ตอนที่ 99 ไม่อาจหันหลังกลับ
ลี่เทาเป็นเด็กฉลาด รู้ว่าสถานการณ์เบื้องหน้ากับเมื่อก่อนนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าอ้วนที่ชื่อหวงอี้จวินยังเอาขนมมาให้ด้วยตนเองอีกด้วย
ความสนุกสนานทางนั้นก็น่าสนใจ ขนมก็อร่อยมากจริง ลี่เทาจึงทำตัวตามน้ำยื่นมือรับขนมมา พรรคพวกเขาก็กินกันด้วยรอยยิ้มดีใจ
บรรดาเด็กที่มาจากเมืองเซวียนฝู่มีราว 40 คน บรรดาคนที่ไปสนิทกับฮ่องเต้ว่านลี่ก็หวังให้พวกลี่เทามารวมอยู่ด้วยกัน พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้สึกดีใจมาก
สนามฝึกวันนี้ทั้งวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา หวังทงและหลี่หู่โถวกลับรู้สึกต่างจากทุกคน เขาสองคนเดิมใกล้ชิดกับฮ่องเต้ว่านลี่ ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ใกล้ชิดกับบรรดาเด็กอื่นๆ จึงละเลยพวกเขาสองคนอยู่บ้าง
“ฮ่องเต้อย่างไรก็คือฮ่องเต้!”
หวังทงถอนหายใจ หลี่หู่โถวกำลังรับมือกับขนมเปี๊ยะอบงาดำชิ้นหนึ่งอยู่ จึงได้ยินไม่ชัด หันมาถามว่า
“พี่หวัง เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ?”
หวังทงโบกมือ ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
****
จางซื่อเหวยมารับตำแหน่งเสนาบดีกรมทหารไม่กระทบอะไรกับหวังทงแม้แต่น้อย ตั้งแต่จางซื่อเหวยได้มาเป็นหนึ่งในคณะเสนาบดีใหญ่ก็ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นขุนนางใหญ่โตอะไร แต่ไรมาก็ฟังแต่คำสั่งจางจวีเจิ้ง ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีแย้งสักคำ ผู้คนให้ฉายาว่า ‘ที่ปรึกษาคณะเสนาบดีใหญ่’
หลังจากรับตำแหน่งเสนาบดีกรมทหารไป ก็หมายความว่าอำนาจของจางจวีเจิ้งที่ล้นฟ้าอยู่แล้วก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก สามารถควบคุมราชสำนักได้มากยิ่งขึ้น แต่ทุกคนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ชินชาเสียแล้ว
ป้ายสงบสุขทำให้หวังทงได้เงินมาเกือบห้าพันตำลึงในเวลาอันรวดเร็ว เงินผ่านมือมากมายมหาศาลขึ้นทันทีทันใด บ้านที่เขาอยู่ที่อยู่ด้านหลังหอเลิศรส บ้านที่ค่อนข้างกว้างขวางสองหลังนี้ไม่พอแล้ว เท่ากับว่าที่ทำงาน คลังเก็บของ หรือกิจของลานฝึกก็รวมกันอยู่ที่นี่
คิดถึงว่าอีกไม่นานยังจะมีพวกถานเจียงอีกสิบกว่าคนมาอยู่ด้วย หวังทงก็หยิบเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาให้จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่ไปซื้อบ้าน
เขตทักษิณไม่เหมือนกับเขตอื่นที่อยู่สามทิศที่จะเต็มไปด้วยบรรดาคฤหาสน์ใหญ่โตกว้างขวางพวกนั้น หวังทงไม่อยากให้เอิกเกริก จึงให้พวกเขาไปซื้อหาเอาแถวๆ บ้านหลังใหญ่ที่เลี้ยงดูผู้ช่วยงานเอาไว้ ใกล้กันหมดก็จะสะดวกดี
วันที่ 2 เดือนสี่ ก็ซื้อบ้านได้แล้ว แต่เสนาบดีถานกวนเป็นขุนนางคนสำคัญของแผ่นดิน งานศพก็ย่อมไม่อาจจัดลวกๆ พวกถานเจียงจึงยุ่งวุ่นวายกันมาก คงไม่อาจจะมากันได้เร็วนัก
ตอนนี้ในลานฝึก ฮ่องเต้ว่านลี่ทุกวันก็จะรวมตัวกับบรรดาเด็กๆ ความสัมพันธ์ดีมาก ทำให้หวังทงคลายกังวลลงบ้าง จึงได้หันไปสนใจกับเรื่องการค้าเป็นหลัก
ป้ายสงบสุขที่ว่าเป็นการรับประกันความสงบสุขให้กับสถานที่ที่ไม่นับว่าทำการค้าที่มีศีลธรรมนัก หวังทงมีความสามารถคุ้มครองเช่นนี้จริงๆ หากแต่ตอนไม่มีป้าย การค้าของบ่อนและหอคณิกาก็ดีอยู่แล้ว และก็ไม่มีผู้ใดไร้ลูกกะตามาหาเรื่องด้วย
พอมีป้ายนี้มา ประเด็นหลักก็คือเก็บเงินและการเข้าไปข้องเกี่ยวกับสถานที่ชุมนุมของผู้คนหลากหลายทุกระดับชั้นตั้งแต่บนลงล่าง จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดก็คือให้พวกเขาคอยเป็นหูเป็นตา จุดมุ่งหมายที่เลวร้ายที่สุดก็คือรีดเงินทองและข่าวจากทุกคน มีการบริการจัดการที่เป็นระบบเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ขอแบ่งเงินไร้ศีลธรรมนี้สักส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่พอกระทำได้
พอรับป้ายสงบสุขไปแล้ว หวังทงใช่ว่าจะไม่ทำอะไรให้ ในแผนการณ์ของเขา ภายใต้การกำกับของนายกองร้อยเถียน พร้อมกับมือปราบศาลซุ่นเทียนและบรรดาพวกเจ้าถิ่นในพื้นที่สามฝ่ายร่วมกัน เขตรับผิดชอบขององครักษ์เสื้อแพรกองร้อยที่ 7 กองพันที่ 6 ก็เก็บกวาดเรียบร้อยหมดจด สามารถจัดระเบียบรักษาความสงบเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
สำหรับองครักษ์เสื้อแพร ประชาชนแต่ไรมาก็จะเป็นแบบกล้ามีน้ำโหแต่ไม่กล้าด่าทอ ตอนนี้หันมาทำเรื่องดีๆ ประชาชนสามัญที่อาศัยในเขตพื้นที่รับผิดชอบก็แทบไม่อยากเชื่อ ยังคิดว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ถึงกับมีชาวบ้านที่ร่ำรวยรวบรวมเงินทำป้ายประกาศเกียรติคุณมอบให้นายกองร้อยเถียน
ตอนป้ายประกาศส่งไปถึงจวน นายกองร้อยเถียนหรงหาวตกใจมาก อย่างไรก็ไม่ยอมรับป้ายไว้ เป็นเรื่องเล่าขำขันกันในหมู่องครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงระยะหนึ่ง
แต่หลังจากการเก็บกวาดครั้งนี้ผ่านไป การค้าของบ่อนพนันและหอคณิกาก็ดีกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย เหตุผลก็ง่ายมาก องครักษ์เสื้อแพรไล่กวาดล้างบรรดาบ่อนเล็กและซ่องเล็กๆ ที่ไม่ได้มาขอรับป้ายไปจนเกลี้ยง กำจัดคู่แข่งทางการค้าของบ่อนพนันและหอคณิกาให้ลดลงไปไม่น้อย
และซุนต้าไห่ก็กล้าลงมือ แกล้งไม่รู้ไม่ชี้นำพาลูกน้องไปกวาดล้างนอกเขตรับผิดชอบด้วย ในกององครักษ์เสื้อแพรตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าอย่าได้หาเรื่องกับหวังทง จึงได้แต่แกล้งไม่รู้ไม่เห็น ยอมๆ กันไป
ผลก็คือต้นเดือนสี่ บ่อนพนันและหอคณิกานอกเขตรับผิดชอบของหวังทงก็มีธรรมเนียมประหลาดเกิดขึ้น จะถามแขกก่อนว่ามาจากเขตทักษิณหรือไม่ หากว่าใช่ก็จะขออภัยที่จะไม่ต้อนรับ เพื่อป้องกันภัยมาถึงตัว
*****
ตั้งแต่แม่นางเซี่ยจากหอรับวสันต์มาเยือน ทุกสองสามคืนหวังทงก็จะนัดพบกับคนที่มารับป้ายสอบถามเรื่องลัทธิไตรสุริยันและสำนักไตรสุริยันฟ้าดิน
หวังทงไม่เข้าใจเรื่องการสืบข่าวลับแม้แต่น้อย แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจใช้องครักษ์เสื้อแพรและพวกสำนักบูรพาข้างกายได้ ได้แต่เอ่ยปากสอบถามเอง
แต่ทุกครั้งตอนสอบถาม ก็จะลากผู้ช่วยมาด้วย เช่นเจ้าหน้าที่สืบคดีหลี่ว์วั่นไฉและหัวหน้ามือปราบอย่างหวังซื่อและ หลี่กุ้ย
หนึ่งนั้นเป็นผู้ชำนาญงานอาชญากรรมที่สืบคดีมานานหลายปี อีกสองนั้นก็เป็นเจ้าถิ่นในศาลซุ่นเทียน วาจาของเถ้าแก่บ่อนและหอคณิกาที่กล่าวออกมา บางเรื่องพวกเขาเองก็ไม่รู้ แต่หลี่ว์วั่นไฉกลับประติดประต่อกันได้มากมาย
คนทำการค้าไร้ศีลธรรมอยู่ต่อหน้าหวังทงก็ไม่ได้ปิดๆ บังๆ อย่างที่หวังทงกังวล แต่กลับรู้อะไรก็พูดออกมาหมด
หวังทงยังแอบกังวลว่าตนเองจะทำได้ไม่ดีพอ เรื่องที่เขาทำนั้นเพียงพอที่จะทำให้คนในยุทธภพขวัญหนีดีฝ่อ อย่างคนที่มาในคืนวันนี้
คนผู้นี้นับได้ว่าเป็นชายฉกรรจ์ท่าทางเอาเรื่อง สองข้างแก้มรุงรังไปด้วยหนวดเครา ได้ยินซุนต้าไห่บอกว่า คนผู้นี้มีฉายาว่า ‘เสือซ่อนเล็บ’ เลี้ยงลูกน้องที่มีฝีมือกล้าลงมือก่อเรื่องวิวาทอยู่ถึงสิบกว่าคน เปิดร้านขายเนื้อและบ่อนการพนัน เป็นบุคคลมีหน้ามีตาบนท้องถนน
แต่พอนำคนผู้นี้เข้ามาในห้อง เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที ท่าทางนอบน้อมระแวดระวังอย่างยิ่ง ทำให้หวังทงรู้สึกอึดอัดมาก แต่พอมองไปยังบรรดาคนที่ยืนข้างๆ ไม่ว่าจางซื่อเฉียงที่กำลังจัดการบัญชีและป้ายอยู่ หลี่ว์วั่นไฉที่สวมชุดขุนนางนอกราชการสีหน้าสงบนิ่ง จึงไม่ได้เรียกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมายืนพูด
สำหรับพวกนักเลงที่หากินบนถนนพวกนี้แล้ว ไม่ว่าจะหากินกันมีหน้ามีตาเพียงใด ต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพรและศาลซุ่นเทียนก็เป็นเพียงหมูหมากาไก่ แม้แต่จะเป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ๆ ก็ยังเป็นไม่ได้ พวกเขาเป็นได้แค่มดปลวก หวังทง กล่าวเพียงคำเดียว ก็จะทำให้พวกเขาต้องดับดิ้นกันเลยทีเดียว
“เรียนใต้เท้าทุกท่าน บ้านข้าน้อยยังบูชาพุทธไตรสุริยันขอรับ เป็นสาวกด้วยขอรับ”
เสือซ่อนเล็บตอบอย่างเคารพนบนอบ แต่เนื้อหาในวาจาทำให้หวังทงสนใจมาก นอกจากแม่นางเซี่ยแล้ว หวังทงถามมาสี่คนแล้ว ทุกคนล้วนรู้จักลัทธิไตรสุริยัน แต่ไม่มีใครคบหากับสมาคมลึกซึ้ง
เช่นพวกเปิดหอคณิการู้ว่าลัทธิไตรสุริยันทำการค้ามนุษย์ พวกเปิดบ่อนก็รู้ว่าลัทธิไตรสุริยันนั้นมีการสร้างเรื่องหลอกเอาเงิน แต่ตนเองได้กินข้าวแล้วก็แบ่งข้าวให้คนอื่นได้กินด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นในสายอาชีพเดียวกันพวกนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ทุกคนรู้ส่วนรู้ แต่ไม่สนใจ เมื่อหวังทงถามถึงได้พูดออกมา
นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของหวังทง เดิมคิดว่าลัทธิไตรสุริยันกับสำนักไตรสุริยันฟ้าดินจะเป็นองค์กรลับ เหมือนกับที่แสดงในละครกันอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าพอได้สัมผัสเข้าก็รู้ว่าคนที่รู้เรื่องนั้นมีไม่น้อย ราวกับเป็นเรื่องปกติทั่วไป
แต่เมื่อได้พบสาวกลัทธินี้ อาจจะรู้เรื่องอะไรมากกว่า หวังทงตั้งอกตั้งใจสอบถามต่อว่า
“ในเมื่อเป็นสาวก เช่นนี้ปกติท่านปฏิบัติอะไรตามลัทธิไตรสุริยันบ้าง เล่ามาให้ละเอียด!”
เสือซ่อนเล็บผู้นั้นได้ยินน้ำเสียงคำถามของหวังทงก็รีบโขกศีรษะหลายทีก่อนจะตอบว่า
“ข้าน้อยเป็นพวกระดับปลายแถว แต่เล็กแม่ข้าก็บอกว่าพบเทพเจ้าก็ให้ไหว้ ย่อมไม่ผิดเป็นแน่ สามปีก่อนข้าน้อยกับพี่น้องร่วมสาบานเปิดบ่อนพนัน มีคนจากลัทธิไตรสุริยันมาพาพวกเรา บอกว่าหากเข้าร่วมลัทธิและฟังคำสั่งพวกเขา นอกจากเปิดบ่อนได้อย่างมั่นคงแล้ว ยังจะได้ประโยชน์อื่นด้วย”
หวังทงพยักหน้า เอ่ยต่อว่า
“ลุกขึ้น นั่งพูด!”
คนผู้นี้ได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้ก็หดตัวลีบลง ปฏิเสธอยู่หลายครา กว่าจะนั่งลงบนเก้าอี้ยาวอย่างระแวดระวังได้ก็หย่อนลงไปแค่ครึ่งก้นเท่านั้น จึงได้เล่าต่อด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมว่า
“พวกเรากราบไหว้พุทธไตรสุริยัน อัญเชิญองค์พุทธรูปกลับไป ว่าไปก็จริงนะ นายกองธงใหญ่หลิวซินหย่งก็มาดูแลด้วยตัวเอง ไม่เคยมีใครมาหาเรื่องที่บ่อนเลย ไม่เพียงเท่านี้ ทำตามคำสั่งก็ยังมีเงินตกถึงมือง่ายๆ อีก ปีหนึ่งๆ ก็มีอยู่หลายครั้งที่คนลัทธิไตรสุริยันจะนำเงินมา เปลี่ยนตัวพนักงานประจำโต๊ะพนันเป็นคนที่เราไม่รู้จัก รอเมื่อมีคนเล่น ก็จะทำเป็นเล่นแพ้เสียเงินให้คนพวกนี้ไป”
พอได้ยินถึงตรงนี้ หวังทงกับหลี่ว์วั่นไฉก็สบตากัน หวังทงกำลังจะถาม หลี่ว์วั่นไฉกลับชิงถามขึ้นก่อนว่า
“ตกถึงมือเจ้าครั้งละเท่าไร?”
พูดถึงตรงนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรถามคำถามนี้ หวังทงมองหลี่ว์วั่นไฉอย่างแปลกใจ หลี่ว์วั่นไฉกลับยังไม่รู้ตัว เอาแต่สะบัดโบกพัดจีบในมือไปมาทำท่าทางเป็นพวกชนชั้นสูง
“หนึ่งร้อยตำลึงอย่างน้อยก็ต้องทิ้งไว้ให้ห้าตำลึง มากกว่าที่คาดไว้มาก”
“ดีมาก เรื่องที่ถามคืนนี้อย่าได้เล่าให้ใครฟัง บอกไปแค่ว่าใต้เท้าหวังต้องการเงินรับป้ายมากขึ้น เจ้าโขกศีรษะขอร้องจึงได้ลดลงหน่อย รู้ไหม?”
เสือซ่อนเล็บระวังตัวส่วนระวังตัว แต่ก็ไม่โง่ พอได้ยินก็เบิกตากว้างเงยหน้ามอง หลี่ว์วั่นไฉก็หุบพัดในมือระบายยิ้มกล่าวว่า
“หากคนอื่นรู้เรื่องในคืนนี้ ไม่เพียงแต่เจ้า พ่อแม่ภรรยาและลูกเจ้ายังมีพวกนางเล็กๆ ของเจ้าอีก ทุกคนย่อมไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้ เจ้ารู้ใช่ไหม?”
พูดด้วยท่าทางสบายๆ แต่ทำให้เสือซ่อนเล็บตัวสั่นเทาไม่หยุด โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง แทบจะคลานออกจากห้องไป พัดในมือหลี่ว์วั่นไฉคลี่ออกอีกครั้ง พอได้ยินเสียงประตูปิดลง ก็หันหน้ามากล่าวกับหวังทงด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ใต้เท้าหวัง ข้าถามท่านจริงๆ ว่า เรื่องนี้จะสืบต่อหรือ?”
แม้ว่าจะมีแค่ตนผู้เดียว หวังทงก็จะสืบต่อไป พยักหน้ารับ หลี่ว์วั่นไฉถอนหายใจกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เรื่องนี้ข้าและท่านไม่อาจออกหน้าได้ ให้คนที่พวกต้าไห่ดูแลแอบแนะนำคนที่พอใช้งานได้เข้าไปจับตาเสือซ่อนเล็บผู้นั้นไว้”
หวังทงเข้าใจความคิดเขา แต่กลับเปลี่ยนเรื่องแทนว่า
“…ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะหันกลับอีกแล้ว…”