Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 83

ตอนที่ 83 วันเวลาธรรมดาที่แสนน่าเบื่อ

ตามธรรมเนียมการแต่งกายขุนนางราชวงศ์หมิง ชั้นสูงจะสวมสีแดง บรรดาขันทีสองสามคนหนาวเหน็บอยู่ในห้องดูบรรดาเด็กๆ ฝึกกันนั้น ฐานะย่อมสูงส่งนัก

“ใต้เท้าถาน สุขภาพไม่ใคร่ดี ที่นี่ลมหนาวพัดแรง อย่างไรก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”

ขันทีด้านหลังขันทีผมขาวเอ่ยแนะนำ ขันทีผมขาวผู้นั้นโบกมือและยังตั้งใจจับตามองอีกครู่ใหญ่ จนไอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขันทีด้านหลังจึงประคองกลับเข้าไปในห้องด้านใน

พอนั่งลง ขันทีผมขาวผู้นั้นก็ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยออกไป เหลือแต่ขันทีที่ให้เขาพักผ่อนผู้นั้น พอประตูปิดลง ขันทีผมขาวดื่มน้ำ ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า

“ตอนเป็นหนุ่มบุกตะลุยเจ้อเจียงและทางเหนือมากไป ก่อให้เกิดโรคสะสมไว้นาน ตอนนี้ก็ได้แต่ค่อยๆ รักษา ใต้เท้าจาง ท่านอยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ ภารกิจมากมาย ไยจึงมีเวลามาเป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้า”

“ใต้เท้าถานล้อเล่นไป การงานในคณะเสนาบดีใหญ่นั้นอำมาตย์จางเป็นผู้ตัดสินใจ ข้าน้อยจึงได้มีเวลามา เรื่องลานฝึกอย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ ไม่วางใจผู้อื่น จึงต้องส่งคนจากคณะเสนาบดีใหญ่มาที่นี่”

“เมื่อคืนได้ยินทหารที่ส่งมาที่นี่คุยกันว่า วิธีนี้เป็นวีธีการฝึกกองทหาร ต้องได้ผลดีมากแน่นอน คนคิดวิธีนี้เป็นแม่ทัพโดยกำเนิดแท้ๆ เห็นพวกนั้นยกย่องกันใหญ่ วันนี้จึงตั้งใจมาดูโดยเฉพาะ”

ใต้เท้าจางจากคณะเสนาบดีใหญ่ นอกจากจางจวีเจิ้งแล้ว ก็มีใต้เท้าจางอีกคนก็คือจางซื่อเหวยผู้นี้ ในคณะเสนาบดีใหญ่เขาเป็นผู้ดูแลงานการทหารควบคู่ไปด้วย เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ จางซื่อเหวยก็ยิ้มล้อขึ้นว่า

“ข้าว่างงานอยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ ระยะนี้พวกมองโกลวุ่นวายกันอยู่ในแถบเมืองจี้โจวกับเมืองเหลียวโจว ใต้เท้าถานดูแลการทหาร ไยจึงได้มีเวลาว่างเช่นนี้ได้”

“ไม่กังวล ตะวันตกมีชีจี้กวง ตะวันออกมีหลี่เฉิงเหลียง พวกมองโกลเข้ามาไม่ได้ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพราชวงศ์หมิง…”

พูดไปสองประโยคก็ไอขึ้นมาอีก ผู้กุมอำนาจการทหารคือใต้เท้าถาน แน่นอนย่อมเป็นเสนาถานกวนจากกรมทหาร ได้ฉายาว่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่รู้เรื่องการทหารมากที่สุดแห่งยุคสมัย

ตอนที่สถานการณ์โจรสลัดแถบตะวันออกเฉียงใต้รุนแรงที่สุด เขาเป็นขุนนางท้องที่ในเมืองนานกิงและเมืองเจ้อเจียง เคยนำกองทัพโจมตีโจรสลัด หลังปีรัชสมัยหลงชิ่ง ถานกวนก็ดำรงตำแหน่งหน่วยป้องกันเมืองจี้โจว มีผลงานเป็นที่เลื่องลือ

คนในสมัยนี้มักจะเอาถานกวนกับชีจี้กวงมารวมเรียกว่า ‘ถานชี’ เขาเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุด และยังเป็นขุนนางสามรัชกาลตั้งแต่รัชสมัยเจียจิ้ง มีตำแหน่งสูงมากในราชสำนัก

“วันนี้ข้าได้มาชมลานฝึกนี้ แม้ว่าเป็นเพียงการเล่นวุ่นวายของเด็กน้อย แต่หากนำวิธีนี้ไปใช้ต่อ ย่อมมีประโยชน์ต่อราชวงศ์หมิงมาก”

เสนาบดีกรมทหารถานหานรู้เรื่องลานฝึกหู่เวย ก็เอาแต่หัวเราะ เป็นห่วงว่าฮ่องเต้จะเอาแต่เล่นจนลืมงานบ้านงานเมืองหรือไม่ ครูฝึกที่มาที่นี่ก็มีขุนศึกที่สังกัดกรมทหาร เมื่อวานได้ยินวิธีการและมาตรการฝึกต่างๆ ของหวังทงแล้ว ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อการฝึกกองทหารมาก จึงรีบรายงานถานกวน

รายงานนั้นทำให้ถานกวนรู้สึกอยากรู้ พอเลิกจากการประชุมท้องพระโรงก็ลากจางซื่อเหวยมาดูกันที่นี่ แม้ว่าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ถานกวนกับชีจี้กวงและอวี๋ต้าโหยวก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการทหารเหมือนกัน การรักษาขบวนแถวและรักษากฎระเบียบ พร้อมที่จะรับคำสั่งตลอดเวลา ความเป็นหมู่คณะพวกนี้ ล้วนสำคัญต่อชัยชนะมากกว่าการสอนการโจมตีมากนัก

เรื่องที่ให้เด็กๆ ฝึกบนลานฝึกนั้น ก็คือการรักษากฎระเบียบและการรักษาขบวนแถว เป็นความสามารถในการตอบสนองคำสั่งฉับไว

คิดไปถึงว่าเด็กพวกนี้ล้วนเป็นลูกหลานกองทัพแห่งราชวงศ์หมิง เด็กพวกนี้ได้เรียนรู้เช่นนี้ย่อมเป็นการเสริมความเก่งกล้าให้พวกเขามากขึ้น ถานหานรู้สึกตื่นเต้นมาก

“แม้ว่าฮ่องเต้ทรงมีภารกิจแผ่นดินมาก ไม่ได้เสด็จมาฝึกที่ลานฝึกแล้ว ใต้เท้าจางก็ต้องรักษาลานฝึกนี้ไว้ ให้คนได้มาฝึกที่นี่ให้มาก เพื่อเป็นกำลังให้ราชวงศ์หมิงเรา”

จางซื่อเหวยยิ้มพยักหน้ารับ ในใจคิดว่าถานหานดูจะตื่นเต้นมากเกินไปสักหน่อย ถึงขั้นนี้เลยหรือ ก็แค่เป็นเพื่อนเล่นฮ่องเต้เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าถานหานจะทำการบางอย่างที่ทำให้เขายิ่งตกใจเข้าไปอีก เสนาบดีกรมทหารผมขาวโพลนผู้ยิ่งใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ประสานมือคารวะจริงจังกล่าวว่า

“ใต้เท้าจาง ข้าสุขภาพอ่อนแอ เกรงว่าจะไม่อาจพ้นปีนี้ไปได้ หากลานฝึกนี้ยังอยู่ ก็จะได้ฝึกฝนลูกหลานเราอีกจำนวนมาก เป็นวาสนาของราชวงศ์หมิงเรา คืนนี้ข้าจะเขียนสารเรียนอำมาตย์จาง ใต้เท้าจางกับข้าก็เป็นมิตรกัน ครั้งนี้ก็ฝากท่านด้วย”

หากจะบอกว่าจางซื่อเหวยมึนงงแปดตลบก็คงไม่เกินไปนัก แต่ถานหานฝากฝังเรื่องสำคัญเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องลุกขึ้นรับคำหนักแน่น

***

ตอนเย็นเด็กๆ กินข้าวกันอยู่ที่หอเลิศรส ทุกคนตื่นเต้นดีใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงและหลี่หู่โถวนั่งร่วมโต๊ะกันก็ตื่นเต้นดีใจเช่นกันเช่นกัน

ตอนบ่ายมีทั้งจัดแถวและเดินแถว ทำให้ฮ่องเต้ที่ไม่ค่อยได้ขยับพระวรกายนัก รู้สึกหิวมาก เขากับหลี่หู่โถวกำลังแย่งกินเนื้อน้ำแดงในชาม

สีหน้าหวังทงยังคงปกติ ได้แต่ยิ้มเจื่อนในใจ แม้ว่าความคิดนี้เขาคิดออกมา แต่ดูเหมือนเนื้อหาโรงเรียนปฐมศึกษาพวกนั้นมันน่าเบื่อเกินไปแล้ว คิดดูชีวิตอย่างนี้ต้องทนอีกนานมาก ทำเอาหวังทงรู้สึกปวดหัวตึบขึ้นมา

คนในร้านค่อยๆ ทยอยออกไป ว่านลี่ หวังทงและหลี่หู่โถวไม่ได้กลับไปหอพักที่อยู่ตรงข้ามหอเลิศรส ความต่างเช่นนี้ยิ่งทำให้พวกเขายากจะเข้าพวกกับคนอื่นๆ

พอตกดึก หม่าซานเปียวและจางซื่อเฉียงกลับมาจากนอกเมือง พอหม่าซานเปียวเข้ามาก็ยิ้มร่ากล่าวว่า

“ใต้เท้าหวัง คนของพวกเราหาได้ครบแล้ว ล้วนเป็นชายหนุ่มเก่งกาจ เป็นลูกหลานจากครอบครัวทหาร ตามคำสั่งของท่าน”

“ใช้วิธีการใด?”

หวังทงก็สนใจมากว่าทำไมถึงไม่มีคนเชื่อจางซื่อเฉียง แต่หม่าซานเปียวเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร กลับได้คนมามากมายเช่นนี้?”

“พูดง่ายๆ ว่าเจ้านายเราเป็นองครักษ์เสื้อแพรมีความสามารถ เปิดร้านอาหารในเมืองหลวง มักจะถูกพวกนักเลงไม่รู้ที่ต่ำที่สูงมาก่อความวุ่นวาย อยากจะหาผู้ช่วยฝีมือดีสักหลายสิบคน มีที่กินที่อยู่พร้อม หากทำได้ดี ปลายปียังมีเงินแจกและลาพักได้ ฮ่าๆ ใต้เท้าท่านไม่เห็นหรือว่า มองข้ามข้า สุดท้ายก็ต้องมาใช้ข้าออกหน้า”

ความสามารถยังต่ำกว่าจางซื่อเฉียงมาก แต่มีปฏิกิริยาตอบรับกับสิ่งรอบด้านแตกต่าง จิตใจคนช่างน่าขัน หวังทงพยักหน้าชมเชย จางซื่อเฉียงรีบกล่าวเสริมต่อว่า

“แต่มีคนที่ยังไม่วางใจ พวกทหารอยู่เมืองหลวงมานานก็มักจะระวังกันมาก บอกกันว่าจะมาดูลานฝึก และมาดูร้านของพวกเราด้วย”

ลังเลครู่หนึ่งก็เปลี่ยนใจกล่าว

“ไปบอกกล่าวเถ้าแก่เซี่ยที่หอรุ่งเรืองหน่อยว่าให้ช่วยปิดบัง บรรดาพ่อแม่ที่มาก็พาไปดูที่หอรุ่งเรือง ลานฝึกทางนี้ คืนนี้พี่จางก็ออกไปหาซื้อที่ ให้ราคาสูงหน่อย”

ตอนนี้หอเลิศรสไม่สะดวกหลายอย่าง ให้คนพวกนั้นมาดู ย่อมอาจทำให้เบื้องบนไม่พอใจ งั้นก็ไม่หาเรื่องยุ่งยากพวกนี้มาใส่ตัวดีกว่า

เงินในมือมากพอ ทำงานง่าย แม้ว่าหม่าซานเปียวบุ่มบ่ามใจร้อน แต่ก็อยู่ในเมืองมานาน จางซื่อเฉียงก็เป็นคนในพื้นที่

ตอนขากลับสองคนก็เลือกเสร็จแล้ว รีบเอาเงินมุ่งไปยังสถานที่ๆ เล็งไว้ เป็นคลังสินค้าและลานกว้างรกร้างมาหลายเดือน

เดิมทีที่นี่เป็นโรงไหน้ำมัน ต่อมาการค้าล้มละลาย ที่นี่ก็ขายไม่ออก เจ้าของที่ที่เฝ้าที่นี่พอเห็นคนเอาเงินสดมาซื้อและไม่ต่อรองก็ดีใจรีบเรียกคนกลางมาทำสัญญาซื้อขายกลางดึก รับเงินส่งมอบบ้าน ทุกคนย้ายไปอยู่โรงเตี๊ยม

อย่าเห็นว่าพื้นที่ใหญ่ ไม่ได้ต่อราคา จริงๆ ก็จ่ายไปแค่สามร้อยตำลึงเท่านั้น แถบเขตทักษิณนี้ แต่ไรมาบ้านเรือนขายไม่ได้ราคา นับประสาอะไรกับบ้านใหญ่ที่ราคาไม่ใช่ถูกๆ คนปกติไหนเลยจะมาซื้อ คนทำการค้าก็ไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ สองฝ่ายต่างประจวบเหมาะกันพอดี

เพิ่งจะเซ็นสัญญาและส่งแขกไป หวังทงยังไม่ทันได้พักหายใจก็มีคนมาหาถึงบ้าน

“ใต้เท้า มีขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้หนึ่งบอกว่าเป็นนายกองจัดการจากกรมทหาร มีเรื่องสำคัญขอพบใต้เท้า คนที่มากับเขาก็เป็นครูฝึกเจ้าใหญ่”

คนในร้านกับคนใต้บังคับบัญชาของหวังทงรู้ว่าเจ้านายตนฝึกอยู่ที่ลานฝึก ในใจคิดว่าเป็นครูฝึกของใต้เท้า ก็ต้องต้อนรับอย่างสุภาพอ่อนน้อม

แต่ขุนนางที่มานั้นก็ทำให้เอาทุกคนงุนงง หวังทงคิดถึงขันทีในวัง ยังมีทหารองครักษ์ที่คุ้นเคยกับตนไม่น้อย ขุนนางบุ๋นหรือ ดูเหมือนจะมีแต่อำมาตย์จางจวีเจิ้งที่เคยมาครั้งหนึ่ง เป็นเพียงแค่ครั้งเดียวที่ได้ใกล้ชิดขนาดนั้น

“ใต้เท้าๆ อากาศหนาวเช่นนี้ อย่าให้คนต้องรออยู่ด้านนอก…”

เห็นหวังทงอึ้งไป จางซื่อเฉียงก็อดเอ่ยเตือนไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีเหตุที่จะไม่พบ หวังทงยืนขึ้นสงบนิ่งครู่หนึ่ง ก็ออกไปต้อนรับ

นายกองจัดการผู้นั้นไม่อยู่ที่ประตูด้านข้างของบ้าน แต่อยู่ที่ประตูหอเลิศรส พอเห็นหวังทงออกมารับ เห็นสีหน้าสงสัยของหวังทงแล้ว ก็ประสานมือเอ่ยเสียงดังก้องว่า

“ข้าน้อยซางเหล่ย นายกองจัดการจากกรมทหาร คำนับใต้เท้า”

“ใต้เท้าซางมาพบข้าน้อยด้วยเรื่องใด?”

“เสนาถานใต้เท้ากรมทหารสนใจการฝึกของลานฝึกหู่เวยมาก ให้ข้าน้อยมาจดบันทึก อีกสักครู่ลำบากใต้เท้าแล้ว”

“มิอาจกล่าวได้ว่าลำบากอันใด เข้าไปคุยด้านในกันเถอะ!”

ซางเหล่ยอายุสามสิบกว่า รูปร่างผอม ไว้เคราที่คางเล็กน้อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบัณฑิต พอได้ยินหวังทงกล่าวก็ก้มลงคำนับกล่าวเสียงดังกังวานว่า

“ร้านแห่งนี่กว้างขวาง ลมเย็นสบายพัดผ่านมาทางประตู ขอเป็นที่นี่ดีกว่า”

กลางคืนในร้านหนาวมาก มีข้อดีมากมายเช่นนี้ที่ไหนกัน วาจาของซางเหล่ยดังก้องไปทั่ว ยืนอยู่ตรงหน้าประตูราวกับเกรงว่าคนอื่นจะไม่ได้ยินอย่างนั้น เจ้าใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็จ้องมองตาไม่กระพริบ

ประตูและกำแพงฝั่งตรงข้ามมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ในที่สุดหวังทงก็รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายต้องเสียงดังเพียงนี้ ที่นี่ย่อมต้องมีคนจับตามองการกระทำทุกอย่างจะถูกรายงานขึ้นไป ดังนั้นมิสู้ทำให้เห็นกันไปเลย

ความต้องการของเสนากรมทหาร หวังทงหาเหตุผลปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็คิดไม่ตกว่าทำไมต้องมาบันทึกการฝึกของตน

งงก็ส่วนงง แต่ก็ยังเบี่ยงกายเชื้อเชิญให้เข้ามา

วันเวลาต่อมาก็เป็นปกติ ความตื่นเต้นของเด็กๆ ก็เริ่มหมดไป ทุกวันก็ได้แต่จัดแถวเข้าแถว เดินวนรอบไม่หยุด น่าเบื่อสิ้นดี

ชีวิตหวังทงก็น่าเบื่อมากเช่นกัน ทุกวันตอนเช้าก็ต้องตื่นไปรายงานตัว กลับมาก็ไปลาดตระเวน สั่งงาน จากนั้นก็ฝึกการจู่โจมกับหลี่เหวินหย่วนพร้อมกับหม่าซานเปียวและหลี่หู่โถว ตอนบ่ายยังต้องไปลานฝึกหู่เวย

วันที่ 15 เดือนสองวันนั้น เจ้าใหญ่เสร็จภารกิจฝึกสอนแล้ว ก็กล่าวกับกับนักเรียนด้วยเสียงหน้าเรียบเฉยว่า

“พรุ่งนี้พวกเราก็จะได้ฝึกของใหม่กันแล้ว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!