Skip to content

องครักษ์เสื้อแพร 9

ตอนที่ 9 มิเสียใจภายหลัง

หวังทงไม่สนใจว่าเท่าไร หยิบทั้งหมดใส่เข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ พยุงหญิงชราที่ตกใจจนนิ่งอึ้งไปผู้นั้นขึ้นมา ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า

“ท่านน้า เอาเงินนี่กลับไป สองสามวันนี้อย่าได้มาที่นี่อีก รีบไป รีบไปเร็ว”

หญิงชราเห็นเศษเบี้ยเงินและเหรียญเงินในตะกร้าก็มองอึ้งเงียบเสียงลง หวังทงกล่าววาจาเร่งไปสองสามคำ จึงได้สติ คุกเข่าลงกับพื้นสะอื้นไห้ด้วยความรู้สึกขอบคุณกล่าวว่า

“ท่านผู้ใจบุญ ท่านผู้ใจบุญ…ยายแก่อย่างข้าไหนเลยจะกล้ามาที่นี่อีก…หากมิใช่นายท่านออกหน้าช่วยเหลือ ยายแก่อย่างข้า…กลับไปจะต้องตั้งป้ายบูชาขอให้ท่านอายุยืนยาว…”

วันนี้หญิงชราผู้นี้พบกับเรื่องมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังนับว่าจบลงด้วยดี โดยเฉพาะมองเห็นเบี้ยเงินและเหรียญเงินในตระกร้าขนมเปี๊ยะ ขายครึ่งปีก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาได้มากมายเท่านี้ อายุหวังทงก็สามารถเป็นหลานของนางได้ แต่ในสายตาของนางในเวลานี้ องครักษ์เสื้อแพรอายุน้อยผู้นี้ราวกับพุทธะเดินดิน ในห้วงแห่งความดีใจ หญิงชราผู้นั้นพูดจาไม่เป็นภาษา หลังจากหวังทงสงบนิ่งลง กำลังคิดปวดหัวเรื่องราวที่จะตามมา ก็ได้ปลอบใจหญิงชราไปสองสามประโยค เร่งให้นางรีบจากไป

นักเลงสองคนบวกกับเจ้ากั๋วต้งอีกคน แม้ว่าถูกอัดน่วมไป แต่ก็เป็นเพียงอาการบาดเจ็บภายนอก ช่วงเวลาที่หวังทงพูดกับหญิงชราผู้นั้น เจ้าสามคนนั่นก็ค่อยๆ ฟื้นตัวแล้ว แต่ยังไม่กล้าขยับลุกขึ้น

หวังทงนั่งลงบนธรณีประตูของร้านน้ำชามองหญิงชราเดินออกจากถนนสายนี้ไปจนลับตา แม้ว่าสามคนนี้จะไล่ตามไปก็คงตามไม่ทันแล้ว

ช่วงพักกลางวันกำลังจะหมดไป ผู้คนบนท้องถนนก็ขวักไขว่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่คนเดินมาทางนี้ก็ล้วนต้องอ้อมไปอีกทางเมื่อเห็นองครักษ์เสื้อแพรท่าทางใหญ่โตนั่งอยู่ตรงประตูร้านน้ำชา หน้าประตูยังมีคนหมอบอยู่กับพื้นอีกสามคน ไม่ต้องกล่าวถึงคนในร้านที่ไม่กล้าออกมา คนที่ผ่านมาก็ไม่กล้าเดินผ่าน

คิดหาทางออกได้สองสามทาง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตนเองนั้นเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ คำพูดก็ไร้น้ำหนัก คาดว่านายกองร้อยเถียนก็คงจะเห็นแก่ตำลึงเงินที่มอบให้ไปไม่ลงโทษอันใด แต่การจะถูกขับไล่ออกจากสังกัดก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อถึงตอนนั้นก็จากเมืองหลวงไปพร้อมกับเงินที่เหลือ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ อย่างน้อยตนก็มีประสบการณ์และความรู้ล้ำหน้าไปกว่ายุคนี้หลายร้อยปี แม้ว่าประโยชน์ใช้สอยจะไม่มากนัก อาจจะไม่สามารถสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้

ตอนนี้กังวลใจไปจะมีประโยชน์อันใด หวังทงคิดได้เช่นนี้ จึงได้เผยรอยยิ้มไร้สิ้นความกังวล ตอนที่ลุกขึ้นเดินกลับบ้าน สามคนที่เริ่มฟื้นตัว พอเห็นเขาลุกขึ้นยืน ก็รีบหมอบลงกับพื้นแกล้งตาย

ก็แค่ตบตียายแก่ขายขนมเปี๊ยะ ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือขนาดนี้เลยหรือนี่ เจ็บไปหมดทั้งตัว เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด หวังทงไม่สนใจสุนัขตายสามตัวบนพื้นถนนแต่อย่างใด ดิ่งตรงกลับบ้านไปทันที

พอถึงตอนนี้ เถ้าแก่ร้านน้ำชากับลูกจ้างในร้านสองสามคนก็เดินออกนอกประตูมาด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน เถ้าแก่ผู้นั้นมองแผ่นหลังของหวังทงจากไป ก่อนจะเหล่มองไปยังเจ้ากั๋วต้งและพรรคพวกแวบหนึ่งด้วยความแววตาดูถูกก่อนจะฉีกยิ้มรีบวิ่งเข้าไปพยุงขึ้นมา

“ใต้เท้าเจ้า ท่าน…”

ผู้ที่ยืนอยู่บนถนนและคนที่ผ่านไปผ่านมา ก็ยังคงเดินหลบเลี่ยงกันไป แต่เถ้าแก่และลูกจ้างในร้านหรือแม้กระทั่งแขกที่คุ้นเคยล้วนรู้ว่าเมื่อช่วงกลางวันนั้นเกิดเหตุอันใดขึ้น หลายคนยังเห็นด้วยตาตนเอง ล้วนก็ไม่กล้ามองข้ามองครักษ์เสื้อแพรอายุน้อยผู้นี้ การลงมือดุดันรุนแรงอันนี้ไม่ต้องพูดถึง แต่สิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องผดุงคุณธรรม ช่างกล้าหาญน่ายกย่อง

บุคคลเช่นนี้เป็นผู้ที่อาศัยอยู่บนถนนสายนี้ หลังจากนายกองธงเล็กหวังลี่จากไป ทุกคนไร้น้ำใจกับตระกูลหวังไปบ้างหรือไม่

ตอนที่หวังทงก้าวเท้าเข้าประตูบ้าน เจ้ากั๋วต้งก็เข้าไปนั่งอยู่ในร้านน้ำชาแล้ว ในมือถือผ้าชุบน้ำร้อนเช็ดเลือดบนใบหน้าด้วยความระมัดระวัง พอแตะถูกแผลก็เจ็บจนต้องกัดฟันร้องโอดโอย เขารู้สึกได้ว่าผู้คนในร้านน้ำชาที่ปกติจะเคารพนอบน้อมเขาอย่างนั้นอย่างนี้ ในเวลานี้ดูเหมือนจะปฏิบัติต่อเขาอย่างละเลยไปบ้างเหมือนกัน

มันช่างน่าขายหน้าใต้เท้าอย่างข้าเสียจริง เจ้ากั๋วต้งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กัดฟันคำรามขึ้น

“เจ้าลูกหมา ข้าจะตามจองล้างเจ้าไม่จบไม่สิ้น!!”

หากเสียงคำรามนี้ไม่ดังนัก ทำให้ผู้คนนอกประตูได้ยินไม่ชัดเจน

ในเมื่อก่อเรื่องก่อราวไปแล้ว ตอนบ่ายหวังทงก็ไม่คิดจะกลับไปเฝ้าฐานต่อ กินข้าวอย่างรวดเร็วไปสองสามคำก็หยิบผ้าแพรขึ้นมาห่อตำลึงเงินทั้งหมดที่มีอยู่ แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก 50 ตำลึงเตรียมมอบให้กับนางหม่าข้างบ้าน อีกส่วนจำนวน 350 ตำลึง แบ่งเสร็จก็ซ่อนไว้ในลานบ้านที่มิดชิด

เหลือเศษเงินอีกหน่อยกับปืนติดตัวไว้ หากพรุ่งนี้ถูกไล่ออกต่อหน้าทุกคน อีกฝ่ายก็คงต้องเอาคืนทันที ยังไม่แน่ว่าจะมีเวลากลับมาเก็บเงินหรือไม่ คงต้องหนีออกนอกเมืองไปก่อน แล้วค่อยกลับมาเอาเงินที่เหลือ

นางหม่าช่วยเหลืองานศพบิดาเขาไม่น้อย บุญคุณครั้งนี้จะต้องตอบแทน จะว่าไปลูกชายของนางหม่าก็รับจ้างเลี้ยงม้าอยู่นอกเมืองหาเลี้ยงตัวเองไปวันๆ นางหม่าเองนั้นก็ยังต้องอาศัยการประชุนเสื้อผ้าเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพตน ชีวิตไม่ค่อยสบายนัก เงิน 50 ตำลึงนี้คงมากพอ

คิดไม่ถึงว่าเมื่อส่งเงินให้นางหม่ากลับรู้สึกตกใจกล่าวว่า “บ้านใกล้เรือนเคียงควรช่วยเหลือกัน ไยต้องมอบเงินทองให้มากขนาดนี้ เอากลับไปเถิด” หวังทงเกลี้ยกล่อมอยู่นาน นางหม่าจึงยอมรับเงินไปเพียงแค่ 10 ตำลึงเงิน

เมื่อทุกอย่างตระเตรียมเสร็จเรียบร้อย จิตใจพลันสงบลง หวังทงรู้สึกเบื่ออยู่ในห้อง ตนเองเมื่ออยู่ในยุคปัจจุบันตอนโดนลูกค้าด่าก็จะยิ้มรับและพยายามประนีประนอม เมื่อเห็นเรื่องอยุติธรรมบนท้องถนนก็จะก้มหน้างุดไป แต่ก็ถือว่าเหมือนคนที่มีการศึกษาในสังคมปกติทั่วไปที่รู้จักอดกลั้น แต่ทำไมวันนี้จึงได้บุ่มบ่ามใจร้อนเช่นนี้ไปได้

ในชาติก่อนระมัดระวังเป็นอย่างมากก็ยังป่วยตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนเตียง มาเกิดชาตินี้อีกครั้ง บางทีจิตสำนึกของตนคงไม่อยากมีชีวิตเช่นนั้นอีกแล้ว

จะว่าไป 12 ปีมานี้ ตนเองใช้ชีวิตแบบเด็กธรรมดาคนหนึ่ง อย่างน้อยก็คงมีนิสัยเด็กอยู่บ้าง เด็กคนหนึ่งจะสามารถรู้หนักรู้เบาและอดทนอดกลั้นได้อย่างไร

ลงมือก็ลงมือไปแล้ว สังคมที่เลวร้ายเช่นนี้หากไม่ลงมือก็คงยิ่งรู้สึกผิดต่อตนเอง หวังทงคิดไปคิดมาก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้ จากนั้นก็หลับลึกไป

ตื่นเช้าเป็นนิสัยเสียแล้ว หวังทงนำเงินและปืนพร้อมหนังสือแต่งตั้งดำรงตำแหน่งองครักษ์เสื้อแพรวางเรียงในห่อผ้าอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็มามัดกับตัว แล้วค่อยสวมชุดมัจฉาเวหาทับอีกชั้น

ทุกสิ่งล้วนต้องเตรียมการป้องกันไว้ให้พร้อม หลังจากพ่อบิดาจากไป หวังทงก็ยิ่งเข้าใจกระจ่างชัดมากขึ้น ในยุคสมัยนี้แม้ว่ามีกฎหมาย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสังคมแห่งกฎหมาย ปลาเล็กกินใหญ่ ไม่สามารถประกันชื่อเสียงและความปลอดภัยของผู้ใดได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ การจะระมัดระวังเตรียมการให้พร้อมก็ไม่ผิดอันใด

เมื่อมีเรื่องกังวลใจจึงตื่นเช้า แม้ว่าจะยุ่งวุ่นวายอยู่นาน ตอนออกจากบ้านก็ยังรู้สึกเหมือนกับเมื่อวาน ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว ท้องฟ้าในเมืองหลวงก็มืดกว่าปกติ ในเวลานี้ท้องฟ้ามีเพียงแสงรำไร

ยามออกจากบ้านมา ผู้คนบนถนนส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาลูกจ้างร้านค้าต่างๆ กำลังเปิดประตูและกวาดล้างหน้าร้าน บ้างก็ออกมาซื้ออาหารเช้าให้กับเถ้าแก่หรือเจ้านาย และยังมีงานจิปาถะที่ต้องทำอย่างเช่นการจัดเตรียมสินค้า ล้วนแต่เป็นงานยุ่งวุ่นวายยามเช้าทั้งสิ้น

หวังทงเดินผ่านร้านค้าที่ใกล้บ้านที่สุด ลูกจ้างสองคนที่กำลังราดน้ำกวาดพื้นอยู่นั้นเห็นเขาเดินมาก็รีบหยุดงานในมือ โค้งคำนับอย่างเคารพ กล่าวอย่างสุภาพว่า

“ใต้เท้าหวัง ไปเข้าเวรหรือขอรับ ลำบากท่านแล้ว…”

เมื่อวานก็เดินผ่าน สองผู้นี้ก็แค่ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวเท่านั้น ไยวันนี้กลับทำความเคารพเช่นนี้ หวังทงพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกงุนงง เดินต่อไปข้างหน้าก็เป็นร้านขายขนมร้านหนึ่ง ในยามนี้ภายในร้านติดเตาก่อไฟเรียบร้อยกลิ่นหอมของขนมที่อบเสร็จลอยกรุ่นมาแต่ไกล

เถ้าแก่ร้านที่กำลังเช็ดตู้วางขนม พอเห็นหวังทงเดินผ่านมาก็รีบสั่งให้ลูกจ้างห่อขนมที่เพิ่งออกจากเตามาสองสามชิ้น วิ่งเหยาะๆ ตามมาออกมา

“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังขอรับ ขนมเปี๊ยะใส้เนื้อที่เพิ่งอบเสร็จ ไว้อุ่นท้องยามเช้าขอรับ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!