Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 330

№ 330 มักใหญ่ใฝ่สูง!

ผู้เฒ่าหยุดฝีเท้าลงหันกลับไปมองนาง

เฟิ่งจิ่วลุกยืนขึ้น เดินหาเขาพร้อมพูดเสียงเบา “ให้หลานไปก็ได้ ท่านปู่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านพ่อเถอะ”

“เจ้าจะไป?” ผู้เฒ่าแปลกใจเล็กน้อย กังวลอยู่บ้างว่านางจะรับมือไม่ไหว

“ก็แค่พวกเครือญาติสาขา หรือท่านปู่พะวงว่าข้าจะรับมือไม่ได้?” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ สะบัดแขนเสื้อเบาๆ ก่อนจะก้าวไปยังห้องโถงใหญ่ด้านหน้า

และเวลานี้เอง คนที่รออยู่ในห้องโถงหน้าหมดความอดทนแล้ว

“ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก? ไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลยกระมัง?”

“จริงด้วย พอเฟิ่งเซียวล้มไป ก็ไม่รู้แม้วิธีการรับแขกเลยรึ?”

ได้ยินหลายคนในห้องโถงกำลังพูดถึงด้วยความไม่พอใจ ชายชราที่ในมือถือไม้เท้านั่งตัวตรงหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นตะโกนดังลั่น “หุบปาก!”

พอเสียงนี้เปล่งออกมา คนในห้องโถงเงียบลง ไม่มีใครส่งเสียงอะไรอีก จนกระทั่งเสียงพ่อบ้านแว่วมาจากด้านนอก

“คุณหนูใหญ่มาแล้วขอรับ!”

ได้ยินคำพูดนี้ กลุ่มคนในห้องโถงต่างมองไปทางร่างที่เดินมาจากข้างนอก

เพียงเห็นผู้มาสวมชุดกระโปรงสีขาว สัดส่วนเพรียวบางอ้อนแอ้น เดินมาช้าๆ ด้วยย่างก้าวนวยนาดและสง่างาม ทุกก้าวของนางกระโปรงสีขาวจะพลิ้วไหวกระจายออกราวกับเกลียวคลื่น ช่างงดงามจริงๆ

มองไปข้างบนอีก จะเห็นรูปโฉมงามเลิศไร้ที่ติ ผิวขาวผ่องดั่งหิมะเสริมให้ใบหน้างดงามยิ่งโดดเด่นเป็นที่สุด เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้คนจำได้ไม่ลืม

ลองคิดแล้วก็จริง สามารถถูกเรียกขานว่าหญิงงามอันดับหนึ่ง รูปโฉมย่อมเทียบไม่ได้กับหญิงงามทั่วไป

เพียงแต่คำร่ำลือก็เรื่องหนึ่ง เมื่อเห็นนางกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าบนร่างนางมีมนตร์เสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้ และเสน่ห์นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปลักษณ์ที่งดงามแม้แต่น้อย

ขณะที่มองนาง ความคิดทุกคนก็ย้อนกลับมา ลองคิดว่าสาวน้อยผอมบางอ้อนแอ้นเช่นนี้จะมีความสามารถแบกรับทั้งตระกูลเฟิ่งไว้ได้อย่างไร?

นึกถึงตรงนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคิดถูกที่มาที่นี่กันวันนี้

“ชิงเกอคารวะท่านอารองและท่านอาทั้งหลาย” เธอคารวะให้ชายชรารวมถึงชายวัยกลางคนอีกสองสามคนในห้องโถง ก่อนจะเดินมานั่งที่นั่งตำแหน่งอาวุโส

“ทำไมเป็นเจ้า? ท่านปู่เจ้าล่ะ?” ชายชราเอ่ยปากถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำ มีความไม่พอใจที่ถูกปฏิบัติด้วยไม่ดีอยู่บางส่วน

“หลายวันนี้ในจวนมีเรื่องมากมาย ท่านปู่งานยุ่งทั้งในและนอก ร่างกายรับไม่ไหวเท่าไหร่นัก ตอนนี้จึงกำลังพักผ่อนเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเธออ่อนโยน ทำนองเนิบนาบ ประหนึ่งคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงไว้แต่ในห้องจึงไม่รู้ความอะไร

เธอในตอนนี้ช่างให้ความรู้สึกอ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัย

ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดนาง ชายชราชำเลืองมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราได้ยินเรื่องพ่อเจ้าแล้ว เพราะได้ยินข่าวถึงตั้งใจรีบมา ต้องรู้ไว้ว่าถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นญาติสายเลือดตระกูลเดียวกัน ยามนี้จวนตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่อง พวกเราย่อมเฝ้านิ่งดูดายไม่ได้”

ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วยกน้ำชาที่ข้ารับใช้ส่งให้มาจิบเบาๆ อึกหนึ่ง ปกปิดรอยยิ้มเย้ยหยันที่คลี่ตรงริมฝีปากไว้ หลุบตาลงครึ่งหนึ่งพลางดื่มชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ชายชราเห็นนางไม่ปริปาก จึงพูดต่อไปว่า “ต้องรู้ไว้ว่าแคว้นไม่อาจขาดกษัตริย์ ตระกูลไม่อาจขาดผู้นำ ยามนี้พ่อเจ้าล้มป่วย ปู่เจ้าก็อายุมาก ซ้ำตัวเจ้ายังเป็นลูกสาวคนเดียว ดังนั้นครั้งนี้ข้าเลยมาเพราะอยากปรึกษากับปู่เจ้าเสียหน่อย ว่าจะเสนอให้พี่น้องของพ่อเจ้ามาดูแลตระกูลเฟิ่งเราไปก่อน เพื่อให้ทั้งจวนมั่นคง ด้วยกำลังระดับบรรพชนนักรบ มีเพียงเขาที่รับงานสำคัญเช่นนี้ได้”

………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!