ภาคหลินชวน
ตอนที่ 1
ทะลุมิติ ยืมร่าง
หน้า 17 ของหนังสือสุภาษิตเล่มหนึ่งของจีนได้กล่าวไว้
ว่า จักรวาลนี้ประกอบด้วย
1.จักรวาลขนาดเล็ก
2.จักรวาลขนาดกลาง
3.จักรวาลขนาดใหญ่
แต่มีเพียงจักรวาลเดียวเท่านั้นที่พระอาทิตย์และพระจันทร์
สามารถส่องแสงไปถึง และจักรวาลนั้น มีชื่อว่าโลก
ในจักรวาลนี้มีโลกอยู่กี่ใบ มู่เกอไม่รู้หรอก เธอรู้เพียงว่า
เธอตายแล้วและร่างของเธอได้แตกสลาย แต่พอเธอได้
สติอีกครั้ง กลับรู้สึกถึงความอบอ้าวในช่องว่างที่มืดมน
และเต็มไปด้วยกลิ่น คาวเลือด………
หลินชวน คือชื่อของสถานที่แห่งนี้
เม็ดทรายปลิว ไปมาอยู่เหนือพื้น ดินที่รกร้าง ร่องที่เกิด
จากการขุดด้วยจอบเพื่อเตรียมทำการเกษตร ถูกท่วมไป
ด้วยโลหิตสดๆ
แสงประกายจากโลหิต สะท้อนขึ้น ไปยังท้อง
ฟ้าที่มืดครึ้ม พระอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้าถูกห่อหุ้มไปด้วยสี
แดงจนกลบความร้อนของมัน
ซากศพในชุดนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนนอนอยู่
อย่างสงบ รวมเป็นเนื้อ เดียวกับพื้นทรายสีเหลืองหรือใน
วินาทีที่ชีวิตของพวกเขาดับดิ้นลงก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของพื้น ที่รกร้างแห่งนี้ไปแล้ว
ทันใดนั้น พื้นที่ที่มีศพกองสูงเป็นภูเขา ก็มี
การเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ในช่องว่างบนกองศพ มีมือข้างหนึ่งที่อาบย้อมไปด้วย
โลหิต ร่องเล็บเต็มไปด้วยคราบเลือดสกปรก ดิ้นรนที่จะ
ยื่นออกมา ทั้งน่าหวาดผวาและน่ากลัว
มือข้างนั้น ยื่นออกมาเหนือกองศพ พอสัมผัสเข้ากับลม
เย็นที่พัดผ่านก็อดไม่ได้ที่จะสั่นขึ้นมาเบาๆ
จากนั้นมือข้างที่ย้อมแดงไปด้วยเลือดก็ใช้ดาบปัดศพที่
สัมผัสกับมือออก ไม่นานช่องว่างนั้นก็ใหญ่ขึ้น
“ฮู——–”
น้ำเสียงอึดอัดดังออกมาจากช่องว่างนั้นอย่างเลือนราง
เสียงนั้นที่ดังออกมา เป็นเสียงถอนหายใจราวกับว่าในที่
สุดก็ได้รับการปลดปล่อย และเหมือนเสียงที่อดทนจาก
ความเจ็บปวดที่บาดลึกถึงกระดูก
บนกองศพ กลางช่องว่างที่ถูกขยายจนใหญ่ขึ้น ด้วยฝีมือ
มนุษย์ มืออีกข้างที่ถูกย้อมแดงไปด้วยเลือดก็ยื่นออกมา
มือทั้งสองข้างออกแรงแข็งขันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยราว
กับเป็นเครื่องจักร ในที่สุด ในที่สุด ช่องว่างที่เดิมยื่นมือ
ออกมาได้เพียงข้างเดียว ก็ขยายใหญ่ถึงขนาดสามารถจุ
ร่างคนได้ทั้งคน
ศพที่กองสูงเป็นภูเขาในตอนแรก ก็ไหลเลื่อนตกลงรอบๆ
รวมไปกับกองศพ
“แค่ก แค่ก…………” สูบอากาศภายนอกเฮือกใหญ่
ด้วยความกระหาย แต่กลับส่งผลกระทบต่อช่วงอกทำให้
ไอออกมาอย่างรุนแรง
ร่างที่เล็กและผอมบาง งอขาทั้งสองข้างนั่งอยู่ใน “หลุม”
ที่ตนเองขุดขึ้น หลังพิงกับกองศพเงยหน้าขึ้น มองฟ้าสี
แดงในวันที่จันทร์เป็นสีเลือดนี้
สีดำ สีแดง คราบโลหิตและสิ่งสกปรกต่างๆ บดบังโฉม
หน้าของเธอ ปรากฏออกมาเพียงดวงตาที่สว่างและสด
ใสราวกับกระจ่างแจ้งในทุกสรรพสิ่ง บนโลกใบนี้
เธอสงบนิ่ง ชุดออกศึกสีแดงราวกับเปลวเพลิงในตอน
แรก มองไม่เห็นสีสันในตอนแรกและฉีกขาดจนไม่อาจใส่
ได้อีก
เธอนั่งพิงกองศพ กลิ่น คาวเลือดและเนื้อที่เหม็นเน่าวน
เวียนอยู่ที่ปลายจมูก แต่เธอไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่
น้อย ราวกับว่าคุ้นชินแล้วอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่
เพราะดวงตาใสกระจ่างเปี่ยมด้วยชีวิตทั้งคู่ เกรงว่าก็คง
ไม่มีอะไรแตกต่างจากซากศพที่เรียงรายอยู่รอบๆ
“ฉันตายแล้ว และกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกงั้นเหรอ?”
“ชิ—-!” เสียงสบถเย็นชา พ่นออกมาจากจมูก เธอยกมือ
ที่เปื้อนจนดูไม่ได้ขึ้นมาปัดเส้นผมซึ่งเปรอะไปด้วยคราบ
เลือดแห้งกรังที่ตกลงลงมาโดนใบหน้าด้วยท่าทางสง่า
งาม
ในบรรยากาศและสถานการณ์แบบนี้ ถ้าคนอื่นมาทำท่า
อย่างนี้ เกรงว่าคงจะชวนให้คนรู้สึกสยอง สะอิด
สะเอียน น่ารังเกียจ แต่ เมื่อเธอเป็นคนทำ กลับชวนมอง
และดูสูงสง่า
ความเงียบสงบ แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
ในดวงตาทั้งคู่ที่สว่างใสเป็นประกาย กลับผุดความโศก
เศร้าขึ้นมาจางๆ
แต่เพียงครู่เดียว ก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ใช่ เธอตายและคืนชีพขึ้นมาใหม่
ความตาย มันก็แค่เรื่องราวเก่าๆ ของความภักดีและการ
หักหลังบ้าบอ
ชาติที่แล้ว มีคนเปรียบเทียบว่าเธอสวยสะดุดตาดั่งดวง
จันทร์ ท่ามกลางหมู่ดวงดาว? หรือว่า นี้คือสาเหตุ ที่ทำ
ให้เธอต้องเดินทางมาพบกับจุดจบของชีวิต ความอิจฉา
ของมนุษย์ถ้ามันประทุออกมาก็สามารถทำลายโลกทั้ง
ใบได้
ในวินาทีนี้ สิ่ง เดียวที่เธอรู้ชัดคือ เธอยังมีชีวิตอยู่ ยัง
สามารถหายใจได้อย่างเต็มปอดสามารถสัมผัสได้ถึง
ความรู้สึกที่เลือดไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายราวกับกระดูกแตกหัก ทำ
ให้เธอเข้าใจถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่
เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกาย ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เห็นรอบๆ ตัว
กำลังบอกเธอว่า ที่นี่ไม่ใช่โลกใบเดิมที่ตนคุ้นเคย หรือว่า
ที่นี่อาจจะเป็นนรก? หรือเป็นโลกอีกใบที่ไม่มีใครรู้จัก?
“เฮอะ!”
รอยยิ้มกำเริบแฝงความโอหัง ผุดขึ้นที่มุมปากของเธอ
เผยให้เห็นฟันขาวเป็นระเบียบ
มือทั้งคู่ออกแรงดันกับพื้น ใช้แรงนี้ขยับตัวลุกขึ้น ไม่สนใจ
กระดูกทั่วร่างที่ส่งเสียงอย่างต่อเนื่อง เจ็บปวดเหมือน
เส้นเอ็นพันกัน แล้วเธอก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
เธอออกจากภูเขาศพที่ถมทับเธอไว้ได้ แต่ก็ยังยืนอยู่ท่าม
กลางกองศพมากมายอยู่ดี
เงาหลังที่ยืดตรงและมั่นคงจนแทบจะดูไม่ออกว่าเธอ
กำลังทนทุกข์ทรมานต่อความเจ็บปวด ราวกับว่า แม้ว่า
ฟ้าจะถล่มลงมา ก็ไม่สามารถทำให้หลังของเธองอลงได้
“ไม่ว่าจะเป็นนรกขุมไหนหรือว่าเป็นโลกของเทพมาร
อะไร ในเมื่อฉันมาแล้ว ถ้าฉันเป็นพระโพธิสัตว์……..ใต้
หล้านี้ต้องไร้มาร แต่ถ้าฉันเป็นมาร ถ้าอย่างนั้น……พระ
โพธิสัตว์จะทำอะไรฉันได้!
ฉันเป็นผู้ลิขิตชีวิตตัวเองไม่ใช่ฟ้า”
สิ่งที่ตามมากับเสียงอันมั่นคงนั่นคือหัวใจที่เต้นอย่าง
อ่อนแรงอยู่ในอก เริ่มเต้นแรงขึ้นเสียงหัวใจที่เต้นอย่าง
รุนแรงนั่นสะท้อนถึงความหัวแข็งไม่ยอมใคร เหมือน
เสียงฟ้าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู
เธอหายใจเข้าลึกๆ เมื่ออากาศที่เย็นเยียบแทรกเข้ามา
ร่างกาย ก็นำมาซึ่งความสุขอันเจ็บปวดชนิดหนึ่ง
เธอพลันหันหลัง ดวงตาอันสดใสมองกองศพที่เคยถม
ทับเธอเอาไว้อีกครั้ง สมองของเธอไม่ได้เลอะ
เลือนและไม่ใช่ไม่รู้ กลับกันเธอมีประสบการณ์มากมาย
แค่มองแวบเดียว ก็รู้ถึงสาเหตุการตายของนายทหารชุด
เกราะเต็มยศพวกนี้แล้ว
พวกเขาตายเพราะช่วยชีวิตเธอ
เพื่อปกป้องเธอ แผ่นหลังของทหารพวกนี้ถูกปักเต็มไป
ด้วยลูกธนูที่แหลมคม
ดูจากนิ้วมือทั้งสิบที่กำแน่น ท่าทางสุดท้ายของทหารทุก
นายที่กระโจนเข้าสู่จุดกึ่งกลางทำให้เธอมองเห็นความ
สิ้นหวัง โกรธแค้น ไม่ยินยอมและยังมีปณิธานที่จะยอม
สละชีวิต
แต่เสียดายพวกเขาสละชีวิต ใช้ศพเป็นร้อยเป็นพันศพ
สร้างหลุมหลบภัยที่มั่นคงและปลอดภัยให้เธอ แต่สุด
ท้ายกลับไม่สามารถปกป้องคนที่พวกเขาคิดจะปกป้อง
แต่กลับทำให้เธอได้กำไรไปเต็มๆ
ในเข็มขัดหนังที่คาดอยู่ตรงเอวของเธอมีไต้ไฟอยู่อันหนึ่ง
ของเล่นนี้คือไฟแช็คสมัยโบราณ แม้ว่าจะไม่เคยใช้มา
ก่อน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เธอดึงจุกออกด้วยท่าทางงามสง่า
รอให้ผงฟอสฟอรัสสัมผัสกับอากาศ เพื่อจะจุดไฟขึ้น
เปลวไฟลุกไหม้ขึ้น มาเต้นระริกอยู่บนไต้ไฟ
เธอไม่แม้กระทั่งจะมอง ยกมือขึ้น สะบัดมือออกไป
ไต้ไฟหมุนคว้างกลางอากาศสุดท้ายก็ตกบนภูเขาซาก
ศพนั่น
พรึ่บ___________!
แสงไฟลุกโชนขึ้นสู่ฟ้า ทำให้พวกเขาตกอยู่ท่ามกลาง
แสงไฟสีแดงส้ม
“ไหนๆ ก็จะมาสิงร่างของคนที่พวกนายต้องการจะปก
ป้อง ฉันจะไม่ทำให้พวกนายต้องกลายเป็นศพไม่มีญาติ
กองไฟนี้ถือเป็นการส่งพวกนาย ขอให้พวกนายไปสู่
สุคติ”
ปากขยับพึมพำแต่เสียงนั้นกลับมีความเยือกเย็นแปลก
ประหลาดและเกียจคร้านเยือกเย็นราวกับมีหิมะเพิ่มขึ้น
มาชั้นหนึ่ง ทำให้คนไม่กล้าดูถูก
กองไฟ แผ่ขยายไปในที่รกร้างแห่งนี้
เธอหันหลังกลับอย่างไร้เยื่อใย สิ่ง เดียวที่ส่งเธอจากไป มี
เพียงแสงไฟที่ลุกโหมอยู่ด้านหลัง
คนตายก็ตายไปแล้ว แต่เธอ ยังคงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!
กุบกุบ——– กุบกุบ———-
เสียงเกือกม้าเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนว่าในอีกไม่
กี่วินาที มันก็จะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
ดวงตากระจ่างใสเยือกเย็น เธอหยุดฝีเท้าที่กำลังจะเดิน
จากไป เงยหน้าขึ้นมองไปไกลๆ เห็นเพียงแค่ม้าเร็ว 10
กว่าตัวกำลังวิ่งมาทางเธอ
“ไวมาก!”
เธอหรี่ตา ม้าเร็วพวกนั้น วิ่งเร็วราวกับสายลม ความเร็ว
ระดับนี้มันมากกว่าความเร็วของม้าในนิยามของเธอ
“ลูกพี่ยังมีคนที่มีชีวิตอยู่ ”
เมื่อม้าเข้ามาใกล้ เสียงสนทนาก็ลอยแว่วมาเข้าหูเธอ
พร้อมสายลม
“จะเป็นหรือตายก็ช่างมัน สิ่งที่ข้าต้องการคือทรัพย์
สมบัติ ตอนนี้ทุกอย่างใต้ดวงตะวันนี้เป็นของข้า” เสียง
อันหยิ่งยโส มาพร้อมกับเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่ง
รู้กันอยู่แล้ว
มีคนอยู่จำพวกหนึ่ง ชอบคิดเอารัดเอาเปรียบกับคนตาย
เพื่อหาผลประโยชน์
“ลูกพี่ แล้วที่ยังมีชีวิตอยู่จะเอาอย่างไร?” ลูกน้องถามอีก
“มีชีวิตอยู่เหรอ?” เสียงที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็น ดังขึ้น
มา “หน้าตาดีหน่อยก็เอากลับไปขาย หน้าตาอัปลักษณ์
ก็ฆ่าเสีย จะพูดไร้สาระไปทำไมให้มากความ”
เอาไปขาย? ฆ่าทิ้ง ?
ตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อย สายตาคมกริบเลือดเย็นสาด
ประกาย มุมปากที่แห้งแตกของเธอปรากฏรอยยิ้มคล้าย
ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา__