№ 149 สำนักพิษโอสถถูกวางเพลิง!
ได้ยินคำพูดนี้ ซูรั่วอวิ๋นเหมือนร่างกายอยู่ในโรงน้ำแข็ง เย็นเยียบไปทั่วร่าง ฝีเท้านางซวนเซถอยไปไม่กี่ก้าว ยากเกินจะยอมรับว่าข่าวเช่นนี้เป็นเรื่องจริง
“ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นถอนหายใจ ปัดลงบนไหล่ที่ถูกบีบเสียจนเจ็บ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “อะไรที่เป็นไปไม่ได้? เมื่อเช้านี้ข้าไปดูมาแล้ว ทั้งยอดเขาล้วนเผาไหม้ ไม่มีเหลือรอดเลยสักคน”
“จริงด้วย ข่าวเพิ่งแพร่ออกไปเมื่อเช้านี้เอง หลายตระกูลในเมืองต่างส่งคนเข้าไปดู แต่คล้ายว่าตอนนี้จะยังบอกไม่ได้ว่ากองกำลังใดเป็นคนวางเพลิงกันแน่”
“เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เชื่อหรอก!”
ซูรั่วอวิ๋นตะโกนลั่น แววตาเย็นเยียบกวาดมองคนเหล่านั้นแวบหนึ่ง แล้วก้าวยาววิ่งออกไปทันที
ต้องลองไปดู! ต้องลองไปดูให้ได้! นางไม่เชื่อแน่ว่าที่ทุ่มเทกำลังมาหลายปีจะมอดไหม้หมดสิ้นเช่นนี้!
“ผู้หญิงคนนั้นบ้าไปแล้วรึ? คนในสำนักพิษโอสถก็ไม่ได้มีอะไรดี ตายซะได้ก็ดี นางกำลังกระวนกระวายอะไรกัน?”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก แค่หญิงบ้าคนหนึ่ง บีบไหล่ข้าเจ็บแทบตายเลย”
ชายวัยกลางคนลูบๆ ไหล่พลางพูด ก่อนจะเอ่ยอีกว่า “แต่ที่สามารถทำลายกองกำลังหนึ่งลงได้ในชั่วข้ามคืน นี่ก็น่าเหลือเชื่อเกิน พวกเจ้าว่า เรื่องนี้ภูตหมอจะเป็นคนทำหรือไม่?” เมื่อพูดถึงครึ่งประโยคหลัง น้ำเสียงเขามีความระแวดระวังอยู่บ้าง และกดเสียงเบาลงอย่างชัดเจน
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ภูตหมอจะทำลายสำนักพิษโอสถโดยไม่มีเหตุผลได้เช่นไรเล่า?”
“หมอยาพิษถือเป็นศัตรูไม่ใช่หรือ? ทำลายสำนักพิษโอสถจะแปลกอะไรนัก? อีกอย่าง เจ้าว่าหากไม่ใช่ฝีมือภูตหมอแล้วใครเล่าจะกล้าทำเช่นนี้? ก็ภูตหมอนั่นมีฝีมือพอจะทำลายหนึ่งตระกูลหรือหนึ่งกองกำลังได้ภายในคืนเดียวไม่ใช่รึ?”
ได้ยินคำพูดนี้ น้ำเสียงคนอื่นๆ ที่เหลือก็ลดเบาลงมาบ้าง “เจ้าหมายความว่าที่ตระกูลสวี่ถูกฆ่าล้างเป็นฝีมือภูตหมอ ทำลายสำนักพิษโอสถก็เป็นฝีมือภูตหมอด้วยรึ? ข้าบอกกับเจ้าแล้วไง เรื่องนี้อย่าพูดซี้ซั้วนักจะดีที่สุด ระวังปากจะพาภัย สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้เห็นไม่ใช่หรือ?”
หลังจากได้ยินคำพูดว่าปากจะพาภัย พวกเขามองหน้ากันแวบหนึ่ง และไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่หลังจากดื่มชาไม่กี่ถ้วยก็กลับบ้านของแต่ละคน
เมื่อซูรั่วอวิ๋นมาถึงยอดเขาที่ไฟไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน คนพวกนั้นที่เข้ามาดูกันคึกคักต่างแยกย้าย มองยอดเขาที่โล่งเตียนด้วยสองตาแดงก่ำ กระอักเลือดออกมาอย่างโมโหแทบขาดใจ แล้วทั้งร่างก็ทรุดนั่งลงไป
“เป็นไปได้ยังไง… เป็นไปได้ยังไง…”
นางพึมพำเสียงเบา ร่างกายราวกับสูญสิ้นวิญญาณ นี่เป็นสถานที่ที่นางทุ่มเทกำลังทั้งหมด เป็นกองกำลังที่นางวางแผนจะขยายตัว ทว่าตอนนี้ กลับถูกทำลายเพียงชั่วข้ามคืน…
เลือดลมที่หมุนตลบทำให้หัวใจคับแน่นเจ็บปวด นางนั่งอยู่บนพื้นนานนักถึงจะยืนขึ้นมา สองดวงตาที่เหม่อลอยมีประกายดำมืดชั่วร้ายขึ้นมาอีกครั้ง สองมือกำหมัดแน่น
“ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่! ไม่มีทางแน่นอน!”
ขบกัดฟันแน่น นางหมุนตัวจากไปอย่างเด็ดขาด ไม่มีสำนักพิษโอสถแล้ว งั้นนางจะยึดครองกององครักษ์ตระกูลเฟิ่งมา!
กำลังพลองครักษ์ตระกูลเฟิ่งเป็นกำลังหลักของจวน และเป็นกองกำลังหนึ่งที่แม้แต่เจ้าแคว้นแสงสุริยันยังต้องเกรงกลัว!
ขอแค่ยึดกององครักษ์ตระกูลเฟิ่งกลายเป็นผู้นำตระกูล ไม่ต้องพูดถึงสองพี่น้องคู่นั้น ต่อให้อยากทำลายตระกูลระดับกลางสักตระกูลก็แค่ออกคำสั่ง!
เดิมทีคิดจะรอเวลาอีกสักพัก อันที่จริงเฟิ่งชิงเกอคนก่อนก็คลุกคลีกับกององครักษ์น้อยนัก ที่พวกนางพบปะด้วยเป็นแค่องครักษ์นายสองนายที่ถูกส่งมาอารักขา
ส่วนคนอื่นๆ แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเจอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ตอนนี้ นางต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลเฟิ่ง! และต้องได้กองกำลังนั้นมาให้จงได้!
……………………………