ตอนที่ 90 คำวิจารณ์สูงส่ง เมล็ดพันธุ์ขุนพลยิ่งใหญ่
เสนาบดีกรมทหารคุมกองทัพ อำนาจมากมาย ไม่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ย่อมไม่อาจดำรงตำแหน่งนี้ คณะเสนาบดีใหญ่แม้จะปกครองขุนนางทั้งมวล มีอำนาจจัดการบ้านเมือง แต่เสนาบดีกรมทหารและเสนาบดีกรมปกครองสองกลับสามารถนั่งตำแหน่งเดียวกับกับคณะเสนาบดีใหญ่
หวังทงไม่ชำนาญการขี่ม้า ตอนขี่ม้าตามท้องถนนในเมืองหลวงก็ต้องคอยระวังให้ร่างกายสมดุลบังคับท่วงท่าขี่ม้า แต่ก็ยังเอาแต่ครุ่นคิด
เขากับนายกองร้อยเถียนขี่ม้าไปได้ไม่ไกลนัก ก็มีคนขี่ม้ารออยู่ก่อนแล้ว คอยนำทางอยู่ด้านหน้า
ในเมืองหลวงตอนกลางคืนจะมีกองทหารลาดตระเวน การขี่ม้าห้อไปเช่นนี้แม้แต่บุคคลชั้นสูงหรือขุนนางก็มีความผิด
แต่ตลอดทางมามีคนขี่ม้ามารวมตัวกันไม่หยุด บางครั้งก็พบกับกองลาดตระเวนกลางคืน คนที่ขี่นำด้านหน้าสุดก็จะตะโกนคำสั่งและแสดงป้ายคำสั่งเป็นหลักฐาน
กองลาดตระเวนก็รีบทำความเคารพ ก่อนจะหลีกทางให้ หวังทงมองไปที่คนขี่ม้า ท่าทางการขี่และการตะโกนนั้น มีท่าทางเหมือนบ่าวรับใช้ ท่าทางเป็นพวกชำนาญการขี่ม้าทั้งนั้น
ตั้งแต่พบกับฮ่องเต้ว่านลี่ที่หอเลิศรสได้ ก็มีมหาขันทีเฝิงเป่า หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นก็อำมาตย์จางจวีเจิ้งมาอีก
ตามหลักแล้ว หากคิดจะสร้างสัมพันธ์กับหวังทงที่จะกลายเป็นพระสหายฮ่องเต้ ต้องการใกล้ชิดสนิทสนมแล้วล่ะก็ ควรจะมาทักทายกันตั้งแต่ช่วงก่อนหรือหลังปีใหม่
และฐานะของเสนาบดีถานกวนแห่งกรมทหาร เป็นกลุ่มคนที่ได้เข้าร่วมรับรู้เรื่องลับสุดยอดในราชสำนัก เขาควรจะรู้เรื่องลานฝึกหู่เวยกับเรื่องของตนแล้ว แต่ทำไมต้องรอถึงตอนนี้จึงได้ให้ตนไปพบ
นายกองร้อยเถียนผู้นั้นบอกมาประโยคหนึ่งว่า ‘ใต้เท้าถานไม่ไหวแล้ว’ ช่วงเวลาเช่นนี้ยังให้ตนไปพบ ก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
ถนนยามดึกไร้ผู้คน แต่ตลอดทางกลับมีโคมไฟจุดไว้หลายแห่งพร้อมเสียงร้องรำทำเพลง ม้าวิ่งกันเร็วก็ไม่ทันได้มองว่าคืออะไร
บนถนนไร้ผู้คน ขบวนม้าวิ่งเร็วมาตลอด ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย ประตูหน้าจวนเสนาบดีกรมทหารแขวนโคมไฟใหญ่อยู่ มีชายรับใช้ชะเง้อมองอยู่ตรงหน้าประตู
พอเห็นขบวนม้ามาถึงก็มีคนตะโกนดังมาว่า
“พามาแล้วหรือ?”
“อยู่บนหลังม้า!!”
หนึ่งเสียงถามหนึ่งเสียงตอบ พอถึงหน้าประตูผูกม้าเสร็จ คนขี่ม้ากับนายกองเถียนก็ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว แต่การเคลื่อนไหวของหวังทงกลับชักช้าสักหน่อย ชายที่มาด้วยกันก็เร่งอย่างใจร้อนว่า
“เร็วหน่อยๆ”
พวกเขาเกือบลากหวังทงเข้าไปในจวน นายกองร้อยเถียนกลับไม่ได้ตามเข้ามา ได้แต่ประสานมือคารวะกล่าวอำลาอย่างนอบน้อมว่า
“คนก็พามาแล้ว ข้าน้อยขออำลาก่อน”
หวังทงเดินไปอย่างเร่งรีบ เห็นคนในจวนถานกวนทุกคนสีหน้าเศร้าโศก พอเข้าไปในห้อง ชายที่เฝ้าอยู่ก็รีบคำนับถอยออกมา ชายรูปร่างสูงอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่งก็มายืนขวางหน้า ชายผู้นี้ดูเหมือนขุนพล แต่สวมชุดพ่อบ้าน พอเห็นหวังทง ก็ประสานมือคารวะ ผายมือแสดงการเชื้อเชิญ จากนั้นก็เดินนำไป
“นายท่านเราหลังปีใหม่สุขภาพไม่ดีแล้ว สามวันก่อนพอกินข้าวเสร็จก็หมดสติไป ไม่รู้สึกตัวไปสามวันเต็มๆ วันนี้ก่อนค่ำก็ตื่นขึ้นมา รับโจ๊กไปหน่อยก็มีกำลังวังชาขึ้น อยู่ๆ ก็อยากพบเจ้า”
ขณะพูดนั้นก็เดินมาถึงประตูห้องด้านใน พ่อบ้านผู้นั้นก็รายงานอยู่ด้านนอก สตรีสองสามคนเดินเช็ดน้ำตาออกมา เลี่ยงไปทางเรือนด้านข้าง
เวลาเช่นนี้จะพบตนเองทำไมกัน หวังทงยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน แต่ถึงตอนนี้แล้วก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย
เดินเข้าไปในห้องนอน พ่อบ้านนำทางก็หยุดหน้าประตู ในห้องกลิ่นยารุนแรง ทำให้หวังทงรู้สึกอึดอัด ห้องนอนตกแต่งธรรมดาสามัญยิ่งนัก ที่พักของขุนนางบุ๋น กำแพงกลับแขวนอาวุธเอาไว้ แปลกประหลาดนัก
บนเตียงมีชายชราห่มผ้านั่งพิงอยู่ พอเห็นหวังทงก็ยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า
“หวังทงรอก่อน ข้าขอสั่งเสียก่อน”
ขณะพูดนั้นก็ออกคำสั่งกับพ่อบ้านที่หน้าประตูว่า
“ให้ถานปิงกับถานเจี้ยนสองคนเข้ามา จะได้ไม่ต้องไปแอบฟังอยู่ตามหน้าต่าง ตามกำแพง…”
ตอนชายชราพูดนั้น หวังทงก็สำรวจลักษณะท่าทางของชายชรา รูปร่างถานกวนควรจะสูงใหญ่มาก แต่ตอนนี้กลับผอมเล็ก รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าอ่อนแรงมาก แต่ดวงตาทั้งสองกลับกระจ่างใส แม้ว่าจะยิ้มละมุนแต่ก็สร้างความกดดันให้ผู้คนได้ ความกดดันนี้ต่างจากความรู้สึกยามที่หวังทงได้พบกับเฝิงเป่าและจางจวีเจิ้ง หวังทงรู้สึกไม่เข้าใจ
ไม่นาน ชายสองคนท่าทางธรรมดาก้มหน้าเดินเข้ามา ใบหน้าสองคนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พอเข้ามาก็ลังเลเล็กน้อย คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้เสียงดัง โขกศีรษะติดต่อกัน กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ว่า
“นายท่าน นายท่าน นี่ไม่ใช่…”
“อย่าร้องไห้ เจ้าสองคนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไม่มีอะไรต้องอธิบาย เรียกเจ้าสองคนเข้ามา ก็เพราะให้พวกเจ้าจดให้ดี รีบไปรายงานสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรในวัง เรื่องที่ข้าจะพูด เปิดเผยชัดเจน ไม่มีอะไรต้องปิดบังแม้แต่น้อย ถานเจียง เอาเก้าอี้มาให้ทั้งสองคนนั่ง จะได้เขียนได้สะดวก”
หวังทงก้มหน้าเงียบ เรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจอยู่ บรรดาสำนักบูรพาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่งคนมาเป็นสายจับตารายงาน เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับนานแล้ว ประเด็นคือดูว่าเจ้าบ้านจะรู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดเท่านั้น
“หวังทง เจ้ามีวาสนาสูงนัก ตอนนี้อายุไม่ถึง 14 ก็กระโดดข้ามประตูมังกรมาได้แล้ว วันหน้าก็คงบินทะยานอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่ามีคนอิจฉามากมายเท่าไร”
คำถามนี้ หวังทงก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่ก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม ถานกวนยิ้มอ่อนแรง ค่อยๆ กล่าวว่า
“ข้าเรียกเจ้ามา ไม่ใช่มาพูดเรื่องนี้ มีคำพูดบางอย่างอยากถามเจ้า หวังทง เจ้าเคยอ่านตำราพิชัยสงครามหรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่เคยอ่านขอรับ”
“วันนั้นได้เห็นวิธีการฝึกซ้อมที่ลานฝึก คล้ายกับวิธีการฝึกทหารของกองทัพแม่ทัพชี เจ้าปีนี้ยังไม่ถึง 14 บิดาเจ้าก็ทำงานทุกวัน ไม่เคยพบเจอสิ่งเหล่านี้ เจ้าคิดออกมาได้อย่างไร?”
หวังทงก้มหน้าต่ำมาก แต่เหงื่อเริ่มหลั่งออกมาโซมกาย ไม่อาจบอกไปว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ได้เห็นได้ฟังมาจากชาติก่อน จึงได้แต่ระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านตอบไปว่า
“ข้าน้อยเห็นมดใต้ต้นไม้ ตัวเล็กๆ แต่กลับสามารถแบกของที่หนักกว่าร้อยเท่าพันเท่ากว่าพวกมันได้ ก็อาศัยเพียงการร่วมแรงร่วมใจกันเท่านั้น จึงคิดโยงกับการรบ คนเป็นพันเป็นหมื่นรบกัน หากกำลังใช้ไปทางใดทางหนึ่งร่วมกัน บางทีก็อาจจะใช้กำลังน้อยชนะกำลังมากได้ รบแล้วก็จะชนะ…”
“…มดใต้ต้นไม้…ถานเจียง ตอนมามีใครพูดอะไรกับหวังทงหรือไม่?”
“เรียนนายท่าน คนในจวนเราไม่มีใครพูดมากขอรับ”
“เหอๆ หวังทงอายุเจ้าเท่านี้และชาติกำเนิดของเจ้า ก็ถือว่าข้าคิดมากไป เจ้าเล่าต่อไป”
หรือว่ามดใต้ต้นไม้มีอะไร หวังทงรู้สึกสับสนไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพูดต่อไปว่า
“การเข้าแถวเรียงแถว เดินแถวพร้อมกัน ก็เพื่อให้คุ้นเคยกับความพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ รู้จักรุกถอยพร้อมกับสหายข้างกาย พออยู่บนสนามรบ คนนับพันนับหมื่นก็จะเหมือนคนๆ เดียว ปกติฟังคำสั่งครูฝึก บนสนามรบฟังคำสั่งแม่ทัพ เป็นปฏิกิริยาที่ตอบรับฉับไวที่สุด”
พอพูดถึงตรงนี้ ถานกวนก็ไอรุนแรงขึ้น ถานปิงที่คุกเข่าจดบันทึกอยู่ก็รีบลุกขึ้นมา ยกชามยาที่อยู่ด้านข้างเข้ามาอย่างคุ้นเคย ประคองแผ่นหลังถานกวน หยิบช้อนตักป้อนใส่ปาก ถานกวนหยุดไอ แต่กลับขมจนเบ้ปาก พอผลักออกยิ้มกล่าวว่า
“ยังดีที่วันหน้าไม่ต้องดื่มยาขมพวกนี้อีกแล้ว ถานปิงเจ้าไปจดเถอะ!”
ถานปิงรับคำอย่างนอบน้อม ตอนหันกลับน้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไหลก็ไหลออกมาอีกอย่างไม่อาจกลั้น ถานเจียงที่คุกเข่าอยู่นั้นก็เศร้าโศกเช่นกัน หวังทงเงยหน้ามองไป พบว่าสีหน้าถานกวนดีกว่าเมื่อตะกี้ไม่น้อย สีหน้ามีสีเลือดขึ้นเหมือนว่าแข็งแรงขึ้น สภาพการณ์เช่นนี้ทำเอาใจหวังทงกระตุกขึ้น ลักษณะนี้เขาชั่งคุ้นเคย
“ชะตาฟ้าจบแล้ว ข้าก็ควรจะอับแสงแล้วกระมัง! ร้องไห้ทำไม หลายสิบปีสู้รบกันมา เห็นความตายการบาดเจ็บมาก็ไม่น้อย ข้าจากไปบนเตียง นับว่าวาสนาสูงส่งแล้ว ข้ายังไม่ร้องไห้ พวกเจ้าร้องไห้กันทำไม!!”
ตำหนิไปสองสามประโยค ก็ถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า
“เช่นนั้นการเดินการวิ่งนั้นเพื่ออะไรกัน?”
“เรียนใต้เท้าถาน การเดินการวิ่งก็เพื่อทำให้ร่างกายร้อน สลับหมุนเวียนไป จากนั้นก็ยังมีท่าทางต่างๆ ค่อยๆ หนักขึ้น สุดท้ายถึงจะเป็นวิธีการจู่โจม ฝึกเช่นนี้ ก็เพื่อฝึกให้นักเรียนฟังคำสั่งครูฝึก ถึงตอนสุดท้ายพอออกคำสั่งก็จะปฏิบัติอย่างไม่ลังเล”
“อ่านพบในหนังสือว่าเป็นปัญญาติดตัวมาแต่กำเนิด ยังคิดว่าเป็นคำโกหก วันนี้ได้พบเจ้า กลับไม่อาจไม่เชื่อแล้ว”
ได้ยินคำวิจารณ์อ่อนแรงของถานกวน หวังทงก็เหงื่อแตกพลั่กอีก นี่ไม่ใช่เหงื่อจากความกลัว แต่มาจากความละอายใจ วาจาข้างต้นตรงกับวิธีการทหารพอดี แต่สิ่งที่หวังทงรู้นั้นกลับเป็นการฝึกทหารใหม่ในชาติก่อนและขยายความการฝึกซ้อม ตอนนั้นทำอะไรก็ต้องหาความหมาย วิเคราะห์เหตุผล ไม่ว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลไม่ว่ากัน แต่ต้องพูดให้มีหลักการเข้าไว้ถึงจะได้เงิน
คิดไม่ถึงว่าความรู้ตื้นๆ และพบเห็นปกตินั้นกลับได้รับคำชมเชยจากเสนาบดีถานกวนเช่นนี้ หวังทงอดละอายใจไม่ได้จริงๆ ถานกวนกลับเปลี่ยนเรื่องว่า
“หลี่เฉิงเหลียง ชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว ล้วนเป็นแม่ทัพมีชื่อในยุคนี้ สองคนอยู่ตอนเหนือ คนหนึ่งอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ พวกเผ่ามองโกลอ่อนกำลังลงแล้ว พวกโจรสลัดไม่มีภัยแล้ว แผ่นดินจะสงบลงอีก…แต่ไม่อาจมองเพียงแค่ความสงบในตอนนี้ ผู้กครองควรคิดถึงภัยในยามบ้านเมืองสงบ นอกด่านยังมีเสือสิงห์ ทะเลตะวันออกภัยจากโจรสลัดก็ยังคงมีอยู่…หลี่เฉิงเหลียงเอาแต่เสพสุข ชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยวสองคนก็ติดอยู่กับวงการเมือง ทุกคนก็ทำได้แค่…”
ถานกวนยิ่งพูดก็ยิ่งอ่อนแรงลง ถานเจียงที่อยู่ด้านนอกเข้ามากำลังจะพูดอะไรก็ถูกเขาโบกมือให้หยุด ฝืนพูดต่อว่า
“ไม่พูดถึงตอนนี้ ราชวงศ์หมิงอีก 20 ปี ยังจะมีผู้ใด ชีจี้กวงและอวี๋ต้าโหยวก็ไม่มีทายาท บรรดาบุตรชายหลี่เฉิงเหลียงก็เห็นว่าก็แค่พวกไร้ฝีมือ ที่เมืองมาเก๊านั้นก็เป็นแค่ทัพทะเล…หวังทง เจ้าเป็นขุนพลรุ่นใหม่ราชวงศ์หมิงเรา ลานฝึกเจ้านั้น ก็คือลานฝึกกองกำลังราชวงศ์หมิง เป็นความรุ่งเรืองของกองกำลังราชวงศ์หมิงเรา!!”
หวังทงไม่ก้มหน้าอีกแล้ว เขามองไปยังเสนาบดีถานกวนที่นอนป่วยอยู่ หวังทงบังคับร่างกายไม่ให้สั่นไม่ได้อีกต่อไป
ถานปิงและถานเจี้ยนสองคนที่จดอยู่นั้นก็หยุดจด อ้าปากค้างมองมาทางหวังทง เด็กน้อยท่าทางแข็งแรงผู้นี้ รับภาระนี้ไหวหรือ?