Skip to content

พลิกปฐพี 21-2

ตอนที่ 21-2

พบฉางเล่อครั้งแรก เปิดตำนานการจีบสาว

“หึ” พอเห็นว่ามู่เกอยังคงไม่คุกเข่าให้นาง แต่เพราะมีไทเฮาอยู่ด้วย เจียงกุ้ยเฟยจึงทำได้เพียงแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง สีหน้าไม่ได้ดีมากนัก ลืมคำสั่งก่อนหน้านี้ของไทเฮาไปแล้ว

แต่ฉินอี้เหยากลับไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจใดๆ หลัง จากที่ทำความเคารพตอบกลับ ก็ยังคงรักษาท่าทางนิ่งสงบไม่ขยับเขยื้อนดังเดิม

ปฏิกิริยาของสองแม่ลูก ไม่ใช่แค่มู่เกอเท่านั้นที่เห็น แต่ ไทเฮาก็เห็นเช่นกัน การกระทำของเจียงกุ้ยเฟย ทำให้ไทเฮายิ้มเย็น แต่กลับไม่ว่าอะไร

“วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว เหยาเอ๋อร์ก็พาเจ้าหนุ่มตระกูลมู่ไปเดินเล่นแทนข้าที” ไทเฮานั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ท่าทางดูเหนื่อยล้า พอคำสั่งนี้จบ ทุกคนต่างลุกขึ้นเตรียมออกไป ตอนนี้ไทเฮาก็พูดกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าหนุ่มตระกูลมู่ ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าไปเที่ยวเล่นที่ลั่วรื่อมา ที่นั่นไม่ใช่ที่ดีงามอะไร คราวหลังไม่ต้องไปแล้วนะ ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าก็ใกล้จะเข้าพิธีสวมหมวกแล้ว ต้องสงบจิตสงบใจ ว่างๆ ก็ไปหาเหยาเอ๋อร์บ้าง อายุพวกเจ้าใกล้เคียงกัน และยังเป็นคู่หมั้นคู่หมาย ผูกความสัมพันธ์ที่ดีกันไว้ถึงจะถูก”

พูดจบ นางก็พูดกับฉินอี้เหยาต่อว่า “เหยาเอ๋อร์ก็เหมือนกัน หลังจากนี้ถ้าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยง ล่าสัตว์หรือไปเที่ยวเล่นข้างนอกก็ชวนชิงเกอไปด้วย เจ้าเป็นหญิงสาวที่มีคู่หมั้นแล้ว เวลาออกไปไหนมาไหนมีคู่หมั้นไปด้วยจะดีกว่า”

ความหมายของไทเฮา คือให้ทั้งสองใช้ชีวิตผูกติดกัน

มู่เกอทำหน้านิ่ง ในคำพูดพวกนั้น เธอไม่ชอบการเปรียบเทียบโดยคำว่า ‘เที่ยวเล่น’ มากที่สุด

ทหารตระกูลมู่ตายไป 500 นาย เธอก็เกือบจะ….ไม่ มู่ชิงเกอตัวจริงก็ตายไปแล้ว นางกลับใช้คำว่า ‘เที่ยวเล่น’ มาเปรียบเทียบกับสงครามอันเต็มไปด้วยเลือดนั้น

ฉินอี้เหยาก็สีหน้าเปลี่ยนไป จึงค่อยตอบแบบจำนนว่า “เพคะ”

ในนั้น คนที่สีหน้าดูไม่ดีที่สุดน่าจะเป็นเจียงกุ้ยเฟย

นางไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่า ทำไมไทเฮาต้องรีบร้อนจับเด็กทั้งสองมาอยู่ด้วยกันด้วย

หลังจากออกจากตำหนักฉือเสียง เจียงกุ้ยเฟยลอบกำชับฉินอี้เหยาว่า “ระวังตัวเองดีๆ อย่าให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ”

เมื่อเดินห่างออกไปไกล ความโกรธในใจนางจึงค่อยๆ ลดลง แอบคิดอย่างเสียใจว่า ตนเองบอกเองว่าลูกชายไม่มีความอดทน แต่นางเองก็เกิดโทสะกับมู่ชิงเกอมิใช่เหรอ? แม้ว่าตนอยากจะเถียงมากเพียงใด แต่ก็ไม่ควรทำแบบนั้นอยู่ดี!

คิดอยู่ตั้งนานเจียงกุ้ยเฟยก็คิดหาเหตุผลที่แท้จริงไม่ออก ได้แต่ตะโกนในใจ มู่ชิงเกอมีความสามารถในการทำลายบรรยากาศดีๆ เสียจริง ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน!

หลังจากที่ทุกคนออกจากตำหนักฉือเสียงแล้ว ไทเฮาจึงเลิกยิ้มอย่างเมตตา และเผยรอยยิ้มเยือกเย็นน่ากลัวออกมาแทน

แม่นมที่ยืนอยู่ด้านหลังนางพูดว่า “ปกติเจียงกุ้ยเฟยไม่ใช่ผู้ที่จะเก็บอารมณ์ไม่อยู่เยี่ยงนี้ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”

นางสงสัย แต่ไทเฮาไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระนางตอบกลับด้วยนํ้าเสียงเยือกเย็นว่า “นางได้รับความรักจากฮ่องเต้มากเกินไป ก็เลยทนให้ใครมาขัดใจตนเองไม่ได้ ก็แค่อาศัยวิชามารยา แล้วยังจะอยากได้ในสิ่งที่ไม่คู่ควร ข้าจะรอดูว่านางจะตายอย่างไร!”

ในอีกทางหนึ่ง มู่เกอที่อยากจะออกจากพระราชวังจนแทบทนไม่ไหว ถูกองค์หญิงฉางเล่อที่เงียบมาตลอดทาง พามาจนถึงอุทยาน

เงาร่างของฉางเล่อ ราวกับ ‘ศพเดินได้’ ทำให้มู่เกอ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาก่อนว่า “หากองค์หญิงไม่อยากชมดอกไม้ ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฝืนองค์เอง ไม่สู้เรา…”

“ท่านย่าให้ข้าพาเจ้ามาเดินเล่นที่วัง” ฉินอี้เหยาพูดด้วยนํ้าเสียงเรียบนิ่ง ขัดจังหวะคำพูดของมู่เกอราวกับว่าสิ่งที่นางทำอยู่ในตอนนี้ก็แค่ทำตามคำสั่งของไทเฮาเท่านั้น

มู่เกอพูดอะไรไม่ออก จึงทำได้แค่เดินตามหลังองค์หญิงฉางเล่อ เดินเล่นอยู่ในอุทยาน

แน่นอนว่าทั้งสองไม่ได้มีกะจิตกะใจจะชื่นชมดอกไม้รอบๆ เลยสักนิด ดอกไม้นานาชนิดที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งแต่กลับไม่ได้ทำให้ทั้งสองสนใจแต่อย่างใด

หลังจากที่อดทนเดินอยู่กับองค์หญิงฉางเล่อสักพัก มู่เกอก็ทำท่าว่าหมดความอดทนแล้ว

อยู่ๆ เธอก็หยุดเดิน ขมวดคิ้วเรียกองค์หญิงฉางเล่อที่เดินอยู่ด้านหน้า

ฉินอี้เหยาหันกลับมาทำหน้านิ่ง

“องค์หญิงเล่อ กระหม่อมมีธุระต่อ วันนี้คงไม่สามารถเดินเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงได้แล้ว ขอตัวก่อน” พูดจบ มู่เกอหันหลังกำลังจะเดินออกไป เหมือนกับว่าอยู่ต่ออีกแค่ 15นาทีก็จะทำให้เธอตายเพราะโดนยาพิษ

“องค์หญิง เขาไม่เห็นความสำคัญของพระองค์แบบนี้ได้อย่างไร?” สาวใช้ข้างตัวของฉางเล่อเห็นมู่เกอเดินไปอย่างสง่างามไม่เหลียวหลัง ก็รู้สึกไม่พอใจแทนเจ้านายตนเอง

แต่ในขณะที่นางกำลังบ่นอยู่ ก็ไม่ทันได้สังเกตว่าสายตาของเจ้านายของนางนั้น มีอะไรแปลกๆ แวบผ่านไป

สักพักลมก็พัดแรงขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

ลมแรงพัดดอกไม้ในอุทยานจนดอกไม้พวกนั้นส่ายไหวไปมาราวจะหักไต้ตลอดเวลา ฝุ่นบางส่วนก็ถูกพัดขึ้นเหนือพื้นดิน ทำให้ต้องยกมือขึ้นบังเศษฝุ่นไม่ให้เข้าตา

ทันใดนั้นสายตาพลันเปลี่ยนเป็นพร่ามัว ทางเดินที่ถูกลมและฝุ่นบดบังอยู่ ทำให้มู่เกอที่กำลังจะจากไปต้องหยุดลงในที่ๆ ไม่ไกลจากฉินอี้เหยานัก

ในพริบตา ลมก็ค่อยๆ หยุดลง เห็นทุกอย่างชัดขึ้น

เธอกำลังจะเดินจากไปแต่กลับไต้ยินเสียงตื่นตกใจดังมาจากทางด้านหลัง

“องค์หญิง เป็นอะไรไปเพคะ?”

“เหตุใดน้ำตาขององค์หญิงไหลไม่หยุดเลย”

พูดจบ เสียงอันตื่นตระหนกนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “เรียกหมอหลวงเร็วเข้า!” ฉินอี้เหยายืนอยู่ที่เดิม ก้มหน้าลงเหมือนกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดฝุ่นที่เข้าตา

‘ก็แค่ฝุ่นเข้าตาไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องโวยวายกันด้วย’ มู่เกอแอบคิดในใจ แล้วเดินไปทางฉินอี้เหยา

เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยืนเสียงนิ่งๆ ของฉินอี้เหยาพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ก็แค่ฝุ่นเข้าตาน่ะ”

คำพูดนี้ของนางไม่ได้ช่วยปลอบคนใช้ข้างๆ นางเลย แต่กลับทำให้พวกนางยิ่งเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

จู่ๆ สายตาอันพร่ามัว ก็มองเห็นเสีแดงดั่งเปลวเพลิงกองหนึ่งลอยเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมา ก็มีนิ้วเย็นๆ เชยคางของนางขึ้น ทำให้นางต้องเงยหน้าขึ้นมอง

รอบข้าง เสียงของสาวใช้หายไปในทันที ฉินอี้เหยาแปลกใจมาก เหตุการณ์กะทันหันแบบนี้ ทำให้จิตใจที่นิ่งสงบมาตลอดของนางเต้นอย่างรุนแรง

กลิ่นหอมอ่อนบางลอยเข้าจมูกนาง ไม่เหมือนกลิ่นเครื่องสำอางแต่เหมือนเป็นกลิ่นประจำตัวที่มีมาแต่เกิด

ในขณะที่ชินอี้เหยากำลังหัวใจเต้นแรง จู่ๆ ก็รู้สึกว่านัยน์ตาที่มีฝุ่นปลิวเข้าไปนั้น เหมือนมีคนใช้มือเปิดเปลือกตานางขึ้นอย่างอ่อนโยน

“ฟู่ว~~~~” ลมร้อนพัดเข้าดวงตาของนาง ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นทำให้ฉินอี้เหยาตกใจ รู้สึกว่าสิ่งที่กดทับนัยน์ตาของนางอยู่นั้นหายไป

“องค์หญิง ทรงไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ?” เสียงของสาวใช้ที่ดังขึ้น และความอบอุ่นที่อยู่ๆ ก็หายไป ทำให้ฉินอี้เหยาค่อยๆ ลืมตาที่ถูกสัมผัสด้วยไอร้อนทั้งสองข้างขึ้นน้อยๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะปิดตาแน่น เมื่อลืมตาขึ้นนางไม่ได้มองท่าทางร้อนใจของนางกำนัล สายตาเรียบเฉยเลื่อนไปหยุดอยู่ที่เงาร่างอันร้อนแรงราว กับเปลวไฟ เงาหลังสง่างามที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!