№ 489 คนที่ถูกลืม
เฟิ่งจิ่วมึนงงไปทันที คนคนนี้ชอบจับประเด็นเรื่องนี้ไม่ปล่อยเลย? แม้คืนนั้นเธอจะลวนลามเขาไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้จู่โจมเขาไม่ใช่หรือ? อีกอย่าง ใครกันบอกว่าเหล้านั้นฤทธิ์แรงมาก จากนั้นหลังได้ยินนางบอกว่าจะไม่ทำอะไรรุ่มร่ามยังเสริมอีกว่ามีเหล้ามากพอ?
ชัดเจนว่าเขามีเจตนามิดีมิร้าย โดนเธอเอารัดเอาเปรียบกลับไม่ว่าอะไร
เอ่อ อันที่จริงเธอคิดว่าหากคืนนั้นตนไม่อาเจียนใส่เขา เดาว่าคนที่โดนเอาเปรียบคงกลายเป็นเธอเองจริงๆ
ดังนั้นภายหลังมาคิดๆ ดูแล้วเธอถึงสบายใจได้ ใครใช้ให้เขาคิดมิดีมิร้ายก่อนเล่า?
ยามออกจากเรือน ฮุยหลางกับอิ่งอีก็ตามหลังพวกเขาสองคนไป ส่วนเหลิ่งซวงที่รู้ว่าเฟิ่งจิ่วจะเข้าวังก็ล่วงหน้าไปเตรียมรถม้า ถึงอย่างไรจากที่นี่ไปพระราชวังยังห่างกันหนึ่งช่วงถนน แน่นอนว่าเดินเข้าไปไม่ได้
ทว่าเพิ่งออกจากประตูใหญ่จวน ก็เห็นกวนสีหลิ่นเดินมารับหน้า
“เสี่ยวจิ่ว? ข้ากำลังจะไปหาเจ้าพอดีเลย!” เมื่อเห็นนางกวนสีหลิ่นก็ฉีกยิ้มกว้าง เห็นเจ้าตำหนักยมราชอยู่ข้างๆ จึงประสานมือคารวะและเอ่ยปากทักทาย
“พี่สีหลิ่น ตอนนี้ท่านควรอยู่ตลาดมืดไม่ใช่หรือ? มาได้ยังไง?” เธอถามพลางเดินไปหาเขา
“อืม ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า ตอนนี้เจ้ามีเวลาหรือไม่?” สายตาเขาหันมองเฟิ่งจิ่วกับเจ้าตำหนัก สองคนนี้คงไม่ได้นัดกันออกไปเดินเล่นกระมัง?
“ข้ากำลังจะเข้าวัง มีเรื่องต้องบอกกับท่านพ่อ ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่? พวกเราจะได้คุยกันระหว่างทาง” เธอส่งสัญญาณไปทางรถม้าข้างๆ กัน
กวนสีหลิ่นที่กำลังจะพยักหน้าหางตาเหลือบเห็นสายตาของเจ้าตำหนักที่กวาดมองมา แล้วมองรถม้าคันนั้นอีกที จากนั้นยิ้มเหยเกโดยพลัน “เช่นนี้เอง! ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย! อืม ข้าขี่ม้าไปก็ได้ พวกเจ้าสองคนนั่งรถม้าไปเถอะ!”
“รถม้าคันนี้กว้างมาก นั่งสามคนได้ไม่เป็น…” ขณะกำลังพูดก็ถูกตัดบท
“สายแล้ว เดินไปคุยไปเถอะ!” ระหว่างพูด เจ้าตำหนักยมราชก็สาวเท้าเหยียบขึ้นรถม้า เข้าไปเสียเอง
กวนสีหลิ่นเห็นเช่นนี้เลยรีบร้อนบอก “เสี่ยวจิ่ว เจ้าขึ้นรถม้าไปเถอะ พวกเราไปคุยในวังก็ได้เหมือนกัน” แรงกดดันจากเจ้าตำหนักคนนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะรับไหว หากเขากล้านั่งรถม้าคันเดียวกับพวกเขา เดาว่าคงหนาวตายระหว่างทางเพราะไอเย็นจากร่างเจ้าตำหนัก
“ก็ได้! ถึงวังแล้วค่อยคุยกัน” เธอยิ้มๆ ไม่ฝืนบังคับเขา จากนั้นถึงจะขึ้นรถม้าไป
เหลิ่งซวงคุมรถ ฮุยหลางกับอิ่งอีตามอยู่ซ้ายขวา ส่วนกวนสีหลิ่นสั่งในจวนจูงม้าออกมาตัวหนึ่ง แล้วตามพวกเขาไปยังพระราชวัง
เวลานี้ที่พระราชวัง ภายในตำหนักที่เฟิ่งเซียวอยู่ หลังจัดการราชกิจเสร็จก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เขาในเวลานี้ไร้ซึ่งความสง่างามเด็ดเดี่ยวเช่นตอนปกติ
ในมือเขาถือปิ่นหยกขาวประดับอัญมณีสีม่วง เขาใช้ปลายนิ้วแตะปิ่นหยกขาวประดับอัญมณีสีม่วงอันนั้นเบาๆ ราวกับสัมผัสคนรักอย่างเบามือ ยามนี้ในดวงตาเขามีความคิดถึง อ่อนโยน และเจ็บปวดที่ปกติไม่เคยเผยให้เห็นปรากฏขึ้น…
“หวั่นหรง ลูกสาวเราโตขึ้นแล้ว เจ้ารู้ไหม นางโดดเด่นมากจริงๆ หากเจ้าอยู่ข้างกายพวกเราได้คงดีมาก…”
เขากระซิบเบาๆ เสียงสะอื้นเล็กน้อย ชายชาตรีจะไม่เสียน้ำตาโดยง่าย แต่เวลานี้เบ้าตาเขากลับมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ
หลายปีเพียงนี้แล้ว ความทรงจำที่ไม่ควรถูกลืมโดนฝุ่นเกาะ คนในดวงใจที่ไม่ควรลืมเลือนกลับไม่ได้นึกถึงมานานหลายปี ในใจมีทั้งความละอาย เจ็บปวด และมีความอาลัยอาวรณ์ที่เปี่ยมล้น
หากนางอยู่ข้างกายเขาจะดีแค่สักไหนกัน?
……………………………….