Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 368

№ 368 ลากเจ้ามาเป็นแพะรับบาป!

ถึงอย่างไรหลัวอวี่ก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับยอดปรมาจารย์ ทันทีที่ถูกผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังสี่ห้าคนนั้นจ้องมองอย่างโกรธเคืองเพียงรู้สึกว่ามีแรงกดดันมหาศาลโจมตีมาทางเขา หัวใจสั่นไหวโดยไม่อาจควบคุม ร่างกายยิ่งขยับไม่ได้ภายใต้แรงกดดันนั้น แม้แต่พูดยังทำไม่ได้

เฟิ่งจิ่วเห็นภาพนี้ก็นิ่งอึ้งไป เพราะกระบอกดินปืนที่หลัวอวี่โยนออกไปมีอานุภาพร้ายกาจมากเสียจนทำให้พื้นดินตรงนั้นระเบิดออกเป็นหลุมใหญ่ ลายเลือดพวกนั้นถูกทำลายแล้วเชื่อมต่อกันขึ้นมาใหม่ ส่วนผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังทั้งสี่แต่ละคนหัวเปรอะขี้เถ้าหน้าเปื้อนดินตัวเลอะเท้าถ่าน เส้นผมล้วนมีกลิ่นไหม้ลอยออกมาอยู่บ้าง

ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาทุกคนจะโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ เดาว่าหากไม่เห็นอยู่ในฐานะคนของตนหลัวอวี่คงถูกรุมทึ้งเป็นแน่

“เจ้าหนูโยนให้แม่นๆ หน่อยไม่ได้หรือ? โยนไปทางตาแก่โน่น!” หนึ่งในพวกนั้นก่นด่าพลางชี้หัวหน้าที่ตัวเปื้อนเท้าถ่านเช่นกันคนนั้น

ได้ยินคำพูดนี้ หลัวอวี่นิ่งงันเนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับมา พยักหน้าอย่างมึนงง “โอ้ ขอรับ งั้นตอนข้าโยนพวกท่านก็หลบออกไปหน่อย มิเช่นนั้น…” เขากลืนน้ำลาย พลันรู้สึกว่าสายตาคนพวกนี้แปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัวเพราะคำพูดเขา

“หลัวอวี่ เจ้าถอยไปนอกค่ายกลก่อนเถอะ” เฟิ่งจิ่วหยิบกระบอกระเบิดสองสามอันที่เขากอดไว้ในอ้อมแขนมาทันใด คิดว่าหากเข้าใกล้ไม่ได้ใช้ระเบิดไปตรงๆ ก็ทำลายดวงตาค่ายกลนั้นได้เช่นกัน

“ขอรับ นายท่านระวังตัวด้วย อานุภาพมันรุนแรงมาก ท่านต้องหลบออกมาบ้าง” หลัวอวี่กำชับจากนั้นค่อยถอยออกไปไกลร้อยเมตรอย่างรวดเร็ว เพราะล้วนมีแต่ผู้แข็งแกร่งระดับหลอมแก่นพลังสู้กันอยู่จึงทนพลังพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ

“พวกท่านล้อมเขาไว้ รอข้าทำลายดวงตาค่ายกลได้กำลังเขาจะลดลงมาก!” เธอตะโกนไปทางผู้ฝึกตนสี่คนนั้น ขณะเดียวกันก็ตวัดกระบี่คมในมือปล่อยพลังกระบี่จู่โจมตัดไปทางหัวกะโหลกที่ล้อมอยู่รอบๆ ดวงตาค่ายกลนั้นในแนวตั้ง

“ฟิ้ว!”

“ผัวะๆๆ!”

พลังกระบี่แนวครึ่งโค้งโจมตีออกไปพุ่งชนหัวกะโหลกพวกนั้นเสียงดังสนั่น ทว่าหลังจากฝุ่นควันตลบลงกลับเห็นหัวกะโหลกนั้นโดนเลือดที่ผุดขึ้นจากผืนดินโอบล้อมไว้ สองช่องดวงตาที่เดิมเคยกลวงโบ๋ยามนี้มีแสงแปลกๆ สีแดงเลือดปะทุออกมา แล้วหนึ่งในนั้นก็ลอยขึ้นมาโจมตีเฟิ่งจิ่ว

ยามนี้เฟิ่งจิ่วตกใจเล็กน้อย ไม่นึกว่าแรงต้านทานของหัวกะโหลกนี่จะแกร่งเช่นนี้ แม้แต่พลังกระบี่คมพยับยังทำลายพวกมันไม่ได้

จริงๆ แล้วที่เธอไม่รู้ก็คือแรงต้านทานของหัวกะโหลกหาได้แข็งแกร่งไม่ ที่แข็งแกร่งมีเพียงเลือดที่ห่อหุ้มมัน เลือดที่รวบรวมวิญญาณไว้นับไม่ถ้วนนั่นเองที่กำลังต่อต้าน ดวงตาค่ายกลคือจุดอ่อนของค่ายกลนี้หากทำลายมันวิญญาณนับร้อยภายในค่ายกลวิญญาณโลหิตก็จะมลายกลายเป็นหมอกควัน ด้วยเหตุนี้ต่อให้ไม่มีแรงกระตุ้นจากหัวหน้าคนนั้น และถึงแม้จะเกรงกลัวแรงกดดันเทวะในตำนานบนร่างนาง ยามนี้พวกมันมีเพียงต้องฝืนยืนหยัด

เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วจึงจุดกระบอกระเบิดในมือโยนออกไป อันหนึ่งโยนหาหัวกะโหลกพวกนั้น ส่วนอีกอันโยนไปยังดวงตาค่ายกลตรงกลาง จากนั้นค่อยถอยห่างอย่างรวดเร็ว ขณะที่ถอยออกเพียงได้ยินเสียงตู้มดังสนั่นสองเสียงลอยมาจากด้านหลัง อานุภาพรุนแรงแม้แต่ฝุ่นดินบนพื้นยังลอยฟุ้งขึ้นมา

“อั่ก!”

ชายชราที่คิดจะเข้าไปกลับถูกผู้ฝึกตนทั้งสี่ล้อมไว้พลันกระอักเลือดออกมา กลิ่นอายประกายเลือดบนร่างค่อยๆ อ่อนลง สักพักร่างกายก็เหมือนจะแก่หง่อมขึ้นมา แม้แต่ผิวหน้ายังเหี่ยวย่นขึ้นตามมา

หลังจากรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ปฏิกิริยาแรกของเขาคือความหวาดหวั่น จากนั้นคือความไม่ยอมและความโกรธแค้น สายตาจับจ้องเฟิ่งจิ่วนิ่งๆ แล้วตะคอกด้วยความเกลียดชังถึงที่สุด “เจ้าตัดโอกาสชีวิตข้า แม้ตายข้าก็จะลากเจ้ามาเป็นแพะด้วย!”

…………………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!