№ 215 ผู้พิทักษ์เซี่ยงหวา
เห็นภาพเช่นนี้ เจ้าอ้วนมุมปากกระตุก ถามว่า “เด็กน้อย เจ้าคงไม่ได้แค่ทำให้คนตกใจกลัวหรอกกระมัง?”
ลึกๆ ในใจเขายังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ วรยุทธ์ของหนุ่มน้อยนี่คงแกร่งกว่าชายแซ่หลี่ ถึงอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับยอดปรมาจารย์ ต่อให้มองวรยุทธ์เด็กหนุ่มไม่ออก แต่คิดๆ แล้วระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดน่าจะสูงกว่าเขานิดหน่อยนั่นแหละ!
ยิ่งไปกว่านั้น หากพลังเขาแกร่งมากจริงๆ ตอนนี้คงไม่ตกใจจนสองขาอ่อนระทวยทรุดนั่งบนพื้นเช่นนี้หรอก?
“ชู่!”
เฟิ่งจิ่วทำท่าทางให้เงียบเสียงลง มองไปบริเวณรอบๆ แล้วถึงจะหยิบผลึกอสูรสองก้อนนั้นขึ้นมาดู “เป็นของดีโดยแท้ แต่ไม่ใช่ว่าในร่างสัตว์ร้ายทุกตัวจะมีหมดหรอกนะ” เธอเล่นๆ ผลึกทั้งสองก้อนในมือ จากนั้นค่อยเก็บเข้าในห้วงมิติ แล้วมองกองข้าวของบนพื้น โบกมือเก็บทั้งหมดเข้าห้วงมิติไป
เห็นเช่นนี้ เจ้าอ้วนก็มองมาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง คิดว่าคนคนนี้เข้าใจยากนิดหน่อย
เจ้าว่ากำลังเขาอ่อนแอหรือ! แต่เขากลับฆ่าเฉินเสวียไห่ที่เป็นถึงระดับปรมาจารย์พลังวิญญาณขั้นสูงสุดได้ในพริบตา เจ้าว่าเขาแข็งแกร่งหรือ! แต่ทำไมบนร่างถึงไม่เห็นความหยิ่งผยองและภูมิใจในตนเองเยี่ยงผู้แกร่งกล้า? กลับคุ้มดีคุ้มร้ายแปลกๆ
“ของบนตัวเขาให้เจ้าแล้วกัน” เฟิ่งจิ่วให้สัญญาณ มองไปทางศพเฉินเสวียไห่บนพื้น
“ขอบใจมาก” เจ้าอ้วนประสานมือขอบคุณ เก็บถุงที่ข้างเอวนั้นขึ้นมาพลางมองคนที่สิ้นลมไปด้วยความสับสนในใจ
นึกไม่ถึงว่าเป็นพี่น้องกัน สุดท้ายกลับจบลงเช่นนี้
“ไปเถอะๆ” เฟิ่งจิ่วพูดพลางตบๆ บ่าเขา
เจ้าอ้วนขานรับ ท้ายที่สุดฝ่ามือรวบรวมเปลวไฟในร่างขึ้นมา เผาร่างเฉินเสวียไห่ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เลี่ยงไม่ให้ถูกสัตว์ร้ายฉีกทึ้ง
เฟิ่งจิ่วตรงหน้าหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ยกมุมปากเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายบางๆ เจ้าอ้วนนี่ช่างเป็นคนที่มีความรู้สึกลึกซึ้งมีคุณธรรมสูงส่ง
ทั้งสองเดินหน้าไปตลอดทาง ภายใต้การนำทางของเฟิ่งจิ่ว เจ้าอ้วนสังเกตพบด้วยความแปลกใจว่าพวกเขาไม่พบค่ายกลเลย จึงอดไม่ได้ยิ่งสงสัยในตัวตนของเฟิ่งจิ่ว
“เสี่ยวจิ่ว เจ้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักศึกษาหมอกดาราจริงหรือ?”
“ข้าดูไม่เหมือนรึ?” เธอมองเขาแวบหนึ่ง แล้วยิ้มถาม
เจ้าอ้วนส่ายหน้า “ไม่เหมือน พละกำลังเจ้าคงเหนือกว่าข้า หนำซ้ำยังไม่น่าต่ำกว่ายอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ!” น้ำเสียงชะงักลง กล่าวว่า “แม้ข้าไม่เคยไปสำนักศึกษาหมอกดารา แต่ก็รู้ว่ากำลังเช่นนี้ต้องเป็นศิษย์ชั้นยอดในสำนักศึกษาหมอกดาราเป็นแน่”
“แหะๆ!” เฟิ่งจิ่วฉีกยิ้ม กลับไม่เอ่ยปากอีก
เจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้นก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง คิดว่าเขาไม่อยากพูดถึง จึงไม่ถามอะไรให้มากความ
จนกระทั่งเบื้องหน้าพลันมีกลิ่นอายทรงพลังโถมเข้ามา ทั้งสองถึงถอยหลังอย่างรวดเร็วแล้วหยุดฝีเท้าลง
“เฮือก! พลังวิญญาณพลุ่งพล่านแข็งแกร่งนัก!” เมื่อเห็นคลื่นพลังวิญญาณและพลังกระบี่ในอากาศ เจ้าอ้วนส่งเสียงอุทาน ครุ่นคิดพลางเอ่ย “ลูกศิษย์และผู้เล่าเรียนที่เข้ามาฝึกไม่น่าจะมีพลังเช่นนี้ได้ ข้าเดาว่าคงเป็นอันธพาลไม่ก็ผู้ฝึกวิชามาร”
เฟิ่งจิ่วมองกลิ่นอายนั้นในอากาศ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย บอกว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะลองไปดูข้างหน้าหน่อย” พูดจบ เงาร่างสีแดงก็พุ่งไปด้านหน้า เร็วเสียจนเจ้าอ้วนยังไม่ทันได้ห้ามปราม
“ฮ่าๆๆ! คนของสำนักวิชากับสำนักศึกษาหมอกดารานั่นตาบอดกันหมดรึไง กลับส่งตัวผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายเซี่ยงหวาผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรจากวังกำเนิดสวรรค์เข้ามาในฐานะแค่อันธพาลระดับปรมาจารย์พลังวิญญาณ”
ผู้ฝึกวิชามารเจ็ดแปดคนล้อมชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีหนวดรุงรังไว้ หัวเราะร่าน่าสะพรึง “แต่ก็ใช่ เซี่ยงหวาในตอนนี้วันนี้แทบไม่ต่างอะไรกับพวกไร้ประโยชน์ ไม่เช่นนั้นพวกเราไม่น่ามาเจอเจ้าที่นี่! ฮ่าๆๆๆ!”
เมื่อเฟิ่งจิ่วในมุมมืดได้ยินคำพูดของผู้ฝึกวิชามารพวกนั้น แววตาก็สั่นไหวน้อยๆ
วังกำเนิดสวรรค์? ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย?
………………………………….