Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 392

№ 392 คร่าชีวิต!

ม่านตาชายชราคนนั้นหดลง กลิ่นอายแห่งความตายปกคลุมลงมา หัวใจเขาหล่นไปที่ตาตุ่ม อยากจะส่งเสียงกรีดร้อง ลำคอกลับเหมือนถูกสองมือบีบไว้แน่น เปล่งเสียงออกมาไม่ได้แม้แต่น้อย

ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังคนนั้นไม่ได้แตะต้องเขา เพียงใช้มือที่กางออกควบคุมกลิ่นอายพลังวิญญาณให้บีบรัด ก่อนจะได้ยินเสียงกระดูกแตกหักที่ชัดเจนและน่าสะพรึงดังมา

“กร๊อบ!”

กะโหลกศีรษะถูกกลิ่นอายที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าห่อหุ้มเอาไว้ สมองระเบิดออกมากระเซ็นลงพื้นตามท่ามือของผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง ทั้งเหี้ยมโหดและน่ากลัว..

“อ๊าก!”

ชายชราอีกคนเห็นภาพเช่นนี้หน้าก็ซีดเผือด พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง คิดจะหนีออกจากวงล้อมของพวกเขา ทว่าไม่ถึงชั่วพริบตา ร่างทั้งสามก็ขึ้นมาขวางอยู่เบื้องหน้าแล้ว ความหวาดกลัวและเสียขวัญที่มาจากจิตวิญญาณทำให้สองขาเขาสั่นเทิ้มอ่อนระทวย ทรุดลงไปคุกเข่า

“อย่า อย่าฆ่าข้าเลย…”

วรยุทธ์ยิ่งสูงยิ่งกลัวตาย พวกเขามีอายุขัยมากกว่าคนปกติ และมีพลังที่แกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป ฐานะโดดเด่น เรียกลมเรียกฝนได้ดังใจ เขายังเสพสุขกับทุกสิ่งที่พลังนำมาให้ตนไม่มากพอ จึงไม่อยากตาย…ไม่อยากตาย…

“คุณหนูใหญ่เฟิ่ง คุณหนูใหญ่เฟิ่งไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย…”

เขาพลันหันกลับไปคำนับเฟิ่งจิ่วที่เดินมาอย่างเชื่องช้า ยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับบรรพชนนักรบผู้ยิ่งใหญ่ เวลานี้กลับร้องไห้อ้อนวอนอยู่บนพื้นราวกับคนขี้ขลาด ไม่ใช่ว่าไม่อยากสู้ แต่กำลังของศัตรูแข็งแกร่งเกินไป แค่แรงกดดันยังทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ แล้วจะสู้ได้อย่างไร?

หากรู้ว่าจวนตระกูลเฟิ่งเก็บซ่อนพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ไว้ อย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าคิดร้ายกับเฟิ่งเซียว! ยามนี้ภัยร้ายมาถึงตัว ในห้วงความคิดเขาว่างเปล่า คิดแต่ว่าจะรอดชีวิตไปได้อย่างไร?

แต่ในเมื่อรู้พลังที่จวนตระกูลเฟิ่งเก็บซ่อนไว้แล้ว นางจะให้เขารอดไปได้เช่นไร?

เฟิ่งจิ่วเดินไปไม่ใกล้นัก มองชายชราที่คุกเข่าร้องขอความเมตตาอยู่บนพื้น แววตาทั้งเฉยเมยและเยียบเย็น “ไว้ชีวิตเจ้า? เช่นนั้นใครเล่าจะไว้ชีวิตตระกูลเฟิ่งข้า หากพ่อข้าไม่ได้มีวาสนาดี ครั้งนั้นคงตายอยู่ในเงื้อมมือพวกเจ้าแล้ว จะให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าหรือ?”

ได้ยินคำพูดนี้ ชายชราสะดุ้งตกใจ “คุณหนูใหญ่เฟิ่ง ไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่พวกเราจริงๆ ขอรับ พวกเราแค่ทำตามคำสั่งของมู่หรงป๋อ ไม่ได้อยากฆ่าแม่ทัพเฟิ่ง จริงๆ นะขอรับ ไม่ได้อยากทำจริงๆ พวกเราโดนบังคับ…”

เขายังพูดไม่ทันจบ เฟิ่งจิ่วก็หันตัวเดินไปแล้ว เวลาเดียวกันนี้ มือคู่หนึ่งซัดลงบนกะโหลกศีรษะเขา ร่างชายชราคนนั้นล้มลงไปและจบชีวิตลง…

“หลังจากจัดการศพเรียบร้อย พวกท่านกลับไปเวิ้งสวนท้อก่อน” เฟิ่งจิ่วพลิกตัวขึ้นม้า กอดฉิวฉิวในอ้อมกอดมุ่งหน้าไปในเมือง

ควบม้ามาสองสามวัน ล่อพวกเขาออกมาและปลิดชีพเรียบร้อย พรุ่งนี้ในที่สุดก็จะได้นอนตื่นสายแล้ว

พ่อบ้านเห็นว่าวันนี้เฟิ่งจิ่วกลับมาเร็วเพียงนี้ จึงเข้าไปคารวะ บอกยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใหญ่ วันนี้ไม่ทันไรก็กลับมาแล้วหรือขอรับ?”

“อืม” เธอยิ้มกลับไป วางสัตว์เลี้ยงตัวน้อยในอ้อมกอดลงบนพื้น แล้วบอกพ่อบ้านว่า “ช่วยเตรียมอาหารดีๆ ให้เหล่าไป๋กับฉิวฉิวที”

“ขอรับ คุณหนูวางใจได้ ข้าน้อยจะไปสั่งให้ขอรับ” พ่อบ้านยิ้มรับ หลังคารวะก็พาเหล่าไป๋กับฉิวฉิวออกไป

เห็นเช่นนี้เฟิ่งจิ่วจึงไปยังเรือนหลัก เมื่อมาถึงก็เห็นพวกองครักษ์อาวุโสจำนวนหนึ่งของบิดาเฝ้าอยู่ในลาน เธอพยักหน้าไปทางพวกเขาแล้วจึงเดินเข้าเรือน

“เสี่ยวจิ่ว วันนี้กลับมาเร็วถึงเพียงนี้เชียว?” เฟิ่งเซียวกำลังกินข้าวต้มยา เห็นนางกลับมาไวเพียงนี้จึงแปลกใจอยู่บ้าง

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!