Skip to content

เจ้าของร้านพิศวง 285

285 : ศาสตราจารย์หลิน

หลินเจี๋ยไล้มือสัมผัสปกสมุดบันทึกอย่างแผ่วเบา และความรู้สึกคุ้นเคยในใจก็ทวีคูณขึ้นทุกที

เขาแอบเคลือบแคลงอยู่ในใจ เราเคยเจอสมุดบันทึกแบบนี้ที่ไหนนะ?

แต่นี่เป็นไปไม่ได้เลย…จากที่ธีโอดอร์อธิบายมา นี่คือหนังสือเก่าที่มาจากเมืองเขตล่าง ประวัติของมันอย่างน้อยๆ ก็คงสองสามร้อยปี แต่เราเพิ่งย้ายโลกมาที่นี่แค่สามปีเอง เราจะเคยเห็นสมุดโน้ตเล่มนี้ได้อย่างไรกัน?

ลองก้าวถอยมาสักหมื่นก้าว ต่อให้เราเคยเห็นสมุดบันทึกลักษณะนี้มาในช่วงสามปีก่อนโดยบังเอิญก็เถอะ แต่จากความทรงจำของเราแล้ว มันคงคลุมเครือและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้สึกอย่างเด่นชัดได้ขนาดนี้

ที่จริงแล้ว…หลินเจี๋ยไม่ได้ถือตัว เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สามารถตีพิมพ์หนังสือได้ตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ดปี และนับได้ว่าเป็นนักศึกษาสายศิลปศาสตร์ที่ก้าวถึงจุดสูงสุดในช่วงวัยของเขาแล้ว ทว่าสิ่งที่เขาถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดกลับเป็นความจำของเขา

ถ้ายังปฏิเสธจุดแข็งข้อนี้ล่ะก็ ตัวชายหนุ่มเองก็จะไม่มีจุดแข็งข้ออื่นแล้ว

เขาไม่ได้ความจำดีถึงขั้นจำอะไรต่ออะไรจากภาพถ่ายได้

แต่อย่างน้อย หลินเจี๋ยก็จำสิ่งที่เขาทำและเรื่องที่ประสบมาในช่วงสามปีนี้ได้อย่างชัดเจน

ในระหว่างนั้น หลินเจี๋ยก็เชื่อในลางสังหรณ์ของเขามาก

เมื่อเขาเห็นหนังสือเล่มนี้ ชายหนุ่มก็คิดว่าตัวเองต้องเคยเห็นมันมาก่อนอย่างแน่นอน

ดังนั้น…จึงมีคำตอบแค่หนึ่งเดียว

หลินเจี๋ยใช้นิ้วกระเทาะคราบบนปกหนังสือออก คราบโคลนปนเลือดนี้เกือบจะจับตัวเป็นชั้นบางๆ บนปกได้แล้ว และเพราะเปลือกแข็งๆ ที่ผสานรวมไปกับหน้าปกแข็งดั้งเดิม ร่องรอยของหน้าปกเดิมจึงถูกกลบไปเสียหมด

ก่อนที่เราจะย้ายโลก…ก่อนมาถึงนอร์ซิน สมัยที่เราอยู่ที่โลก…

เราเคยเห็นสมุดโน้ตแบบนี้ที่นั่น!

สีหน้าของหลินเจี๋ยจริงจังยิ่งกว่าครั้งใด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว!

เราเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนจะย้ายโลก แต่ทำไมมันถึงมาโผล่ที่นี่ได้? ยิ่งกว่านั้น มันยังมาในรูปแบบของวัตถุโบราณอายุราวๆ สองสามร้อยปีจากเขตล่างอีก?

สมุดบันทึกเล่มนี้เกี่ยวกับอะไรกัน?

สายตาของหลินเจี๋ยที่มองสมุดบันทึกเปลี่ยนไป ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะศึกษาหนังสือเล่มนี้เพื่อแค่แก้ปัญหาให้ธีโอดอร์เพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ยังทำเพื่อแก้ปริศนาในใจของเขาเองด้วย

หลินเจี๋ยเปิดสมุดบันทึกออกและเห็นข้อความสองสามคำที่เขียนบนนั้นเป็นสิ่งแรก… ทว่าข้อความแรกสองสามคำนั้นถูกปกคลุมด้วยสิ่งที่คงเป็นคราบบางอย่างจนอ่านไม่ได้แล้ว

แต่เมื่อพลิกไปหน้าหลังๆ เขาก็สามารถตัดสินได้ว่า ที่จริงแล้วมันก็คือคราบเลือดแห้ง และบนหน้ากระดาษก็ยังมีแม้กระทั่งเศษเนื้อเยื่อติดอยู่ด้วย

เจ้าของหนังสือเล่มนี้ไปเจอเหตุการณ์น่ากลัวอะไรมาเนี่ย? น่ากลัวเป็นบ้า

หลินเจี๋ยคิดพลางทอดสายตามองลงไป

นับแต่บรรทัดที่สองลงมา ประโยคที่เขียนไว้ก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความหมายที่มันสื่อก็ยังกระจ่างมาก และไม่มีสิ่งกีดขวางการอ่านใดๆ

ธีโอดอร์มองเจ้าของร้านหนังสือหนุ่มพลิกหน้าหนังสือ แล้วเขาก็กลั้นใจรอถามเขาเกี่ยวกับเนื้อหาของมัน

ในตอนที่เขาเพิ่งซื้อหนังสือเล่มนี้จากคนลักลอบขนสินค้า เขาก็พบว่าเขางุนงงแล้วไม่เข้าใจสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นเลย

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถามความหมายจากอีกฝ่าย แต่ก็น่าเสียดายมากที่คำตอบจากคนลักลอบขนสินค้าก็คือ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน…

ก่อนที่จะขายหนังสือเล่มนี้ให้กับธีโอดอร์ ทีมงานของคนลักลอบขนสินค้าก็เคยศึกษาเกี่ยวกับมันมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ผลใดๆ เลย

แต่ถึงกระนั้น การไม่มีข้อมูลก็คือข้อมูลอย่างหนึ่งในตัวมันเอง

มันชี้ให้เห็นว่าข้อความในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ในระบบภาษาของนอร์ซิน และกระทั่งตามคำกล่าวเว่อร์วังของผู้เชี่ยวชาญในทีม — ข้อความนี้ไม่ได้เป็นของอาซีร์ด้วยซ้ำ

หรือก็คือ หากไม่ใช่ว่าเจ้าของภาษามาเอง ก็จะไม่มีใครเข้าใจมันเลย!

แต่เรื่องต่างๆ กลับเกินความคาดหมายของธีโอดอร์ไปมาก

เขาเห็นว่าเจ้าของร้านหนังสือหนุ่มเปิดสมุดบันทึกออกเพื่ออ่าน แล้วจากนั้นก็พลิกอ่านทีละหน้าแบบไม่หยุดพัก…ไม่ใช่แค่ไม่หยุด เขากระทั่งมีสีหน้าครุ่นคิดในบางครั้งด้วย

จะเป็นไปได้ไหม ว่าเขาจะเข้าใจภาษานี้จริงๆ?

ความคิดที่น่ากลัวนี้ปรากฏขึ้นในใจของธีโอดอร์

การสำรวจรอบที่สองกำลังจะเริ่มต้น และการสำรวจรอบแรกกำลังจะสิ้นสุดลง บันทึกการวิจัยทั้งหมดที่ฉันได้ทำเกี่ยวกับรอยจารึกในซากปรักหักพังได้รับการเรียบเรียงและส่งมอบแล้ว ฉันหวังว่าสถาบันจะสามารถสรุปข้อสันนิษฐาของเราได้โดยเร็วที่สุด พูดตามตรง ฉันรู้สึกใจร้อนและตื่นเต้นเล็กน้อย… นี่จะเป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างยิ่ง!

แต่ทุกอย่างก็ต้องรอ เราจะรีบร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้ เราต้องรออย่างอดทน

แล้วฉันก็จะบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่เห็นด้วยสมุดบันทึกเล่มนี้ รวมไปถึงแนวคิด อารมณ์ และมุมมองจากความรู้สึกด้วย

แต่ที่จริงแล้ว นี่ถือได้ว่าสมุดโน้ตเล่มนี้เหมือนเป็นบันทึกประจำวัน และดูไม่เหมือนกำลังทำวิจัยอยู่เลย

นับแต่เจ้าหวังในทีมเราเริ่มสติแตกเนื่องจากความกดดันที่มากเกินไป จากนั้นก็ลืมสิ่งที่ตนเองประสบหลังจากลงมาได้ไม่นาน ศาสตราจารย์หลินเลยขอให้เราทำแบบนี้ โดยบอกว่ามันสามารถระบายความกดดันทางจิตใจและป้องกันการสูญเสียเนื้อหาการวิจัยที่สำคัญได้ด้วย

ศาสตราจารย์หลินคือผู้เชี่ยวชาญของทีมเรา ถึงเขาจะอายุแค่สามสิบเศษๆ แต่ประสบการณ์การทำงานด้านโบราณคดีของเขายาวนานมา เจ็ดถึงแปดปีแล้ว และสามารถเชื่อถือได้

20 มีนาคม ท้องฟ้าแจ่มใส

อุปกรณ์ต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ทุกคนทำตามหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และการสำรวจรอบสองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

ก่อนหน้านี้เราเคยลงไปได้หนึ่งร้อยยี่สิบเมตร และได้ขยายถ้ำพร้อมกับเคลียร์พื้นที่มาแล้วสองครั้ง ความเป็นไปได้ที่จะเกิดดินถล่มจึงมีน้อยมาก ทุกคนรู้สึกโล่งใจ แล้วสีหน้าของทุกคนก็ผ่อนคลายกันมาก

เป็นไปตามที่ศาสตราจารย์หลินคาดไว้จริงๆ!

หลังจากเดินลงไปแค่สามเมตร ทางเดินทั้งหมดก็กลายเป็นแนวดิ่ง แล้วมันก็กลายเป็นถนนคู่ขนานปกติ สิ่งที่เราเคยเดินมาก่อนไม่ใช่ ‘ถนน’ แต่เป็น ‘กำแพง’

อาคารนี้ถล่มลงก่อน จากนั้นกาลเวลาก็ฝังมันลงไป

ข้อความที่ฉันขูดออกมาได้ยังไม่สมบูรณ์ และฉันยังต้องการตัวอย่างอีกมากเพื่อตรวจสอบ

ทำงานต่อไป

ข้อความต่อไปกลายเป็นหน้ากระดาษที่ขาดหายไปจำนวนมาก

27 มีนาคม ท้องฟ้าแจ่มใส

เราพบปัญหานิดหน่อย ทีมวิศวกรบอกข่าวร้ายเรื่องหนึ่งกับเรา ธรณีวิทยาที่นี่ไม่เหมาะสำหรับการขุดต่อและมีแนวโน้มว่าจะถล่ม ทีมงานจึงต้องถอนตัวชั่วคราวและรอความคืบหน้าจากทีมวิศวกร

28 มีนาคม ท้องฟ้าแจ่มใส

ทีมวิศวกรขุดพบ ‘ประตู’ บานหนึ่ง

เนื้อหาทั้งหมดที่เหลือถูกรอยเลือดกลบไปจนหมด และมีหน้าขาดหายไปบางหน้า

31 มีนาคม ฝนตก

ยืนยันได้แล้วว่าที่นี่คือสถาปัตยกรรมปราสาทขนาดยักษ์ที่กลับหัวอยู่ ฐานกลางเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้ไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อนเลย…

ฝนที่ตกหนักทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างยากลำบากมาก น้ำฝนชะเอาโคลนจากด้านบนลงมาไม่หยุดหย่อน และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศอุ่นลงหรือเปล่า ฉันถึงรู้สึกอุ่นๆ ที่คอชอบกล

เราไม่พบเสารับน้ำหนัก…หรือแม้แต่เสาใดๆ เลย ซึ่งนั่นทำให้เฒ่าอู๋ ตาแก่ที่เรียกตัวเองว่าผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมคนนั้นโกรธจัด แล้วมาบอกว่าเราไม่จริงจังกับงาน

ตาแก่บ้านี่ นอกจากจะพูดแดกดันหยาบคายใส่กันแล้ว ยังไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

อยากจะดึงลิ้นเขาออกมาจริงๆ

1 เมษายน ฝนตก

เราเปิดสถานที่นั้นออกมาได้โดยสมบูรณ์แล้ว ตรงกลางจัตุรัสมีทางเดินลึกลงไปอีก ศาสตราจารย์หลินและศาสตราจารย์จางตัดสินใจว่าเราจะลงไปให้ไกลกว่านี้

ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาสองคนแต่งงานกันมาสองปีแล้ว และความรักของทั้งสองก็ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!