันธ์แบบพี่น้องอย่างไรก็รู้สึกใกล้ชิดกัน จึงเต็มอกเต็มใจรีบตอบรับทันทีว่า
“เราสองพี่น้องกัน มีอะไรก็อย่าได้เกรงใจ พี่ชายทำได้จะต้องทำให้ ทำไม่ได้ก็จะต้องช่วยคิดหาวิธี”
“พี่โจว คดีที่ข้าสืบคราก่อนนั้น เด็กน้อยที่เป็นเจ้าทุกข์คิดไม่ตกจนลงมือตอนตนเองไป ตัดตรงนั้นไปแล้ว กลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว ทางออกทางเดียวก็คือส่งเข้าวังไปจัดการให้เรียบร้อยทั้งหมดแล้วค่อยจัดสรรงานให้ทำ”
โจวกงกงหัวเราะด้วยท่าทีผ่อนคลาย เอ่ยตอบว่า
“เรื่องเล็ก ในเมื่อน้องหวังฝากฝังมาเช่นนี้ก็หาวันส่งเข้าวัง อยู่ด้านในจะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแน่นอน”
หาทางออกให้เจ้าจินเลี่ยงแล้ว หวังทงก็รู้สึกโล่งใจ รีบหยุดคารวะอย่างนอบน้อม กล่าวหนักแน่นว่า
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณพี่โจวที่ช่วยเหลือ…”
“คนกันเอง เกรงใจอันใดกัน แต่วิธีพวกนั้นที่น้องหวังกล่าวเมื่อวานนี้ บรรดาคนเหล่านั้น…หึๆ …ครูฝึกล้วนชมไม่ขาดปาก บอกว่าหากเจ้ารับใช้กองทัพ ฝึกฝนอีกสองสามปี ไม่แน่ว่าจะเป็นแม่ทัพชีจี้กวง แม่ทัพอวี๋ต้าโหยวที่มีชื่อเสียงเลยทีเดียว ข้ายังยิ้มตอบกลับไปว่า น้องหวังวันหน้าอนาคตไกล แม่ทัพทั้งสองจะเทียบได้อย่างไร”
วาจานี้ทำให้หวังทงรู้สึกขัดเขิน ความรู้ที่ได้มาจากยุคปัจจุบันทำให้ตนเองได้รับคำชมเชยเช่นนี้ ไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจสักนิด มองเห็นรั้วไม้และกำแพงดินของลานฝึกเบื้องหน้าแล้ว โจวอี้ก็ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อต่ออีกว่า
“จากนี้ไป ในลานฝึก น้องหวังเจ้าจะเป็นเพียงแค่เด็กน้อยชื่อว่าหวังทง เพียงแต่มีบ้านอยู่ละแวกใกล้เคียงจึงไม่ต้องพักอาศัยร่วมกัน”
หวังทงพยักหน้ารับ ตอนนี้เขาสวมเสื้อผ้าเหมือนหลี่หู่โถว เพียงแต่รูปร่างใหญ่กว่าสองสามเบอร์ ท่าทางสงบนิ่งครุ่นคิดเป็นปกติ รวมทั้งการพูดการจาการวางตัวที่มีท่าทีเป็นการเป็นงานของหวังทงตอนนี้ก็ต้องปรับให้เป็นเหมือนกันบรรดาเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ท่าทางตะลึงงันเช่นนี้ทำให้โจวอี้อดหัวเราะไม่ได้
กำชับไปสักครู่ พอถึงประตูโจวอี้ก็หยุดฝีเท้าลง หวังทงและหลี่หู่โถวแขวนป้ายเหล็กไว้ที่เอวสลักสี่คำว่า ‘ลานฝึกหู่เวย’ ชายที่เฝ้าประตูพอเห็นป้ายเหล็กก็รีบเปิดประตูอย่างนอบน้อมให้ทั้งสองเข้าไป
บนลานฝึกกว้าง เด็กจำนวนร้อยกว่าคนกำลังรวมตัวกันใต้เพิงพักหน้าประตูใหญ่ของลานฝึก แม้ว่าห่างกันมาก แต่หวังทงก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเด็กที่สวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มเหล่านั้นแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
แต่ละกลุ่มห่างกันไม่มาก แต่มีขีดแบ่งชัดเจน หวังทงนึกถึงคำของโจวอี้เคยบอกว่า
“เด็กที่ได้ตามเกณฑ์นั้นหายาก ต้องรวบรวมเอาจากเมืองเสวียนฝู่ เมืองจี้โจวและเมืองหลวง รวมทั้งบริเวณรอบๆ ถึงได้เด็กเหล่านี้มาครบ…”
ในยุคสมัยนี้แนวคิดรักบ้านเกิดยังคงเข้มข้น คนมาจากบ้านเกิดเดียวกันก็เหมือนญาติกัน มองเห็นเด็กสามกลุ่มแล้ว ก็คิดว่าจะต้องแยกกลุ่มเพราะมาจากต่างถิ่นอย่างแน่นอน
หวังทงรูปร่างสูงใหญ่มากเป็นพิเศษกับหลี่หู่โถวที่ตัวเล็กรูปร่างผอมเดินเข้าไป เด็กสามกลุ่มก็ไม่ได้มีแววเป็นมิตรอันใด ล้วนมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ตัวใหญ่อย่างนี้นี่อายุสิบสามหรือ?…เจ้าดูเจ้าหมอนั่นสิ ข้าว่าอายุแค่สิบขวบ…”
“…ตอนข้าได้รับเลือก ท่านน้าข้าที่เป็นกองจู่โจมเดาว่า ลานฝึกนี้ไม่แน่ว่าเป็นที่ฝึกกองกำลังของราชสำนัก ใครจะเข้าร่วมล้วนมีความเป็นไปได้ว่า…”
สองคนเดินผ่านไป เด็กเหล่านี้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่สนใจ ไม่มีท่าทีระแวดระวังอะไร
ในยุคสมัยนี้ สามารถมีร่างกายแข็งแรงกำยำ เด็กสามารถมีสถานะร่วมกับฮ่องเต้ มาจากครอบครัวที่ไว้ใจก็มีเพียงแต่บรรดาลูกหลานจากกองทัพและขุนนางชั้นสูง
เด็กที่เติบโตจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จิตใจย่อมต่างจากเด็กชาวบ้านทั่วไป แต่ความแตกต่างนี้กลับไม่ใช่เรื่องดีอะไร
แม้ว่าหวังทงร่างกายสูงใหญ่ แต่ยังคงมองออกว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ คนอื่นมองเขาเป็นแค่คนรูปร่างสูงใหญ่เท่านั้น หลี่หู่โถวเพิ่งจะสิบเอ็ด อายุน้อยกว่าเด็กส่วนใหญ่สองปี กอปรกับชีวิตลำบากมาแต่เด็ก จึงตัวเล็กและผอม ยืนอยู่ท่ามกลางทุกคนจึงโดดเด่นเป็นพิเศษ
คนมีนิสัยรังแกผู้อ่อนแอและรังแกคนที่ไม่เหมือนกับตน หวังทงและหลี่หู่โถวไม่ใช่คนจากบ้านเดียวกันและยังแตกต่างกันสิ้นเชิง
เขาสองคนอยู่ดีๆ ก็ถูกบรรดาเด็กๆ มองอย่างดูถูก แต่หวังทงมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ ส่วนหลี่หู่โถวแม้ว่าอายุจะน้อย แต่ก็ผ่านความเป็นความตายมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป
หวังทงยืนมองประเมินครู่หนึ่ง กวาดสายตาไปปะทะสายตาที่ไม่เป็นมิตร ปะทะกันเหมือนไก่ชน ไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน หลี่หู่โถวก็จ้องตอบอย่างเอาเรื่องเช่นกัน
นอกจากโถงกลางและลานฝึกมีหลังคาเป็นแบบราชวงศ์หมิงแล้ว ส่วนอื่นเช่นลู่วิ่งล้อมรอบ พื้นที่อุปกรณ์ออกกำลังและพื้นที่ออกกำลังก็เป็นแบบโรงพละของโรงเรียนยุคปัจจุบัน
แต่พอมองไปที่สนามฝึกก็ราวกับเห็นภาพรางๆ ซ้อนทับของยุคสมัย หวังทงเดินไปยังพื้นที่วางอุปกรณ์เหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น ที่นี่ใช้วัสดุไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่และเชือกทำเป็นอุปกรณ์ต่างๆ เช่น บาร์โหนเดี่ยว บาร์โหนคู่ บาร์ห่วงและยังมีเชือกสำหรับปีนป่าย อีกฟากหนึ่งใช้หินและโลหะทำเป็นดัมเบล มีแท่งศิลาและบาร์เบลที่ทำจากศิลาเอาไว้ยกฝึกกล้ามเนื้อแบบในสมัยนี้ ยังมีไม้ไผ่และไม้พลองขนาดสั้นยาวต่างกันอีกด้วย
เด็กพวกนี้เดิมมองหวังทงไม่เป็นมิตรอยู่ แต่เด็กร่างกายสูงใหญ่ท่ามกลางสายตาไม่เป็นมิตรและดูถูกกลับไม่มีท่าทีหวาดเกรงและอึดอัด กลับมีท่าทีเป็นตัวของตัวเองราวกับรอบกายไร้ผู้คน
การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้คนอื่นไม่พอใจ เด็กที่มาจากสามพื้นที่เดิมคอยระแวงและขัดแย้งกันอยู่ จ้องโต้ตอบกันไปมา แต่ละฝ่ายต่างต่อต้านกันอยู่เล็กน้อย
นี่ก็เป็นเรื่องยากจะหลีกเลี่ยง แผ่นดินกว้างใหญ่ หลายร้อยปีก็มีทั้งร่วมมือและแย่งชิงกันมา จึงถ่ายทอดมายังลูกหลานของพวกเขา นับประสาอะไรกับบรรดาลูกหลานกองทัพที่เกิดมาก็ชอบการต่อสู้และถูกราชสำนักเอามารวมกันที่นี่
และทุกคนยังคาดกันว่าลานฝึกหู่เวยอาจเป็นการฝึกกองกำลังของราชสำนัก ในเมื่อเป็นการฝึกกองกำลัง ก็ย่อมต้องเป็นที่ฝึกคัดเลือกกำลังพล ทุกคนมาที่นี่ รู้สึกต้องต่อสู้แย่งชิงก็เป็นเรื่องปกติ
แต่พอหวังทงปรากฏตัว กลับดูดเอาความไม่เป็นมิตรจากทุกคนมารวมกันไว้ เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง แน่นอนย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสนใจ
หลี่หู่โถวกลับเอาแต่กระโดดโลดเต้นไปทั่วไป เดี๋ยวก็ปีนป่าย เดี๋ยวก็ขึ้นบาร์คู่ตีลังกา ไม่นานนักก็มีคนเดินมาหนึ่งคนจากกลุ่มเด็กที่มีคนเยอะที่สุด พอมาถึงตรงหน้าก็ประสานมือคารวะถามว่า
“พี่ชายท่านนี้ ขอเรียนถามชื่อเสียงเรียงนาม!”
หวังทงสังเกตเห็นผู้ที่เดินเข้ามาคนนี้ก่อนหน้านี้แล้ว เขาประเมินสามกลุ่มนั้น กลุ่มที่คนเยอะที่สุด ที่มองเห็นแวบแรกก็คือผู้ที่เดินเข้ามาผู้นี้
ลูกหลานกองทัพ ย่อมมักมีท่าทางดุดัน แต่คนผู้นี้แตกต่างออกไป มองแล้วหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน สง่าผ่าเผย แม้ว่าเป็นเด็กอายุสิบสาม แต่คำบรรยายเหล่านี้ใช้กับเขาผู้นี้ได้ทั้งหมด
หลี่หู่โถวมองเขาที่เดินเข้ามาอย่างเตรียมพร้อม ยืนพูดงึมงำอยู่ด้านหลังหวังทงว่า ‘ราวกับเทพบุตรหลุดมาจากภาพวาด’ หน้าตาหล่อเหลามีกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่อยู่เล็กน้อย หวังทงยิ้มประสานมือกล่าวว่า
“ข้าน้อยหวัง ขอถามท่านเช่นกัน”
“ข้าลี่เทา บิดาข้าเป็นแม่ทัพกองพิทักษ์หลงเหมิน เมืองเสวียนฝู่ ไม่ทราบว่าพี่หวังมาตระกูลใด!”
“ไม่อาจเรียกได้ว่าตระกูลอันใด บิดาที่จากไปเป็นนายกองธงเล็กองครักษ์เสื้อแพรกองร้อยที่ 7 กองพันที่ 6”
“บิดาข้าก็เป็นนายกองธงเล็ก!!”
หลี่หู่โถวตะโกนแทรกขึ้น ลี่เทายิ้มพยักหน้า กล่าวต่ออย่างสุภาพว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราได้มาพบกันที่ลานฝึกล้วนเป็นวาสนา วันหน้ายังต้องช่วยเหลือกันให้มาก ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”
กล่าวจบก็กล่าวอำลาหันกลับไป ตอนหันกลับไป ความรู้สึกไวของหวังทงรับรู้ถึงกลิ่นอายดูถูกและไม่เห็นหัวของอีกฝ่ายได้…