Skip to content

พลิกปฐพี 14

ตอนที่ 14

งามเป็นหนึ่งในลั่วตู

มู่เกอเดินโดยไม่ได้นั่งรถซึ่งไม่เหมือนมู่ชิงเกอคนเดิม ที่มีทั้งคนและม้าตามไปทุกที่ ไปตลาดครั้งนี้เธอไม่ได้พาคนใช้ไปแม้แต่คนเดียว

เห็นแบบนี้ฉินจิ่วห้าวก็พาองครักษ์มาแค่คนเดียวเท่านั้น ป๋ายซีเยวี่ยที่ถูกชวนมาด้วยกัน ก็มีแค่ผ้าปิดหน้าและชุดสีขาวที่พลิ้วไหวไปมา ท่าทางงดงามเดินอยู่ข้างหลังเขาทั้งสองคน สาวใช้ส่วนตัวของนาง คอยปกป้องนางจากซ้ายและขวาและช่วยปิดบังเธอจากสายตาแอบมองจากรอบๆ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

มู่เกอเห็นท่าทางราวกับกวางน้อยขี้ตกใจของป๋ายซีเยวี่ยแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจ

ชวนนางมาด้วยไม่เพียงแค่มู่ซงที่ไม่เห็นด้วย กระทั้งสาวใช้ของเธอในแววตาก็ก็เขียนเอาไว้อย่าชัดเจนว่า ‘ไม่เห็นด้วย’

แต่ว่าเธอกลับไม่ได้ปฏิเสธ เธออยากจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างป๋ายซีเยวี่ยและฉินจิ่นจ้าวภายใต้การจับตามองของเธอ ยังมีอีก ท่า ทางเป็นห่วงเป็นกังวลที่ป่ายซีเยวี่ยแสดงออกมาต่อหน้าเธอเมื่อคืน แต่ทำไมวันนี้พอพบฉินจิ่นห้าว ก็เหมือนตรึงสายตาอยู่ที่ตัวเขาตลอด

หญิงสาวกำพร้าที่มาอาศัยอยู่ในตระกูลมู่นั้น ในใจกำลังคิดคำนวณอะไรอยู่ มู่เกอรู้สึกสงสัยมาก

ไม่เพียงแค่ป๋ายซีเยวี่ย ฉินจิ่นห้าวเองก็มีท่าทีแปลกๆ

ท่าทางเย็นชาของเขา ไม่เหมือนเจ้าชู้ แต่เขาก็ยังแสดงท่าทีสงสารออกมาอย่างชัดเจนแต่กลับแกล้งทำเป็นไม่สนใจ

‘เหอๆ มีแต่พวกหลอกลวงแท้ๆ’ ไม่ว่าจะเป็นป่ายซีเยวี่ย หรือฉินจิ่นห้าว มู่เกอก็ไม่ชอบตั้งแต่แรกเห็น

หรือว่านิสัยของเธอจะเหมาะกับคนซื่อๆ ตรงไปตรงมา

ลั่วตูมีถนนหลักอยู่ 9 สายที่ถือเป็นเส้นทางหลัก และสายอื่นๆ ที่แยกออกไปเหมือนใยแมงมุมอีกจำนวนนับไม่ถ้วน โดยมีพระราชวังเป็นศูนย์กลาง

ถนนหลักเป็นบริเวณที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของลั่วตู มีร้านค้าที่มีชื่อเสียงหลายร้านตั้งอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นตามภาษาบนโลกแล้วถนนสายหลักก็คือเขตการค้า แถมยังเป็นเขตการค้าคุณภาพสูงเสียด้วย

รายได้ของคนธรรมดาหนึ่งปี คงจะยังไม่พอค่าอาหารมื้อหนึ่งของร้านอาหารในตลาดหลักแห่งนี้

ที่ตามฉินจิ่นห้าวออกมา ไม่ใช่เพราะอยากได้ของขวัญจากเขา แต่เธออยากจะรู้ว่า ชายผู้สูงศักดิ์นี้ทำไมถึงได้อ่อนโยนกับเธอแบบนี้

ท่าทางที่เขามีให้เธอนั้นแตกต่างจากคนอื่น จึงทำให้ใจของมู่ชิงเกอคนเดิมเกิดความหวังไม่ใช่หรือ?

มู่เกอหันหลัง มองไปที่เงาโปร่งแสงที่ตามเธอมา จริงเสียด้วย สายตาทั้งคู่ของเธอนั้น พอออกจากจวนตระกูลมู่ก็เอา แต่จ้องมองฉินจิ่นห้าว

มู่เกอส่ายหน้าเงียบๆ ความสามารถในการดูคนของมู่ชิงเกอนั้น มู่เกอไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่า ฉินจิ่นห้าวสูงศักดิ์ หน้าตาหล่อเหลา เครื่องหน้าคมเข้ม เป็นชายที่หาได้ยาก และยังมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์ชาย แม้ว่าในอนาคตจะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ แต่ก็ยังเป็นท่านอ๋องคนหนึ่ง

ผู้ชายแบบนี้ช่างสมบูรณ์แบบตามความเพ้อฝันของสาวน้อยจริงๆ

แต่ว่า คนแบบนี้จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรักขนาดนั้นจริงหรือ? อย่างน้อย จากที่มู่เกอได้สัมผัสนิสัยใจคอของฉินจิ่นห้าวมาสองสามครั้ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีเป็นห่วงเธอออกนอกหน้าแค่ไหน เธอก็ยังมองไม่เห็นความอ่อนโยนและความจริงใจในดวงตาของเขา

เลย

ทุกอย่างก็เป็นแค่การแสดงละครเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์เท่านั้น หลงรักคนแบบนี้ก็ถูกลิขิตมาแล้วให้ไม่มีความสุข มู่ชิงเกอเป็นเช่นนี้ป๋ายซีเยวี่ยผู้อ่อนโยนก็เป็นเช่นเดียวกัน ฉินจิ่นห้าวไม่มีวันที่จะหยุดหัวใจไว้ที่ผู้หญิงคนไหน

เหตุผลตื้นๆ แบบนี้ทำไมผู้หญิงซื่อบื้อพวกนี้ถึงดูไม่ออก มู่เกอแอบคิดในใจ แต่เธอกลับลืมไปว่าไม่มีใครจะเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนเหมือนผู้สังเกตการณ์อย่างเธอ

“ชิงเกอมีอะไรที่อยากได้หรือยัง? เรามาเดินเล่นอยู่ในตลาดแบบนี้มันไม่ค่อยดี” ทันใดนั้นฉินจิ่นห้าวก็หยุดเดิน แล้วถามมู่เกออย่างอ่อนโยน

มู่เกอก็หยุดเดิน มองเขาอย่างไม่เข้าใจ

สายตาที่คลุมเครือแบบนั้น ทั้งใสกระจ่างแต่กลับมีความเย็นยะเยือกเบาบาง จู่ๆ ก็ทำให้ฉินจิ่นห้าวใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว หัวใจที่เต้นอย่างมั่นคงมาโดยตลอด จู่ๆ ก็พลันสับสนราวกับว่าใบหน้าที่มักจะปรากฏความรักลุ่มหลงที่มีต่อเขาดวงนี้ดูไม่ได้น่ารังเกียจถึงเพียงนั้นแล้ว

“มีอะไรไม่ดีหรือ?” มู่เกอถามอย่างไม่เข้าใจ ก็แค่เดิน ลาด หน้าตาของเธอทำให้ทุกคนตกใจหรือ หรือว่ากฎของแคว้นฉินกำหนดว่าห้ามเธอออกมาเดินตลาดในตอนกลางวัน

มู่เกอถามกลับ ทำให้ฉินจิ่นห้าวรู้สึกตัว เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอในทันที แต่ว่าค่อยๆขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจการกระทำสูญเสียการควบคุมของตนเองเมื่อครู่และไม่ชอบใจเอามากๆ

เห็นฉินจิ่นห้าวเงียบไป ป๋ายซีเยวี่ยก็รีบเดินขึ้นมาใกล้กับทั้งสอง แล้วพูดกับมู่เกอ “พี่มู่จำชื่อเสียงในลั่วตูของตนเองไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ?”

ชื่อเสียง?!

มู่เกอหันไปมองป๋ายซีเยวี่ยแล้วหัวเราะ: “ชื่อเสียงของข้างั้นรึ? ใช่ เอาแต่ใจ รังแกคนดี หวาดกลัวคนชั่ว โอ้อวดก้าวร้าว อันธพาลหรือว่าชอบผู้ชายเล่า?” พูดจบมู่เกอก็มองฉินจิ่นห้าว

“ทำไมพี่มู่ว่าตัวเองแบบนี้ล่ะเจ้าคะ” ป๋ายซีเยวี่ยเอามือปิดปากอย่างตกใจ นัยน์ตาพลันปรากฏไอนํ้าบางๆคลอขึ้นมา ราวกับว่าคนที่มู่เกอพูดถึงคือเธออย่างไรอย่างนั้น

ฉินจิ่นห้าวอึ้งตัวแข็งทื่อเพราะสายตาของมู่เกอ ใบหน้าที่เย็นชาเหมือนมีความโกรธจางๆ แต่ว่าเขาเก็บความรู้สึกได้ดีมาก ถ้าไม่ใช่คนที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีล่ะก็ ก็คงยากจะดูออก

“ชิงเกอพูดเล่นอีกแล้ว ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของเรา คนนอกจะเข้าใจได้อย่างไร อย่าให้คำนินทามาทำร้ายจิตใจของเราเลย” ฉินจิ่นห้าวฝืนความรู้สึกขยะแขยงแล้วพูดยิ้มๆ

คำพูดนี้ของเขาดูธรรมดามาก แต่ว่าถ้าคิดดูดีๆแล้ว ก็คงจะทำให้คนฟังเสียใจมาก แต่ยังดีที่เธอไม่ใช่คนเดิม แล้วไม่มีทางแอบเสียใจเพราะคำพูดแก้ตัวของเขาแน่ ที่น่าสงสารคือวิญญาณลุ่มหลงที่อยู่ข้างๆ ต่างหาก

“ใช่! พี่มู่ ที่ซีเยวี่ยพูดเมื่อครู่ไม่ใช่คำนินทาไม่เข้าหูพวกนั้น อย่าบอกนะว่าพี่มู่ลืมไปแล้ว ว่าท่านมีชื่อเสียงที่ว่างามเป็นหนึ่งในลั่วตู ท่านดูสิ พอท่านออกมาแบบนี้ทุกคนต่างมองมาทางเรา รุ่ยอ๋องก็คงเป็นกังวลว่าท่านจะอารมณ์ไม่ดี เมื่อครู่จึงได้…”

“เจ้าแน่ใจรึว่าคนที่พวกเขามองไม่ใช่เจ้า ข้าก็เป็นแค่อันธพาลคนหนึ่ง งามเป็นหนึ่งในลั่วตูอะไรกัน ! เหอะ น่าขัน” มู่เกอตัดบทป๋ายซีเยวี่ยอย่างทนไม่ได้ยิ่งทำให้ เจ้าชาเขียวน้อยนํ้าตาคลอ กัดริมฝีปากอย่างน้อยใจ

ขาที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดของป๋ายซีเยวี่ยแอบขยี้เบาๆ กัดปาก พูดเขินๆ ว่า “พี่มู่หัวเราะเยาะข้า ร่างกายผอมบางอย่างซีเยวี่ย จะไปเทียบท่านได้อย่างไร อีกอย่างซีเยวี่ยปิดหน้าอยู่ จะมีใครรู้ว่าหน้าตาของข้าเป็นอย่างไร” ในความอ่อนเยาว์ปรากฏความเย้ายวนออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับนํ้าค้างที่หยาดหยดลงบนเกสรดอกไม้ทำให้ฉินจิ่นห้าวที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ใจสั่นไหว

“เรื่องนี้เจ้าคงไม่เข้าใจ บางครั้งความรู้สึกลึกลับจากการปิดหน้าปิดตา ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจจากคนอื่น” มู่เกอยิ้มเบาๆ แล้วยักคิ้วให้เธอ ป๋ายซีเยวี่ยฟังจนหน้าแดง แล้วมองสายตารอบๆ ตัว ราวกับรู้สึกว่าคนที่พวกเขามองไม่ใช่มู่ชิงเกอแต่เป็นตนเองจริงๆ

“ร้านชาข้างหน้าดูไม่เลว พวกเราเข้าไปพักในนั้นก่อน รอให้ชิงเกอคิดออกว่าอยากได้อะไรแล้วเราค่อยไป” ฉินจิ่นห้าวเหมือนตัดสินใจไปแล้วพูดจบไม่เปิดโอกาสให้ใครปฏิเสธ ก็เดินไปยังร้านชาตรงทางแยก

ป๋ายซีเยวี่ยมองมู่เกอ แล้วมองฉินจิ่นห้าว สุดท้ายก็กัดริมฝีปากแล้วเดินตามไป

ตามองแผ่นหลังของทั้งสองที่เดินจากไป มู่เกอใช้นํ้าเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อถาม “งามเป็นหนึ่งในลั่วตู นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ประโยคนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าถามมู่ชิงเกอ เงาที่โปร่งแสงยิ้ม “นี่เป็นเรื่องเมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นข้ายังเด็ก ยังไม่ได้อันธพาลและก้าวร้าวแบบนี้ ครั้งหนึ่ง ตอนงานเฉลิมฉลองวันประสูติของไทเฮา ข้าวิ่งเล่นอยู่ในวัง บังเอิญวิ่งผ่านสวนดอกไม้ แต่ไม่คิดว่าดอกไม้ที่ตูมอยู่พวกนั้นพลันเบ่งบานขึ้นมา ดึงดูดให้ผีเสื้อมากมายมาตอม ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ทำให้คนใหญ่คนโตในวังต่างมาดู ตอนที่ไทเฮามองมาเห็นเหตุการณ์นี้ เข้าก็ถอนหายใจตรัสกับผู้คนรอบข้างว่า “ในวังนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้าแปลกประหลาดมากมายล้วนเป็นของมีค่าสูง จริงๆ แล้วยังไม่ถึงเวลาบาน แต่กลับบานสะพรั่งเพราะเจ้าหนูน้อยตระกูลมู่ เห็นได้ชัดว่า คุณชายของตระกูลมู่ช่างเป็นยอดคนจริงๆ ให้ขนานนามว่า งามเป็นหนึ่งในลั่วตู ขนาดดอกไม้ยังอดไม่ได้ที่จะประชันความงามกับเขา”จากนั้นเมื่อคำพูดนี้แพร่ออกไป ทุกครั้งที่ข้าออกจากจวน ก็จะมีคนแอบมองมาด้วยความสงสัยเสมอ

มู่เกอฟังแล้วพูดอะไรไม่ออก นาม ‘งามเป็นหนึ่งในลั่วตู’ นั้นช่างมีที่มาจากจินตนาการที่สูงส่งเหลือเกิน ทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่จักรพรรดินีอู่แห่งราชงค์เตาโจวที่เดินเล่นอยู่ในสวนแล้วสามารถสั่งให้ดอกไม้ทั้งหลายบานได้ขึ้นมา

คนเขาเป็นถึงจักรพรรดินีอย่างน้อยยังต้องออกคำสั่งข่มขู่จึงจะได้ ส่วนคุณชายตระกูลมู่เล่า ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ยืนอยู่แบบนั้นดอกไม้ก็บานสะพรั่งออกมาได้

“เหอะๆ หลังจากนั้นเหตุการณ์แบบนี้ยังเกิดขึ้นอีกไหม?” มู่เกอถามด้วยความสงสัย

มู่ชิงเกอกลอกตา “ข้าไม่ได้มีความสามารถแบบนั้น” พูดแล้วนางก็หัวเราะเยาะตัวเอง “หลังจากนั้นชื่อเสียงจอมเสเพลของข้าก็ค่อยๆ เกิดขึ้น ทำให้คนลืมภาพลักษณ์นั้นของข้าไป จำได้แค่นามความยิ่งใหญ่ของข้าในลั่วตู” มู่เกอไร้ซึ่งคำพูด มู่ขิงเกอยักคิ้วแล้วหัวเราะ “วันนี้หากไม่เพราะรุ่ยอ๋องออกมากับเจ้า เจ้าจะได้เห็นภาพปรากฏการณ์ประหลาดอีกแบบหนึ่งแน่ๆ”

“อะไร” มู่เกอรีบถาม มู่ขิงเกอพยักเพยิด “ปรากฏการณ์ที่ทุกคนจะหลบเลี่ยงเจ้าราวกับเจออสรพิษ ถนนเส้นหลักของลั่วตูทั่วตรอกซอกซอยจะว่างปล่า”

“………….. ” มู่เกอเงียบ

ในร้านชา ฉินจิ่นห้าวอยู่ในห้องพิเศษ เตรียมถ้วยชาสวยประณีตไว้ให้กับมู่เกอที่เข้ามาคนสุดท้ายนานแล้ว ความเอาใจใส่แบบนี้ จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่สามารถต้านทานได้

สิ่งที่พิเศษคือเรื่องแบบนี้ องค์ชายผู้เย็นชาเป็นคนทำมันจะไม่…. มู่เกอที่เพิ่งเข้ามาสัมผัสได้ถึงความอิจฉาจากป๋ายซีเยวี่ย ในดวงตามีแววตัดพ้อซ่อนอยู่

ป๋ายซีเยวี่ยไม่ได้นั่งลง แต่กลับรับช้อนชงชาจากคนชงชาของร้าน มารับหน้าที่ต้มชาต่อ

สำหรับการดื่มชา มู่เกอไม่ได้มีความสนใจอะไรมากนัก

มู่เกอนั่งอยู่ตรงหน้าฉินจิ่นห้าวอย่างผ่อนคลาย เล่นแก้วชาในมือ รอคอยประโยคต่อไปที่ฉินจิ่นห้าวจะพูด อยู่กับเขามานานขนาดนี้ เธอไม่เชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะทนไม่พูดต่อไปได้

จริงเสียด้วย ทันทีที่ป๋ายซีเยวี่ยต้มชากาแรกเสร็จ แล้วรินให้กับทั้งสอง ฉินจิ่นห้าวก็พูดขึ้นเบาๆ “ชิงเกอ ครั้งนี้เจ้าคงตกใจมากจริงๆ แล้วก็เป็นความผิดของเหอเชิง แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เขาถูกนายท่านผู้เฒ่าขังไว้ในจวนตระก ลมู่ พ่อของเขามาขอร้องให้ข้ามาช่วยพูดหลายครั้งแล้ว ข้าก็ไม่อยากจะสนใจ แต่ว่าตอนนี้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ก็ควรปล่อยเขาไป จะได้ไม่ทำให้นายท่านผู้เฒ่าต้องลำบากเวลาอยู่ในราชสำนักด้วย”

ในที่สุดก็พูดจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาได้แล้วรึ?

มู่เกอหัวเราะเย็นในใจ มาเยี่ยมเธออะไรกัน ซื้อของมาปลอบขวัญเธอรึ? ทั้งหมดก็แค่อยากให้เธอปล่อยตัวเหอเฉิง

“แม้ว่าท่านปูจะไม่ฆ่าเหอเฉิง แต่ก็ไม่อาจปล่อยเขาไปได้ง่ายๆ!” ทันใดนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้นก็ดังมาจากข้างตัวมู่เกอ

มู่เกอรู้สึกแปลกใจ ทีแรกเธอคิดว่าถ้าฉินจิ่นห้าวเอ่ยปากขอเอง มู่ชิงเกอจะใจอ่อน

“เหอเชิงงั้นหรือ?………………..

“ลูกพี่มู่ ลูกพี่————– ! ท่านอยู่ข้างในใช่ไหม? ข้าได้ยินว่าท่านอยู่ข้างใน ข้าเข้าไปแล้วนะ”

ยังไม่ทันที่มู่เกอจะตอบคำถามของฉินจิ่นห้าว เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังแทรกเข้ามาจากข้างนอก พอสิ้นเสียง ประตูอันหรูหราก็ถูกผลักออก องครักษ์ตำหนักอ๋อง ยืนที่เฝ้าอยู่ตรงประตู ชักดาบออกมาชี้ไปทางผู้มาใหม่ทันที

ฉินจิ่นห้าวที่ถูกขัดจังหวะตอนคุยกับมู่เกอ ตอนนี้ก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ อุณหภูมิในห้องพิเศษลดลงหลายองศา

มีแค่มู่เกอคนเดียวที่ไม่คุ้นเคยกับเสียงนั่น เธอมองมู่ชิงเกอ กลับเห็นสีหน้าอันแปลกประหลาดของนาง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!