№ 148 เพลิงไหม้ยอดเขา!
“เสี่ยวจิ่ว สำนักพิษโอสถนี่เป็นที่กบดานของหญิงคนนั้นรึ?”
กวนสีหลิ่นกดเสียงเบาลงพลางเอ่ยถาม มีความเหลือเชื่อเล็กน้อย ต้องรู้ไว้ว่าสำนักพิษโอสถนี้เป็นกองกำลังที่เทียบเท่ากับวงศ์ตระกูลระดับกลางในเมืองอวิ๋นเยวี่ย ตลอดมาไม่มีใครรู้ว่านายท่านที่อยู่เบื้องหลังคือใคร กลับนึกไม่ถึง ว่าจะเป็นซูรั่วอวิ๋นผู้ที่ชกฉวยตัวตนเสี่ยวจิ่วไป
“ถูกต้องแล้ว” เธอขานรับ หยิบขวดใบหนึ่งขึ้นเทยาออกมาสองเม็ด “กินซะ นี่เป็นยาต้านพิษ”
ฟันเช่นนี้ กวนสีหลิ่นจึงหยิบมันขึ้นมากิน พลางเอ่ยถามอย่างกังวลน้อยๆ “งั้นพวกเราจะทำลายสำนักนี้เช่นไร? ข้าได้ยินว่าคนของสำนักพิษโอสถมีไม่น้อยเลย หนำซ้ำพวกเขายังชำนาญใช้ยาพิษ แค่พวกเราสองคนจะไหวหรือ?”
เฟิ่งจิ่วกลืนเม็ดยาลงตาม จากนั้นก็เอ่ยว่า “ไม่ต้องลงมือเองหรอก พวกเราจะเอาวิธีพิษสู้พิษมาใช้กับพวกเขา ไปเถอะ”
ค่ำคืนนี้ เป็นวาระแห่งค่ำคืนที่หลับไม่ลง…
ภายในจวนตระกูลเฟิ่ง ซูรั่วอวิ๋นยังคงเฝ้ารอข่าวดีที่จะมาถึงหลังฟ้าสางวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้น เมื่อรอถึงรุ่งเช้ากลับไม่เห็นมีใครมารายงาน เหมือนก้อนหินจมลงมหาสมุทร ที่ไม่มีแม้แต่เสียงลมพลิ้วไหว
ตั้งแต่เช้าตรู่ถึงเที่ยงวันก็ยังไม่มีข่าวคราว สุดท้ายนางที่รอต่อไปไม่ไหวจึงหาข้ออ้างออกมา เพื่อมุ่งไปยังที่พำนักทางใต้ของเมือง
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูสองครั้งดังขึ้น ซูรั่วอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านนอกมองซ้ายแลขวา รออยู่สักพักก็ไม่มีใครมาเปิดประตู ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจยิ่งทวีความรุนแรง นางจึงข้ามกำแพงเข้าไปทันที
ตอนไม่เข้ามาก็ยังดี แต่พอเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นภาพในห้องกรงที่เรือนด้านหลัง นางจึงสูดหายใจเข้าอย่างอดไม่ได้
“ซี๊ด!”
ภาพตรงหน้าที่ไม่น่ามองนักทำให้สีหน้านางดูไม่ได้เป็นที่สุด โดยเฉพาะ เมื่อชายวัยกลางคนในลูกกรงนั้นก็อยู่ด้วย ยิ่งทำให้นางตกใจ
พละกำลังเขาเทียบเท่ากับเสาหลักของตระกูลระดับกลาง คอยติดตามอยู่ข้างกายนางและอำนวยความสะดวกแก่ไพร่พล กำลังของปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ไม่ใช่ว่าใครๆ จะคร่าชีวิตได้ตามใจชอบ ทว่าตอนนี้กลับสิ้นใจไปอย่างอัปยศเช่นนี้ ช่างทำให้นางทั้งตกใจและขุ่นเคืองเสียจริง!
“หรือว่าเป็นสองพี่น้องกวนสีหลิ่น? แต่ตามที่ตรวจสอบมา เจ้ากวนสีหลิ่นนั่นถึงกับยังไม่ใช่แม้ระดับปรมาจารย์ แล้วจะจับองครักษ์จั่วที่เป็นถึงระดับปรมาจารย์มาขังในกรงเหล็กได้อย่างไรกัน?”
นางพึมพำกับตัวเอง เพียงรู้สึกว่าหลังจากเห็นภาพตรงหน้านี้ หัวใจก็ไม่อาจสงบลง จึงคิดจะติดต่อกับคนของสำนักพิษโอสถสักหน่อยเพื่อไถ่ถามสถานการณ์
ดังนั้น พอหมุนตัวจากไป นางก็วางเพลิงเผาเรือนที่พำนักแห่งนี้
ออกมาด้านนอก เดินไปบนถนนใหญ่ เมื่อนึกถึงภาพไม่น่ามองเมื่อครู่ ก็ยังมีความสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง ฆ่าคนแค่เล็งที่หัว แม้แต่นางยังคิดวิธีลงโทษที่โหดร้ายและทำให้ขนลุกขนพองเช่นนั้นไม่ได้เลย
“พวกเจ้าได้ยินรึยัง? เมื่อคืนสำนักพิษโอสถนั่นถูกคนวางเพลิง กล่าวกันว่าเพลิงไหม้สว่างไสวไปทั่วทั้งยอดเขา ถึงเมื่อเช้านี้ไฟยังลุกอยู่เลย มีคนไม่น้อยไปดู บอกว่าถูกไฟไหม้กลายเป็นขี้เถ้าไปหมดแล้ว”
“ซี๊ด! ไม่ใช่กระมัง? ใครกันที่ทำ? กองกำลังสำนักพิษโอสถเทียบเท่าวงศ์ตระกูลระดับกลาง หนำซ้ำยังเพิ่งก่อตั้งมาไม่กี่ปี จู่ๆ จะถูกวางเพลิงในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?
ฟังเสียงกระซิบที่ดังมาข้างหู ซูรั่วอวิ๋นก็หวั่นใจ หันกลับไปมองยังพวกคนตรงร้านชาข้างทาง ก้าวยาวเดินไปด้านหน้า คว้าไหล่คนหนึ่งในหมู่พวกเขา ก่อนจะตะคอกด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่มีไอสังหาร
“เมื่อครู่พวกเจ้าว่าอะไรนะ? พูดอีกรอบสิ!”
“ซี๊ด! ไหล่ข้า…” ชายวัยกลางคนที่ถูกนิ้วนางทั้งห้าจับไว้สีหน้าขาวซีดเพราะความเจ็บรุนแรง เหงื่อออกโทรมกาย
ทั้งสองคนข้างๆ กันเห็นท่าทางจึงรีบเอ่ยว่า “แม่นางเจ้ารีบปล่อยมือเถอะ พวกเราจะบอกเจ้าก็ได้ สำนักพิษโอสถถูกวางเพลิง เพลิงไหม้ทั้งยอดเขาไม่มีเหลือรอด เรื่องนี้แพร่กระจายอยู่ในเมือง เจ้าไปถามใครต่อใครต่างก็รู้กันทั้งนั้น”
……………………………