422 : บันทึกของหลินหมิงไห่
ฤดูใบไม้ผลิของนอร์ซินช่างแสนสั้น
กล่าวอีกนัยคือ ในเมืองเหล็กกล้าไร้พืชพันธุ์เขียวขจีแห่งนี้ เมืองเขตบนส่วนกลางและส่วนนอกไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ผลิได้เลยสักนิด โดยเฉพาะเขตสลัมซึ่งเต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมแน่นขนัด
มีเพียงท้องฟ้ามืดครึ้ม ไอควันดำทะมึน และคนงานหน้าซีดเซียวที่ต้องเผชิญหน้าหมอกหนา รีบร้อนไปทำงานหาเลี้ยงชีพทุกวี่วัน
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองคงไม่มีแขกมาหา
เขามองร้านหนังสืออันว่างเปล่า แม้ว่าจะชินกับความโดดเดี่ยวแล้วก็ตาม แต่ตอนที่มีมูเอนกับโจเซฟเพิ่มมาให้ร้านครึกครื้นนั้นยังคงสบายตัวสบายใจมากกว่าอยู่ดี
โชคดี โจเซฟแค่ออกไปช่วยเหลือเหล่าผู้ลี้ภัยและสังคมใกล้เคียง เขาจะกลับมาในอีกสักพัก…
ช่วงนี้เขาเป็นแบบนี้เสมอ ทำตัวลึกลับเหมือนเป็นมนุษย์ค้างคาว และดูจะมีเรื่องที่ตนต้องทำ
หลินเจี๋ยเดาว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเมลิสซ่า ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าไปยุ่มย่าม
ตอนนี้เหลือเพียงเราแล้วในห้อง…ไม่สิ พูดให้ถูกคือมีเจ้าดำ
หลินเจี๋ยจำได้ว่าเมื่อวานนี้ เส้นหนวดดำๆ ที่ดูเรียบเนียนยืดออกมาจากหลังเขา มัดแม่มดแห่งชีวิตไว้เสียแน่น
อืม…
หลินเจี๋ยลูบคาง แม้ว่าการปรากฏของเส้นหนวดจะกลายเป็นประเพณีสำหรับปีศาจร้ายไปก็ตาม แต่เจ้าดำนี่ดูอย่างไรก็เป็นเงารูปร่างคนแท้ๆ ทำไมเขาถึงเลือกเปลี่ยนเป็นเส้นหนวดหว่า?
น่าตรวจสอบจริงๆ!
และเป้าหมายยังเป็นสาวสวยรูปร่างหน้าตาดีไปอีก ถ้าเมินส่วนไม่เหมือนมนุษย์อย่างไฟไปนะ
สรุปคือ…ที่จริงแล้วเจ้าดำเป็น LSP?
หลินเจี๋ยนั่งครุ่นคิดคนเดียวที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็นึกบางอย่างออกกะทันหัน ล้วงหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักตู้เก็บของ
สมุดบันทึกมีลวดลายที่คุ้นตา เห็นได้ชัดเจนว่าที่มาของมันเหมือนเล่มก่อนหน้านี้
มันคือสถาบันโบราณคดีเสินตู
สมุดบันทึกเล่มนี้ตกจากมาเรีย
และต่างจากสมุดเล่มก่อน มันดูจะไม่ได้ถูกกัดกร่อนหรือเปื้อนมากนัก ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว
หลังจากหลินเจี๋ยได้มันมา ชายหนุ่มก็ไม่ได้อ่านมันตั้งแต่แรก เพราะในใจของเขารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกเขาว่าสมุดบันทึกเล่มนี้อาจจะเผยคำตอบของคำถามบางอย่างที่เขาอยากรู้มาตลอด แต่มันก็จะทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับเรื่องบางเรื่องด้วย
เขาลังเลอยู่นาน สูดลมหายใจลึกๆ แล้วจึงเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน
บรรทัดข้อความซึ่งเขียนด้วยลายมือหนักๆ แสนคุ้นตาตรึงสายตาของเขาไว้ทันที
—
1 มีนาคม สภาพอากาศแจ่มใส
ผลการสำรวจออกมาแล้ว ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ส่วนล่างก็ควรจะเป็นเมืองโบราณที่สูญหายแบบที่เราเดาไว้ แค่เขียนคำพวกนี้ก็ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยๆ
แต่ศาสตราจารย์เฉินซึ่งดูแลส่วนการสำรวจบอกไว้ว่าที่นั่นอาจจะมีสนามแม่เหล็กแปลกๆ ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน ซึ่งอาจจะมีผลบางอย่างต่อมนุษย์ และอาจต้องวิจัยสักหน่อยก่อนลงมือต่อ
แต่ใครสักคนก็ต้องลงไปอยู่ดีใช่ไหม? นี่คือโบราณสถานที่เราค้นพบก่อนนะ จะขอให้คนอื่นชุบมือเปิบความพยายามหลายต่อหลายปีของเราไปเพื่ออะไร? ศาสตราจารย์เฉินไม่เสียแรงเป็นเพื่อนกับเรามาหลายปี กะแล้วเชียว เขาก็ไม่อยากให้ผลงานที่ลงทุนลงแรงสร้างมาหลายปีถูกแบ่งให้คนอื่นเหมือนกัน เราตกลงกันได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจสร้างโครงการอย่างเป็นทางการให้เร็วที่สุดเพื่อดำเนินการขุดค้น ส่วนข้อมูลสนามแม่เหล็กจะถูกผนึกไว้ชั่วคราว
ไฉ่ยงคิดว่าช่วงนี้เรากังวลมากเกินไป ความกดดันทางจิตใจสูงเกินขนาด บางทียาอาจจะต้องถูกเพิ่ม เราปลอบเธอว่าอย่ากังวล เรื่องมันดำเนินมาตั้งหลายปีขนาดนี้ จะมีอะไรผิดพลาดได้อีก? เรารู้สภาพจิตใจของตัวเอง อันที่จริงในช่วงสองสามวันมานี้ เราตื่นเต้นมากกว่าเก่าเยอะเลยต่างหาก
แต่เธอก็เป็นแบบนี้เสมอเลย และเราก็ไม่ได้คิดว่ามันแย่ เราชอบเวลาที่เธอกังวลเป็นห่วงเรา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยเรา เยี่ยมยอดไปเลย
หลินเจี๋ยมองคำว่า ‘ไฉ่ยง’ และเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
นั่นคือชื่อของแม่เขา…จางไฉ่ยง!!
เป็นไปตามที่คาด ทีมโบราณคดีกลุ่มนี้คือกลุ่มที่พ่อของเขาเข้าร่วมในโครงการโบราณคดีสุดท้ายของเขาตอนนั้น!
พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้คือพ่อของเขา หลินหมิงไห่!
—
17 มีนาคม สภาพอากาศแจ่มใส
เหมือนเราจะประเมินผลกระทบจากสนามแม่เหล็กในบริเวณนี้ต่ำเกินไป
หวังฉี่ ลูกศิษย์ของเรามีภาวะควบคุมอารมณ์ บางทีอาจจะเป็นเพราะแรงกดดันสูงเกินไปหรืออะไรสักอย่าง แต่เรื่องของสนามแม่เหล็กจะเปิดเผยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นโครงการจะถูกยุติลง และทุกอย่างจะเป็นการทำเสียเปล่า… เราให้ไฉ่ยงวินิจฉัยเขาว่าเป็นฮิสทีเรีย ส่งเขาไปโรงพยาบาลเสีย
เราเสียใจมาก… แต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นอะไรที่นักโบราณคดีต้องทำ หรือก็คือ ถ้าเราไม่ลงนรก แล้วใครจะลง?
เราแจ้งทุกอย่างกับสมาชิกทีมอย่างชัดเจนแล้วว่า หากมีใครไม่อยากไป สามารถถอนตัวออกจากทีมได้ทันที
แต่พวกเขาดีมาก พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นศิษย์และเพื่อนร่วมงานที่ดีของเรา ไม่มีใครอยากออกจากทีมเลย ต่างคนต่างเปี่ยมความสงสัย แถมยังเร่งให้เราดำเนินการต่ออีกต่างหาก นี่แหละคือประกายไฟแห่งมนุษยชาติ เพราะความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละ มนุษย์จึงสามารถแก้ปริศนาต่างๆ ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และผลักดันตนเองให้ไปต่อได้
ไฉ่ยงเสนอว่าควรมีช่องระบายอากาศ ไม่อย่างนั้นความกดดันของการทำงานหนักเป็นเวลานานจะสะสม และคนจะมีปัญหาทางสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นเราเลยให้ทุกคนเริ่มเขียนบันทึกประจำวัน บันทึกผลการค้นคว้าและระบายความคิดออกมาในเวลาเดียวกัน ต่อให้วันหนึ่งพวกเขาถูกฆ่า บันทึกนี้ก็จะทำให้คนอื่นรับรู้ถึงความพยายามของเรา ต่อให้เราต้องส่งต่อบางอย่างให้คนรุ่นหลังก็ยังดี
—
27 มีนาคม สภาพอากาศแจ่มใส
เฒ่าเฉินบอกว่าสภาพทางภูมิศาสตร์ข้างหน้าไม่เหมาะแก่การสำรวจอีกต่อไปแล้ว แต่เขาไม่อยากยอมแพ้ และขอศึกษาวิธีเข้าไปก่อน
สีหน้าของเขาตื่นเต้นมาก แต่ดวงตาของเขาดูเหมือนเลื่อนลอย มันทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจมาก… แต่บางทีมันอาจจะเป็นที่เราคิดไปเองก็ได้ เขากับเราเปิดอกคุยกัน และเราก็ตระหนักว่าเป้าหมายในใจของเขาและเราตรงกัน เราเลยตัดสินใจเก็บความสงสัยและใช้ชื่อเสียงของเรารักษาความราบรื่นของเราขุดสำรวจ
อีกอย่าง ไฉ่ยงดูไม่สบายมาก เธออาเจียนตลอดช่วงที่เรากินข้าวเช้า กังวลนิดๆ นะนี่
—
28 มีนาคม สภาพอากาศแจ่มใส
ทีมสำรวจของเฒ่าเฉินเปิดทางข้างหน้าให้แล้ว ทุกคนดีใจมาก สีหน้าของแต่ละคนแจ่มใสเปี่ยมความหวังขึ้นอีกครั้ง เรากับนักเรียนเองก็ชอบใจมากเช่นกัน
เดินทางต่อ เราสังหรณ์ว่าข้างหน้าจะต้องมีการค้นพบที่สำคัญยิ่งยวดรออยู่แน่ๆ
(ข้อความส่วนที่เหลือเปื้อนเลือดเสียจนอ่านไม่ออก)
—
29 มีนาคม สภาพอากาศแจ่มใส
ตอนนี้เราขุดเจอ ‘ประตู’ บานหนึ่ง และเราก็สังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร อยากจะหันไปบอกไฉ่ยงว่าเรากลับกันเถอะ แต่เธอบอกเราให้ทนต่อไป บอกว่าไม่ควรยอมแพ้กลางคัน หลินหมิงไห่เป็นบุคคลผู้ดิ้นรนเพื่ออุดมการณ์
เธอมองเราด้วยสายตาที่มีแต่เราเท่านั้น และสายตาแบบนี้แหละที่เราปฏิเสธไม่ได้ ฉันรักเธอ
การสำรวจดำเนินต่อ
—
30 มีนาคม ฝนตก
เราเข้ามาแล้ว แต่ประตูปิดตาย เราตะลึงและตกใจกับสิ่งที่เห็นมาก มันเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และถึงมันจะโทรมและสกปรก มันกลับอลังการโอ่อ่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ ทั้งมวลที่เราเคยเห็นมา… บางทีนั่นอาจจะเป็นการพูดเกินจริง แต่ขนาดสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่อลังการถึงครึ่งของมันเลย
มันดูไม่เหมือนอะไรที่มนุษย์จะสร้างได้เลยสักนิด
นักสำรวจแร่อย่างเฒ่าเฉินตกใจกว่าเราอีก เขาขอให้นักเรียนไปตรวจสิ่งปลูกสร้างทันที แต่พวกเขากลับมาและบอกว่าไม่มีเสารับน้ำหนักที่นี่เลยสักต้น เฒ่าเฉินสติแตก กระทั่งหยิบพลั่วขึ้นมาฟาดหน้าผากหนึ่งในศิษย์เรา
เหตุการณ์ชุลมันมาก… มันแปลกมาก… ทุกคนพยายามเกลี้ยกล่อมเขา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาทรุนแรง และเฒ่าเฉินก็โดนฆ่าตาย
ไม่มีใครเห็นว่าใครทำ แต่มีใครบางคนดึงลิ้นเฒ่าเฉินออกไป
เราหมดพลังจะตรวจสอบ และไม่แม้กระทั่งจะฝังร่างเฒ่าเฉิน ปากที่อ้ากว้างของเขาว่างเปล่า ดวงตาเบิกโพลง
ตอนกลางคืน เราคิดกับตนเองว่าบางทีตาของเขาอาจสะท้อนภาพฆาตกร ทิ้งร่องรอยของคนๆ นั้นไว้ ดังนั้นเราเลยเอนเข้าไปดู
ฮะ แน่นอนสิว่าเป็นไปไม่ได้ เขาตายไปแล้ว และมีเพียงหน้าตาของเรานั่นแหละที่สะท้อนในตาเขา
—
1 เมษายน ฝนตก
เมื่อคืน เรานอนในสิ่งปลูกสร้างใต้ดินนั่น พอเราลืมตาก็เห็นไฉ่ยงนั่งอยู่ข้างๆ และคำพูดแรกที่เธอพูดตอนเราตื่นก็คือ—
‘หลินหมิงไห่ ฉันท้อง’
ความทุกข์ใจทั้งหมดในช่วงเวลานี้ปลิวหายไปในพริบตา เรารู้สึกเหมือนไม่เคยดีใจมากเท่านี้มาก่อน เราแต่งงานกันมาสองปีแล้ว และในที่สุดก็มีชีวิตใหม่มาเกิดในครอบครัวของเรา
มิน่าล่ะ ไฉ่ยงถึงได้อาเจียนและดูไม่สบายตัวก่อนหน้านี้ อย่างนี้เอง อย่างนี้นี่เอง
แต่ไฉ่ยงบอกว่าประตูปิดไปแล้ว บางทีเราอาจจะถูกขังไว้ที่นี่ตลอดไป มันโรแมนติกมากเลยนะที่จะใช้ชีวิตจนตายร่วมกัน
เป็นไปไม่ได้หรอก! เราจูบหน้าผากของเธอปลอบใจ บอกเธอว่าอย่ามองโลกในแง่ร้ายนัก เดินทางต่อ มันต้องมีทางออกสักที่สิน่า
ไฉ่ยงพยักหน้า บอกว่าเธอเชื่อเราเสมอ เราแตะท้องของเธอ มันบวมกลมและมีจังหวะหัวใจเต้น
แต่ว่าสเบียงของเรากำลังจะหมด อาหารแห้งถูกละอองฝนและกำลังจะราขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อ เราจะเจอทางตัน
โชคดีที่เฒ่าเฉินจู่ๆ ก็พูดว่าเรามีอาหารแห้งชุดใหม่ให้แบ่งกัน ตอนนี้กลุ่มเราขาดคน และอาหารแห้งพวกนี้พอดีคนเป๊ะเลย
สวรรค์ไม่ปล่อยคนให้มืดแปดด้านจริงๆ