№ 274 รีบกลับเมืองหลวง
เรือนตรงหน้าว่างเปล่า ทั้งด้านในด้านนอกล้วนไม่เห็นเงานาง เขาเข้ามาในห้องด้านใน มองผ้านวมที่เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยแววตาเคร่งขรึมเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัวเดินออกมายังห้องโถงด้านหน้าทันที
หัวหน้าเคอได้ยินว่ามีคนมาหาแต่เช้าตรู่ หลังล้างหน้าล้างตาเสร็จจึงมาที่ห้องโถง พอเข้ามาด้านในก็เห็นชายหนุ่มชุดคลุมดำนั่งประจำอยู่บนตำแหน่งที่นั่งอาวุโส ใบหน้าหล่อเหลาตึงเครียดเล็กน้อย ทั่วร่างมีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งกระจายอยู่ รัศมีเช่นผู้เหนือกว่าตลบอบอวลบนร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ แค่มองแวบเดียวก็ทำให้เขาใจสั่นเบาๆ แปลกใจและสงสัยนัก
ชายผู้นี้เป็นใครกัน? ลำพังแค่รัศมีก็ทำให้เขาเสียขวัญได้แล้ว ในเมืองลิ่วเต้าไม่น่ามีบุคคลเช่นนี้อยู่
อาจเพราะท่าทางอีกฝ่ายทรงอำนาจเกินไป หัวหน้าเคอจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปคารวะ เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าคือ?”
“ภูตหมอล่ะ?”
หัวหน้าเคอเพียงชะงักไปนิด แล้วบอกว่า “เขาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วขอรับ แต่ไม่ได้บอกว่าไปที่ไหน ได้ยินว่าเขาเหมือนจะไปตระเวนรอบๆ”
พอพูดออกมาเช่นนี้ เห็นสีหน้าชายชุดดำที่นั่งอยู่ยิ่งทะมึนขึ้น ราวกับเคลือบแฝงด้วยไฟโทสะอันแรงกล้า บรรยากาศทั่วทั้งห้องโถงก็ย่ำแย่ลงตามมา ทำให้หัวหน้าเคอที่ยืนอยู่กลางโถงรู้สึกแต่ว่าหนาวสะท้านไปทั่วร่าง แม้แต่หอบหายใจยังลำบากอยู่บางส่วน
เขาแอบตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ ชายผู้นี้เป็นใครกันแน่?
แต่ไม่รอให้เขาถามไถ่ก็เห็นร่างสีดำข้างกายพุ่งผ่านไป ชายหนุ่มชุดดำที่เดิมเคยนั่งประจำอยู่บนตำแหน่งอาวุโสจากไปแล้ว และบรรยากาศอึดอัดหนาวเย็นที่กระจายอยู่ทั่วห้องโถงก็กลับเป็นปกติ…
เมื่อเจ้าตำหนักยมราชกลับมายังที่พำนัก ฮุยหลางกับอิ่งอีในสวนเข้ามารับหน้า
“นายท่าน เรื่องด่วนจากเมืองหลวงขอรับ” ฮุยหลางยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้
เมื่อเจ้าตำหนักเห็นตราประทับบนจดหมาย เขายื่นมือสะบัด กลิ่นอายพลังวิญญาณวาดผ่าน ตราประทับนั้นหายไป ครั้นหยิบกระดาษออกมา บนนั้นมีเพียงสามคำว่า ‘รีบกลับมา’
มือหนึ่งกำแล้วแบออก เห็นเพียงกลิ่นอายพลังวิญญาณที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าพรั่งพรูอยู่บนฝ่ามือเขา เวลาต่อมา กระดาษจดหมายก็กลายเป็นเถ้าถ่านในมือ เขาเม้มริมฝีปาก ดวงตาลึกล้ำฉายประกายจางๆ ออกคำสั่งเสียงเข้มว่า “ธุระตรงนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เดินทางกลับเมืองหลวง!”
“ขอรับ!” ทั้งสองขานรับ ออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับลง ท้องฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆ พวกเฟิ่งจิ่วที่ออกมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ยามนี้กำลังเดินโซซัดโซเซอยู่บนเส้นทางบนเขา เธอขี่เหล่าไป๋ เหลิ่งซวงขี่ม้าตัวหนึ่งตามอยู่ข้างกาย ส่วนฉิวฉิวที่เหมือนหมาน้อยอยู่บนหลังม้าที่เหลิ่งซวงขี่
เพราะเหล่าไป๋ไม่ยอมแบกมันด้วย
“นายท่าน ด้านหน้าไม่ไกลเหมือนจะมีบ้านอยู่สองหลัง ไม่สู้คืนนี้พวกเราไปพักที่นั่นดีกว่า?” เหลิ่งซวงพูดกับเฟิ่งจิ่วข้างกายพลางมองแสงไฟที่เลือนรางอยู่ไม่ไกล
“ได้ ยังไงซะพวกเราก็ไม่รีบกลับ” เฟิ่งจิ่วยิ้มรับ
ตอนออกมาพวกเธอนั่งเรือเหาะ เมื่อมาด้านหน้าช่วงหนึ่งแล้วถึงจะลงมาขี่ม้าอย่างโงนเงน ที่สำคัญก็ไม่ได้รีบร้อนกลับไปเดี๋ยวนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ห่างจากแคว้นแสงสุริยันระยะแค่ใช้เรือเหาะวันเดียวก็ผ่านมาครึ่งทางแล้ว ระยะทางไม่ไกล ด้วยเหตุนี้จึงไม่รีบร้อนอะไร
“เหล่าไป๋ รีบเดินหน่อย ถึงบ้านด้านหน้าจะได้หาอะไรให้เจ้ากิน” เธอยิ้มพลางตบๆ หัวเหล่าไป๋ พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงมองฉิวฉิวที่นอนอยู่บนหลังม้าอย่างแปลกใจเล็กน้อย
เดิมทีตอนออกมาเธอตั้งใจว่าจะทิ้งฉิวฉิวคืนไว้ให้เจ้าตำหนักยมราช ใครจะรู้ว่าพอพวกเธอขึ้นเรือเหอะ เจ้าตัวเล็กก็วิ่งขึ้นไปคล้ายกลัวว่าจะโดนทิ้ง และแอบอยู่ด้านในสุด ไม่ยอมออกมาไม่ว่าจะเรียกยังไง ด้วยเหตุนี้เธอจึงสงสัยว่าที่มาของฉิวฉิวอาจจะไม่ใช่แค่หมาน้อยธรรมดาๆ
…………………………….