Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 85

ตอนที่ 85 ที่ควรจัดการก็ต้องจัดการ

ขาของฮ่องเต้ว่านลี่มีปัญหามาตั้งแต่เยาว์วัย เดินกระเผลก แต่การเคลื่อนไหวในยามปกติก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก

การฝึกแถวในช่วง 20 กว่าวันแรกที่ลานฝึกหู่เวย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็สามารถตามทัน แต่พอเพิ่มการวิ่งเข้ามาด้วย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็รู้สึกลำบากเล็กน้อย

พวกครูฝึกและหวังทงย่อมคิดถึงสภาพของฮ่องเต้ว่านลี่ ดังนั้นเริ่มแรก การวิ่งเหยาะๆ ก็จะช้ามาก ตามการเรียงจากตัวสูง จากหน้าไปหลัง ฮ่องเต้ว่านลี่ตามอยู่ท้ายสุดพร้อมกับหลี่หู่โถว

แต่การดูแลก็ส่วนดูแล จุดประสงค์ที่ฮ่องเต้ว่านลี่มาที่ลานฝึกนี้ แน่นอนว่าในวังย่อมปิดเป็นความลับ หวังทงย่อมไม่กล่าวกับผู้อื่น แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การออกกำลังก็ไม่อาจเบาเกินไป ครูฝึกรู้ว่าการเตรียมพร้อมร่างกายนั้น ถ้าวิ่งช้าๆ ก็จะไม่ได้ผล อย่างน้อยก็ต้องให้เหงื่อไหลท่วมกายถึงจะฝึกได้ผล

ระยะทางการวิ่งกับความเร็วในการวิ่ง เริ่มปรับเพิ่มขึ้นทุกวัน

บ่ายวันที่ 15 เดือนสองเริ่มวิ่ง พอวันที่ 21 เดือนสองวันนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะตามไม่ทัน วิ่งรอบสนามได้สองรอบ ห่างจากจุดครบรอบอีกสิบกว่าก้าว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ล้มลงกับพื้นทันที หลี่หู่โถวรีบหยุดเข้าไปประคอง

หวังทงอยู่แถวแรกไม่รู้เรื่องราวด้านหลัง แต่พอเห็นบรรดาครูฝึกในสนามตกใจตะลึงงันกันไป สีหน้าพยายามฝืนทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตอนที่ล้มลงไปเมื่อครู่ พระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่ขูดกับพื้นเป็นแผล ที่อื่นไม่มีอะไร เห็นเพียงเจ้าเด็กอ้วนที่ถูกเลี้ยงมาเอาใจไม่ร้องสักคำ เอาแต่ก้มหน้ายืนอยู่ท้ายแถว

การฝึกตอนบ่ายผ่านไปอย่างเงียบสงบ แต่พอถึงตอนค่ำ ครูฝึกหลายคนก็แอบมาหาหวังทง

หลังจากผ่านเรื่องราวที่นายกองจัดการซางเหล่ยจากกรมทหารมาจดบันทึกแล้ว หวังทงก็จะรับแขกที่มาในยามวิกาลที่หอเลิศรส อย่างไรก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง เปิดเผยตรงไปตรงมาก็แล้วกัน

“ใต้เท้าหวัง วันนี้ฝ่าบาททรงล้มลง พวกเราจะโดนไปด้วยไหม!”

เจ้าใหญ่แต่ไรมักนิ่งกังวลมาก เฉียนสองอีกคนก็กล่าวตามมาทันทีว่า

“พระวรกายบาดเจ็บ ในวังกล่าวโทษลงมา มีความผิดขึ้นประหารเก้าชั่วโคตรเลย…”

หวังทงก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ในใจก็วุ่นวายพอกัน การออกกำลังของเด็กผู้ชายย่อมบาดเจ็บเป็นปกติ แต่การบาดเจ็บไปเกิดกับฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เหมือนกัน

ตอนแรกที่คิดสร้างลานฝึกนี้ขึ้นก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน คิดก็ส่วนคิด แต่หวังทงก็ยังคงยอมรับไว้เพียงผู้เดียว กล่าวว่า

“หากมีความผิดใด ล้วนเป็นความผิดข้า ครูฝึกทุกท่านอย่าได้กังวล ข้ารับผิดชอบเอง”

หากบรรดาครูฝึกหวาดกลัวกัน ลานฝึกนี้ก็ไม่ต้องทำแล้ว หากฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่า ความสนพระทัยก็จะจางหายไป

ครูฝึกยังไม่ทันตอบรับ ข้างนอกก็มีคนมาเคาะเรียก ดึกยามนี้แล้วใครมากัน คนผู้นั้นรายงานสถานะตนเองว่า

“ใต้เท้าหวัง ข้าเซวียจานเยี่ย มีพระราชโองการ”

นายกองร้อยเซวียจานเยี่ยจากสำนักบูรพา รับสั่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอน หวังทงรีบลุกไปเปิดประตู ครูฝึกใจเต้นแรงหวาดหวั่นพอเห็นเซวียจานเยี่ยสวมชุดองครักษ์เสื้อแพรแบบนายกองร้อยที่มีชุดคลุมยาวสีน้ำเงินทับอีกชั้นเดินเข้ามา ก็พากันตัวสั่นเทา รีบลุกขึ้นยืน

“รับราชโองการ!”

ทุกคนกำลังจะคุกเข่าลง แต่เซวียจานเยี่ยเอ่ยเสียงดังกังวานขึ้นว่า

“ไทเฮาตรัสมาให้ยืนฟัง พวกเจ้าล้วนเป็นครูฝึกฮ่องเต้ สิ่งที่ควรจัดการก็จัดการไป เด็กทั่วไปกระทบกระแทกจะให้แข็งแรงได้อย่างไร ฮ่องเต้ก็เช่นกัน ทุกท่านอย่าได้กังวล วางใจปฏิบัติหน้าที่ไปก็พอ”

ทุกคนล้วนกล่าวคำว่า ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว จากนั้นจึงได้กล้าลุกขึ้นยืน เซวียจานเยี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า

“ทุกท่านกลับไปพักผ่อนได้! ข้ามีเรื่องจะคุยกับใต้เท้าหวัง”

ครูฝึกไม่กล้ากล่าวอะไรต่อ พอเดินออกไปกันแล้ว สีหน้านายกองร้อยเซวียจากสำนักบูรพาก็ยิ้มแย้ม กล่าวอย่างนอบน้อมว่า

“เรียนใต้เท้าหวัง เดิมทีข่าวนี้ควรจะให้โจวกงกงเป็นผู้มาถ่ายทอด แต่ดึกมากแล้ว จึงต้องหย่อนกระเช้าลงมาทางกำแพงแทน จางกงกงฝากให้ข้าเรียนใต้เท้าว่า โปรดวางใจ”

ท่าทางระหว่างพูดอยู่นั้นสุภาพนอบน้อม ทุกคนรู้ว่าตำแหน่งนายกองร้อยกองอาญาสำนักบูรพานั้นสูงกว่าตำแหน่งนายกองธงใหญ่ตัวเล็กๆ นี่ไม่รู้เท่าไร เซวียจานเยี่ยยังมาถ่ายทอดรับสั่ง แต่ท่าทีของเซวียจานเยี่ยกลับดูเหมือนขุนนางผู้น้อยที่มีต่อขุนนางผู้ใหญ่ นายกองธงใหญ่ในเมืองหลวงมีราวสองสามร้อยคน แต่นายกองธงใหญ่ที่สามารถทำให้จางกงกงไหว้วานให้ออกมาส่งข่าวกลางดึก และยังสามารถนั่งต่อหน้าจางกงกงด้วยท่าทีสบายๆ ได้นั้น เกรงว่าจะมีเพียงนายกองผู้นี้ผู้เดียว

หวังทงเองก็ไม่ได้วางท่าใหญ่โต แม้ความต่างทางสถานะเป็นที่ทราบกันดี แต่สองฝ่ายคุยไปหัวเราะไป ใกล้ชิดสนิทสนมเป็นกันเองมาก

แต่สิ่งที่หวังทงหรือครูฝึกเหล่านั้นคิดไม่ถึงก็คือ ตอนฮ่องเต้ว่านลี่กุมบาดแผลออกจากลานฝึกมานั้น คนจากสำนักบูรพาและสายสืบก็ได้ปิดล้อมพื้นที่โดยรอบถนนทักษิณเอาไว้หมดแล้ว รอเพียงคำสั่งจากในวัง ขอเพียงเอาเรื่อง ก็จะจับกุมทันที

จางเฉิงทำตามกฎโดยรออยู่ไม่ไกลนักในบ้านเล็กๆ พอเห็นบาดแผลของฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตกใจแทบสิ้นสติ สั่งให้คนมาดูบาดแผลก่อน จากนั้นก็รีบเข้าวังไป

เรื่องของฮ่องเต้ย่อมไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องเล็ก ไทเฮาที่รักและทะนุถนอมฮ่องเต้จะจัดการอย่างไร แม้แต่จางเฉิงที่อยู่มานานก็ไม่อาจคาดเดา ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตามไปด้วย

ตอนเขาไปเข้าเฝ้าไทเฮาฉือเซิ่ง นางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรายงานว่า เฝิงกงกงจากสำนักส่วนพระองค์ก็อยู่ข้างในด้วย

****

“คิดไม่ถึงว่าเด็กนี่ต้องยุ่งกับการงานมากมายเช่นนี้ทุกวัน ทั้งงานนอกและงานในล้วนทำเขาลำบากยิ่งนัก”

สีพระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งดูไม่ออกว่าอยู่ในพระอารมณ์ใด ได้ยินเพียงแค่คำวิจารณ์รายงานของเฝิงเป่า เฝิงเป่าขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า

“ฮ่องเต้ทรงออกกำลังพระวรกายที่ลานฝึกนั่น หวังทงก็ควรจะทุ่มเทกายใจดูแลเบื้องสูง แต่กลับแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่น ข้าน้อยควรจะส่งคนไปว่ากล่าวตักเตือนหรือไม่พะยะค่ะ”

“ว่ากล่าวตักเตือนอะไรกัน ทุกวันไปรายงานตัวและออกประจำการ ช่วยงานสืบคดีต่างๆ หากทุกวันเอาแต่เกาะติดรับใช้ฝ่าบาท ไม่ทำงานตามหน้าที่ตนเอง เช่นนั้นกลับเป็นการไม่ใส่ใจการงาน ที่ราชวงศ์หมิงเราขาดแคลนก็คือเด็กที่ยอมทำงานเช่นนี้”

“ไทเฮาทรงพระปรีชา เป็นข้าน้อยที่วิตกมากไปเองพะยะค่ะ”

พอเห็นสีพระพักตร์ไทเฮาเผยรอยยิ้ม เฝิงเป่าก็ไม่ทูลอะไรต่อ นางกำนัลด้านนอกกราบทูลว่าฮ่องเต้กับจางกงกงมาถึงแล้ว

พอได้ยินคำกราบทูล สีพระพักตร์ไทเฮาก็ยิ่งเผยรอยยิ้มขึ้น รีบรับสั่งว่า

“รีบให้ห้องเครื่องจัดเครื่องเสวยมา ฮ่องเต้ทรงฝึกมาตั้งแต่บ่าย คงต้องทรงหิวมากแน่ เราเห็นฮ่องเต้เสวยได้เอร็ดอร่อย ก็สุขใจ”

ขณะตรัสอยู่นั้น ฮ่องเต้ว่านลี่กับขันทีรับใช้จางเฉิงก็เข้ามาถึง เฝิงเป่ากำลังจะถวายคำนับ พลันเห็นพระหัตถ์ของฮ่องเต้น้อยพันผ้าพันแผลเอาไว้ ก็จ้องมองทันที รีบก้าวเข้าไปหยุดเบื้องหน้าก้มลงถามอย่างเป็นห่วงว่า

“ฝ่าบาท บาดแผลที่พระหัตถ์ได้มาอย่างไร ทรงเจ็บหรือไม่…”

ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ รีบตอบทันทีว่า

“ต้าปั้นไม่ต้องเป็นห่วง แผลเล็กใส่ยาแล้ว ไม่มีอะไร”

เฝิงเป่ามองอย่างละเอียด เงยหน้าจ้องจางเฉิงเอ่ยตำหนิว่า

“เจ้าทำงานอย่างไร ปล่อยให้ฝ่าบาทบาดเจ็บได้อย่างไรกัน!!?”

จางเฉิงไม่สนว่าด้วยตำแหน่งหรือความเป็นจริงก็เป็นถึงบุคคลอันดับสองในวังหลวง แต่ถูกเฝิงเป่าตำหนิเช่นนี้ ก็ยังหวาดกลัวจนต้องก้มหน้าลง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับเดินไปยังเบื้องหน้าไทเฮา ถวายคำนับก่อนจะตรัสขึ้นทันทีว่า

“เสด็จแม่ ข้าหิวแล้ว จัดเสร็จแล้วหรือยัง?”

“เสร็จแล้วๆ ล้วนเป็นของที่ฝ่าบาททรงโปรด รีบเสวยเถอะ”

ไทเฮาฉือเซิ่งทอดพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่ด้วยความรัก ตรัสด้วยรอยยิ้ม ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จตามนางกำนัลไป จางเฉิงเพิ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเสร็จ เฝิงเป่าก็เสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“ไทเฮาพะยะค่ะ พระวรกายฝ่าบาทสำคัญยิ่ง ทรงอยู่ลานฝึกองค์เดียวไม่เหมาะอย่างยิ่ง ไม่สู้เปิดในวังสักแห่ง ให้ขันทีอายุน้อยเป็นเพื่อน ก็เป็นการ…”

ไทเฮาไม่ทันได้รับสั่งตอบ แต่กลับตรัสถามจางเฉิงว่า

“ตอนฮ่องเต้เสด็จกลับมา ได้ตรัสอะไรกับเจ้า ทรงบ่นหรือไม่?”

“ทูลไทเฮา ฝ่าบาทตรัสเพียงว่าจากนี้ไปทั้งกลางวันกลางคืนจะทรงวิ่งให้มาก ไม่เช่นนั้นจะตามไม่ทัน อย่างอื่นนั้น ก็ทรงเล่าว่าหวังทงเล่าเรื่องสนุกตอนไปกวางตุ้งที่ได้พบกับพวกฟะรังคี ถามข้าน้อยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

จางเฉิงทูลจบ ไทเฮาทรงพยักพระพักตร์ก่อนจะตรัสอย่างพอพระทัยว่า

“หลายวันนี้เห็นฮ่องเต้ทรงนิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก เห็นพระวรกายแข็งแรงขึ้นด้วย เด็กผู้ชายก็ควรจะได้ออกไปล้มลุกคลุกคลานข้างนอกให้มาก น้องชายเราตอนยังเล็กก็เอาแต่วิ่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน ตอนนี้ร่างกายแข็งแรงราวกับเหล็กไหล…จางเฉิง เจ้าไปบอกพวกครูฝึกว่า สอนฝ่าบาทฝึกยุทธ์ ช่วยฝ่าบาทออกกำลังพระวรกาย อย่างไรก็เป็นพระอาจารย์ นอกจากสถานะฮ่องเต้ที่ไม่อาจเปิดเผยแล้ว เรื่องอื่นที่ควรจัดการก็จัดการไป อย่าได้ละเลยนิ่งเฉย ทั้งหมดเรามอบให้พวกเขาจัดการไปได้เลย”

ขันทีทั้งสองรีบคำนับรับพระบัญชา จิตใจจางเฉิงที่แขวนบนเส้นด้ายก็ผ่อนคลายลง นิ่งลงและคิดได้ว่า ฮ่องเต้บาดเจ็บ ตนยังหวาดหวั่นเช่นนี้ หวังทงและบรรดาครูฝึกข้างนอกคงต้องตกใจกันจนขวัญหนีดีฝ่อ หากเลิกล้มไป หรือเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ก็ไม่รู้จะทูลรายงานอย่างไร

ตอนนี้ก็จัดเตรียมส่งข่าวสารผ่านออกไปทางสำนักบูรพาในคืนนี้ ให้นายกองร้อยกองอาญาสำนักบูรพาเซวียจานเยี่ยออกไปถ่ายทอดรับสั่ง ก็คงทำให้คนพวกนั้นวางใจได้

***

วันที่สองตอนบ่ายที่ฮ่องเต้ว่านลี่ปรากฏองค์ขึ้นที่ลานฝึกหู่เวย คนที่รู้เรื่องก็พากันถอนหายใจเฮือกใหญ่

หมอหลวงเชี่ยวชาญด้านกระดูกหลายคนจากสำนักแพทย์หลวงก็ถอดชุดขุนนางออก มาแต่งกายเป็นหมอชาวบ้าน ทุกวันคอยประจำการอยู่ หากเกิดเหตุก็จะรีบจัดการได้ทันที

บรรดาครูฝึกก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ควรจัดการอะไรก็จัดการกันไป

เดือนสามปีที่ 5 ในรัชสมัยว่านลี่ ท้องถนนหนทางก็เริ่มมีต้นไม้แตกกิ่งก้านใบออกมา อากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้น การฝึกที่ลานฝึกหู่เวยก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นตามไปด้วย

บรรดาลูกหลานตระกูลทหารแต่เล็กก็ฝึกฝนร่างกายกันมา การเพิ่มความเข้มข้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไร แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ขาดการออกกำลัง และร่างกายยังพิการอีกก็ตามไม่ทันอยู่บ้าง

เป็นภาระให้บรรดาเด็กๆ ก็ยิ่งมากขึ้น สายตาเด็กๆ ที่มองฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยิ่งไม่เป็นมิตรมากขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!