№ 287 นางกลับมาแล้ว!
“ได้ยินรึยัง? กวนสีหลิ่นคนนั้นที่ออกมาจากตระกูลกวนว่ากันว่ากลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งบนรายชื่อตลาดมืด”
“เรื่องนี้ข้ารู้ตั้งแต่สองวันก่อน ไม่ต้องบอกเลยว่ากำลังต่อสู้และพรสวรรค์ของกวนสีหลิ่นคนนั้นช่างน่าอัศจรรย์นัก ข้าเคยชมการต่อสู้ที่ลานประลองตลาดมืด ทักษะเขาเรียกว่าไร้เทียมทานโดยแท้ ตระกูลกวนไล่เขาออกมา พวกเขาขาดทุนแล้วจริงๆ”
“จริงด้วย ช่วงนี้มีตระกูลไม่น้อยอยากดึงตัวเขาไป บ้างก็ถึงกับคิดใช้วิธีแต่งงานสานสัมพันธ์เพื่อดึงเขากลับเข้าตระกูล แต่ได้ยินว่าเขาจะก่อตั้งตระกูลของตน ทำให้หลายๆ คนต่างหมดหนทาง”
“ใช่แล้ว! เขาสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ไว้ข้างๆ จวนตระกูลเฟิ่งไม่ใช่หรือ? ได้ยินว่าช่วงนี้กำลังตกแต่งอยู่ เหมือนแค่รอหาฤกษ์งามยามดีเข้าบ้าน”
“ตระกูลกวนนั่นเดาว่าต้องเสียดายแทบตาย”
“ฮ่าๆ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
“คุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลเฟิ่งคนนั้นช่วงนี้ไม่เคยเห็นโผล่มาเลย คล้ายจะบอกว่าออกไปฝึกฝนวิชางั้นรึ?”
“นึกถึงคุณหนูตระกูลเฟิ่งช่างทำให้รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะให้ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งยกเลิกการหมั้นหมายกับท่านอ๋องสาม หรือนางไม่กลัวว่าใบหน้าเสียโฉมแล้วหลังยกเลิกการหมั้นนี้ไปจะขายไม่ออกรึ?”
“ขายไม่ออกแล้วยังไง? จวนตระกูลเฟิ่งมีนางเป็นสายเลือด ต่อให้ไม่แต่งงานจวนตระกูลเฟิ่งก็เลี้ยงไหว แต่ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องสามไม่ยอมถอนหมั้นไม่ใช่หรือ? เรื่องนี้เหมือนจะยังประวิงเวลาไว้”
“ท่านอ๋องสามเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นเดียวกันของแคว้นแสงสุริยันเรา อันที่จริงคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งได้แต่งงานกับเขาก็นับว่าโชคดีไปสามชาติ ไม่รู้จริงๆ ว่านาง…”
คนคนนั้นพูดๆ อยู่ สายตาชำเลืองมองไปโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็เบิกดวงตาโตด้วยความตกตะลึง
สองคนข้างกายเห็นท่าทางจึงหันกลับไปมอง พอเห็นก็เบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ นอกจากความเหลือเชื่อยังมีความอึดอัดใจอยู่บ้าง พวกเขาไม่นึกว่าคำพูดลับหลังนี้จะถูกคู่กรณีได้ยินเข้า
ฟังคำพูดพวกนั้น เฟิ่งจิ่วยิ้มเบาๆ เหลือบมองสองสามคนนั้น แล้วขี่เหล่าไป๋ไปยังจวนตระกูลเฟิ่ง
ที่แท้พี่ชายเธอก็กลายเป็นอันอับหนึ่งในรายชื่อตลาดมืดภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงนี้ ซ้ำยังซื้อคฤหาสน์ ไม่เลวเลยจริงๆ
ส่วนเรื่องการหมั้นหมายกับมู่หรงอี้เซวียน… กลับไปค่อยแก้แล้วกัน!
รอนางเดินไปไกล นานสักพักคนพวกนั้นถึงจะผ่อนคลายจิตใจลงมา พูดอย่างติดอ่างว่า “นั่น นั่นคุณหนูใหญ่จวนตระกูลเฟิ่งเฟิ่ง เฟิ่งชิงเกอนี่? หน้านางหายดีแล้วรึ?”
“ดูท่าทางจะหายแล้ว บอกว่าออกไปฝึกวิชา เดาว่าคงไปหาหมอรักษาใบหน้า”
อีกคนหนึ่งพูดจบ ในดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึงในความงาม “สมกับเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นแสงสุริยันเราจริงๆ รูปโฉมและท่าทางระดับนี้ ช่างน่าตะลึงโดยแท้…”
เพราะเหล่าไป๋ที่เฟิ่งจิ่วขี่อยู่ทั้งคล้ายมังกรและเหมือนม้าจึงเด่นชัดอย่างยิ่ง ประกอบกับใบหน้าที่คืนสถาพ รูปลักษณ์อันงามเลิศจึงทำให้คนเห็นต่างพากันอุทาน
“นั่นคุณหนูตระกูลเฟิ่งเฟิ่งชิงเกอไม่ใช่รึ?”
“รีบดูเร็ว! ใบหน้านางที่เสียโฉมหายดีแล้ว”
ชาวบ้านในเมืองอวิ๋นเยวี่ยที่คุ้นเคยกับนางมีมากมายนัก ตลอดทางที่เดินไปยังจวน ทุกที่ที่ผ่านล้วนมีเสียงอุทานและพูดคุยของพวกชาวบ้าน
“พวกเจ้ารู้หรือไม่? คุณหนูตระกูลเฟิ่งเฟิ่งชิงเกอกลับมาแล้ว! หน้านางก็ดีขึ้นด้วย…”
พูดกันไปปากต่อปากจากหนึ่งไปสิบ จากสิบไปร้อยเช่นนี้ ไม่ต้องใช้เวลานานนัก แต่ละฝ่ายก็ล้วนได้ยินข่าว
มู่หรงอี้เซวียนในจวน
มู่หรงอี้เซวียนหลังโต๊ะหนังสือลุกยืนขึ้น มองทหารอารักขาคนนั้นด้วยนัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ ถามว่า “เจ้าบอกว่าชิงเกอกลับมาแล้วรึ?”
“ขอรับ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งกลับมาแล้ว เพราะขี่ม้าแปลกๆ ตัวหนึ่งเดินผ่านบนถนนใหญ่ คนจึงเห็นกันไม่น้อย หนำซ้ำใบหน้าที่เสียโฉมก็หายดีด้วยขอรับ”
ทหารอารักขาพูดจบ เพียงรู้สึกว่าข้างกายมีสายลมโผผ่านไปชั่ววูบ เงยหน้ามองไปก็ไม่เห็นร่างนายท่านเสียแล้ว
……………………………………………