№ 836 สำนักคุมสัตว์
บริเวณป่าที่ภูเขาด้านหลัง พวกเฟิ่งจิ่วยังไม่ทันเข้าใกล้ เพียงเห็นไป๋เสี่ยวเดินเข้าไปด้านในและหยุดฝีเท้าลงตรงประมาณสามสิบจั้ง จากนั้นหยิบอะไรออกมาไม่รู้ ได้ยินแค่ว่ามีเสียงคล้ายเครื่องดนตรีลอยมา
เสียงนั้นลอยละล่องไปโดยมีไป๋เสี่ยวเป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อเสียงกระจายออกไป ก็มีกระแสอากาศที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมเบาๆ แผ่ออกไปทีละวงราวกับลายน้ำ…
พวกเขาฟังแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่กลืนเมฆาที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าข้างๆ กลับยืดตัวตรงขึ้นมาหลังได้ยินเสียงนั้น แล้วมองไปทางไป๋เสี่ยว
เฟิ่งจิ่วสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของอสูรกลืนเมฆา แววตาสั่นไหวเล็กน้อย สายตาหยุดลงตรงหน้านั้น เพียงเห็นว่าในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ สัตว์วิญญาณและสัตว์ร้ายยี่สิบกว่าตัวก็วิ่งออกมาจากในป่า
สัตว์วิญญาณและสัตว์ร้ายยี่สิบกว่าตัวนั้นเหมือนจะไม่มีความฮึกเหิมและดุร้ายกระหายเลือดอย่างที่พวกมันควรมี มากันอย่างบ้าคลั่ง ครั้นมาถึงข้างกายไป๋เสี่ยวกลับเดินวนรอบเขา แต่ละตัวร้องเบาๆ เสือร้ายตัวหนึ่งในนั้นยังโน้มตัวลงให้ไป๋เสี่ยวขึ้นไปนั่ง
ไป๋เสี่ยวเป่าคาถาคุมสัตว์ก่อนขี่เสือร้ายตัวนั้นมายังเบื้องหน้าเฟิ่งจิ่ว แล้วถึงจะขยับของตรงริมฝีปากออก มองไปยังเฟิ่งจิ่วด้วยใบหน้าเผยรอยยิ้ม “คุณชาย พวกระดับเก้าลงไปข้าควบคุมได้หมด แต่ระดับเก้าขึ้นไปข้าต้องฝึกฝนวิชาคุมสัตว์ของตระกูลถึงชั้นที่หกถึงจะทำได้”
เฟิ่งจิ่วมองเสือร้ายตัวนั้นที่ไม่มีพันธสัญญาและเป็นพาหนะให้เขาอย่างเชื่องๆ พลางพยักหน้า “ไม่เลว ก้าวหน้าเร็วมากจริงๆ เจ้ามีสิ่งนี้ติดตัว แม้สู้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
สายตาเธอมองผ่านร่างสัตว์อสูรพวกนั้น ในหัวกลับกำลังคิดว่าทักษะคุมสัตว์ของไป๋เสี่ยว เมื่อฝึกฝนแล้วการคุมสัตว์อสูรจะเทียบเท่าหนึ่งกองทัพ หากต้องสู้กันเป็นกลุ่ม การคุมสัตว์นี้ก็ช่วยได้มากจริงๆ
ยามนี้สายตาของยมราชน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายเฟิ่งจิ่วหยุดลงบนร่างไป๋เสี่ยวพักหนึ่งถึงจะละออกไป
“ในตระกูลเจ้ามีกี่คนที่คุมสัตว์เป็น?” เฟิ่งจิ่วเอ่ยถาม
“ท่านปู่ข้าขอรับ ยังมีท่านพ่อด้วย แต่เขาบาดเจ็บถึงแก่นพลังทอง ไม่มีทางฝึกวิชาคุมสัตว์ของตระกูลเราได้แล้ว หนำซ้ำเพลงคุมสัตว์ยังเป่าไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้คนในตระกูลล้วนฝึกสัตว์อสูรเป็น แต่คุมสัตว์อสูรจะมีแค่ข้ากับท่านปู่”
เอ่ยถึงตรงนี้เขานึกดีใจอยู่บ้าง หากคุณชายไม่กดดันเขา ไม่รู้ว่าตนเองจะฝึกฝนวิชาคุมสัตว์ได้ถึงชั้นที่สี่หรือไม่ แต่นี่ก็ต้องยกความชอบให้ยาน้ำที่คุณชายมอบให้ด้วย
เขากำลังคิดว่าหากนำยานั้นมาให้ท่านปู่ได้ วิชาคุมสัตว์ของท่านปู่อาจจะพัฒนาขึ้นได้อีก แต่ก็รู้เช่นกันว่าถ้าไม่ใช่คนของตัวเองคุณชายจะไม่หยิบยาออกมาให้ และยาทุกขวดอยู่ด้านนอกล้วนเป็นของล้ำค่าที่ต้องแย่งชิง
“คุมสัตว์ต้องใช้เสียงควบคุมหรือ?” เฟิ่งจิ่วแปลกใจอยู่บ้าง มองไปยังมือของเขา “นั่นเครื่องดนตรีอะไร?”
ทว่ารอบนี้ไป๋เสี่ยวยังไม่ทันปริปาก ก็ได้ยินยมราชน้อยที่ยืนข้างกายเฟิ่งจิ่วเอ่ยขึ้น
“การคุมสัตว์ต้องใช้เสียงควบคุม แต่คนที่ฝึกฝนสำเร็จอย่างแท้จริงใช้แค่เสียงก็คุมสัตว์อสูรได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างเขาคงเป็นขั้นต่ำที่สุดในวิชาคุมสัตว์ ถึงต้องใช้เครื่องดนตรีมาควบคุม”
เฟิ่งจิ่วได้ยินก็มองเขาอย่างแปลกใจ “เจ้ารู้หรือ” จากนั้นค่อยคิดดูแล้วพยักหน้า “ก็ใช่ ในแปดจักรวรรดิใหญ่ไม่มีอะไรบ้าง? คงมีตระกูลนักคุมสัตว์ด้วยกระมัง?”
ยมราชน้อยเงยหน้ามองเธอเล็กน้อย บอกว่า “ในแปดจักรวรรดิใหญ่มีสำนักคุมสัตว์”
…………………