Skip to content

เจ้าของร้านพิศวง 412

412 : ไวลด์ตายแล้ว?

หลังจากหมอกสีขาวหนาเตอะจางหายไป เมลิสซ่าก็มองไปทางซอย 23 พร้อมทอดถอนใจเบาๆ ที่นั่นมีร้านหนังสือร้านหนึ่งซึ่งเปลี่ยนชะตาของเธอ

ในตอนนั้น เธอสวมเสื้อฝนหนังตัวยาว และเมื่อสายลมแรงโหมพัด เสื้อคลุมของเธอก็ส่งเสียงเอี๊ยด

เมลิสซ่าตระหนักดีว่าการปรากฏกะทันหันของหมอกสีขาวนี้ผิดธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่ง เมื่อเธอเข้าใกล้ซอย 27 เธอเห็นชายชุดคลุมดำคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านหนังสือ ถือบางอย่างที่ดูคล้ายหนังสือไว้ในอ้อมแขน

ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วว่าหมอกดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ชายชุดดำคนนั้น เป็นลูกค้าคนใหม่ของร้านหนังสือเหรอ?

เธอครุ่นคิด

เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของเมลิสซ่าก็เริ่มปวดร้าว

ความรู้สึกแปลกแยกของการผันแปรเวลาผ่านเข้ามาในใจ แขกใหม่มา แขกเก่าจากไปตลอดกาล

เธอมีผมสีแดงดั่งเพลิงที่ไม่ได้มัดหางม้าสูงอีกต่อไป แต่เธอตัดมันสั้นลงและผูกไว้ต่ำ มือของเธอล้วงกระเป๋าหนังสีแดง สีหน้าของเธอไม่ได้สดใสเหมือนก่อน ราวกับเติบโตขึ้นสิบปีในชั่วข้ามคืน

หลังจากศึกที่ซอย 67 เธอได้ใช้การเรียนเร่งเวลาที่รับมาจากหนังสือของเจ้าของร้านเพื่อตระหนักถึงพลังระดับเหนือนภาของสายอาชีพต่างๆ แก่ใจ เลื่อนระดับตนเองรวดเดียวถึงระดับภัยพิบัติ และบรรลุกฎเกณฑ์บางอย่างล่วงหน้าไว้ ตอนนี้เธอเติบโตสูงส่งล้ำหน้าคนรุ่นเดียวกันจนเกินเอื้อม

สูงส่งยิ่งกว่าผู้ใด…

ทว่าราคาที่ต้องจ่ายก็คือ เสียพ่อของเธอไปตลอดกาล

หอพิธีกรรมต้องห้ามมอบบำเหน็จให้เธอในฐานะครอบครัวผู้เสียสละ และได้รับโอกาสเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหารอาวุโสในหอพิธีกรรมต้องห้ามโดยตรงเพื่อชดเชย และยังถือเป็นการยอมรับความสามารถของเธอด้วย

เมลิสซ่าแค่นยิ้ม เธอไม่คิดฝันเลยว่าจะมีโอกาสได้เป็นครอบครัวผู้เสียสละที่ว่านั่นถึงสองครั้ง

หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ความโศกเศร้าเปลี่ยนเป็นความชาไปทั้งกายนับแต่ได้ยินข่าวการตายของพ่อของเธอจากปากคุณลุงวินสตันแล้ว เธอกำหมัดแน่นเดินไปยังร้านหนังสือ

ความสับสนนั้นเหมือนกับตรวนรอบคอของเธอ เธอกักขังตนเองและเดินเข้าไปยังแดนประหารทุกวัน…บางทีเธอควรล้างแค้น แต่เธอจะล้างแค้นไปเพื่อใคร?

วินสตันบอกว่าไวลด์และพ่อของเธอตายไปด้วยกัน และบางทีนั่นอาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว

เมลิสซ่าเจ็บปวดและสับสน ในตอนที่เธอจมในความอลหม่าน เท้าก็พาเธอมาถึงซอย 23 เมื่อหมอกจางลง เธอก็มาถึงหน้าประตูร้านหนังสือโดยไม่รู้ตัว

เธอไม่มีหน้ามาเจอเจ้าของร้านหลิน เพราะถึงอย่างไร เจ้าของร้านหลินก็มอบโอกาสให้เธอแล้ว เขาย้อนเวลาควบคุมสนามรบ เขามอบหนทางมีชีวิตรอดให้เธอและพ่อเป็นที่เรียบร้อย แต่เธอก็ยังล้มเหลว

เธอเดินช้าๆ เข้าไปในร้านหนังสือ อย่างน้อยก็ขอกล่าวขอโทษเจ้าของร้านหลินสักหน่อย

หลินเจี๋ยกำลังวางของขวัญจากชายชุดคลุมดำผู้มาจากเขตล่างอย่างแผ่วเบา ในขณะที่วางชิ้นส่วนแผ่นศิลาของไลฟ์ลง เขาก็สังหรณ์ใจว่าจะมีแขกมาหา

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างปรีดา ก่อนจะสบเข้ากับใบหน้าอันคุ้นเคย

เฮือก!! เมลิสซ่า?!

หลินเจี๋ยเกือบเผลอเขวี้ยงเศษแผ่นศิลาของไลฟ์ในมือลงพื้น

สมองของหลินเจี๋ยเริ่มหมุนด้วย IQ 270 เร็วจี๋ คิดทันทีว่าเมลิสซ่ามาที่นี่เพื่อตามหาโจเซฟหรือเปล่า? แต่โจเซฟดูจะบอกไว้ว่าจะบอกเมลิสซ่าไม่ได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจวิธีการเรียนรู้แบบนี้จริงๆ ก็เถอะ แต่เมลิสซ่าก็ดูเหมือนจะโตขึ้นแล้วจริงๆ…หลินเจี๋ยมองพินิจเมลิสซ่าขึ้นลง จริงสินะ เด็กคนนี้โตขึ้นมากในทุกต้าน กระทั่งดูอายุมากขึ้นเยอะเลย

“เมลิสซ่า คุณมาอีกแล้ว” หลินเจี๋ยกล่าวเนิบๆ

“…เจ้าของร้านหลิน” เมลิสซ่าก้มหน้า เส้นผมสีแดงของเธอไม่ฟูฟ่องอย่างเคย แต่ถูกรวบตึงไว้กับศีรษะ เสียงของเธอแหบแห้งเหมือนคนไม่ได้พูดมานาน เธอกล่าวต่อ “ขอโทษค่ะ”

หือ? ไหงมาขอโทษเราล่ะ?

…หลินเจี๋ยครุ่นคิดลึกล้ำ ทว่าก็ยังขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะปวดหัวอย่างหนักก่อนหน้านี้

หรือเด็กคนนี้จะโตไวจัด? เรารู้วิธีการสื่อสารของเธอกับเราก่อนหน้านี้แล้ว เธอมาท้างัดข้อ ท้าทายเรา และอื่นๆ…

ทั้งหมดต่างเป็นพฤติกรรมแบบเด็กๆ หรือเธอจะมองว่ามันไม่สุภาพต่อเรา เจ้าของร้านหนังสือผู้เป็นที่เคารพ (คิดเอาเอง)?

โตไวไปไหมนี่?!

หลินเจี๋ยตะลึง

เมลิสซ่าเงยหน้าขึ้นมองหลินเจี๋ยเงียบๆ เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขา ไม่ตอบว่ายกโทษให้เธอไหม

ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านหนังสือ เธอยังคงล้มเหลวในการปกป้องบิดาและปล่อยให้เขาตายไปในสงคราม เรื่องแบบนี้ทำให้เจ้าของร้านหลินผิดหวังมาก เธอสมควรต้องขอโทษจริงๆ

“อย่างน้อย…อย่างน้อยไวลด์ก็ตายแล้วนะคะ” เมลิสซ่าเงยหน้าขึ้นพูดอย่างค่อนข้างหนักแน่น

“หา? เฒ่าไวลด์ตายแล้วเหรอครับ?” หลินเจี๋ยตกใจทันที “ใครบอกคุณครับ?”

หือ? เมลิสซ่าเบิกตากว้าง ในขณะเดียวกัน ทั้งเธอและหลินเจี๋ยต่างสับสน

“ม…ไม่มีค่ะ?” แต่เดิมเมลิสซ่ารู้สึกผิด ในสายตาของเธอ ความดุเดือดของสงครามที่ซอย 67 เป็นสิ่งที่เธอรับไม่ได้ในฐานะของเด็กคนหนึ่ง โดยเฉพาะการปะทะกันของบุคคลระดับเหนือนภาสองคนในตอนท้าย แน่นอนว่าเธอไม่ได้เห็นไวลด์ตายด้วยตาของตัวเอง

พูดให้ชัดเจนก็คือ ไม่มีใครได้เห็นมัน ไม่แม้แต่โจเซฟ

ไวลด์ตายแล้วจริงๆ เหรอ?…นักเวทมนตร์ดำคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก เมลิสซ่าไม่ได้ปักใจเชื่อสนิทเพราะไม่เคยได้พบซาก

“ผมไม่รู้นะว่าเขาเป็นหรือตาย ผมแค่อยากให้คุณแน่ใจ” หลินเจี๋ยพูดอย่างเคร่งขรึม

เมลิสซ่านิ่งไป…

“ลืมไปเถอะครับ ช่างเรื่องนี้เถอะ” หลินเจี๋ยวางงานลง ขมวดคิ้ว

พูดตามจริง แม้ว่าไวลด์จะฆ่าหมาและเข้าร่วมลัทธิ แต่เขาไม่ได้ทำร้ายใคร ยังนับเป็นคนดีและไม่ควรตาย เป็นเรื่องแปลกถ้าจะมานั่งถกกันว่าเขาจะตายหรือเปล่า?

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไวลด์ ครั้งหนึ่งเขาก็เคยให้ของขวัญกับหลินเจี๋ยและช่วยทำธุรกิจกับเขา เขานับได้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง หากเพื่อนเสียชีวิต หลินเจี๋ยย่อมไม่เชื่อมันง่ายๆ

“คุณมาหาผมที่นี่ด้วยเรื่องพ่อของคุณใช่ไหมครับ?” หลินเจี๋ยถามพลางกระแอมให้คอโล่ง

เมลิสซ่ายังคงช็อกกับเรื่องที่ไวลด์ยังไม่ตาย…คุณหลินขอให้เรายืนยันความเป็นความตายของไวลด์? คุณจะสื่อว่าไวลด์ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?!

เมลิสซ่ากำหมัดของเธอ เล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อ

เธอหายใจอย่างยากลำบาก พายุอันมิอาจกล่าวอ้างโหมกระหน่ำในอก เธอรับความจริงไม่ได้ที่ไวลด์ยังมีชีวิตอยู่

“ผมรู้เกี่ยวกับพ่อของคุณแล้ว แต่หวังว่าคุณจะออกจากความโศกเศร้าได้นะครับ เพราะคุณยังมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่ารออยู่” หลินเจี๋ยปลอบใจอย่างจริงจัง “สิ่งสำคัญที่สุดคือให้ผู้ล่วงลับได้เห็นการเติบโตของคุณ นั่นจะทำให้เขามีความสุขครับ”

เมลิสซ่าตาสว่าง หลุดออกมาจากความจริงที่ไวลด์ยังมีชีวิตอยู่

ภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า?

…หรือเขาจะให้เราไล่ฆ่าไวลด์ต่อเพื่อล้างแค้นให้พ่อ? ถึงเจ้าของร้านหลินไม่บอก เราก็ต้องทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เมลิสซ่าสูดหายใจลึก…

“ฉันจะให้พ่อเห็นการเติบโตของฉันค่ะ ฉันอยากให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำสำเร็จไม่ได้ ฉันจะทำมันให้สำเร็จ อะไรที่เขาทำไม่ได้ ฉันจะทำให้ได้…” เมลิสซ่าพูดปนสะอื้นน้อยๆ

หลินเจี๋ยพยักหน้า กล่าวว่า “เด็กดี”

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!