Skip to content

พลิกปฐพี 22

ตอนที่ 22

เลื่อนชั้นและเลื่อนชั้น

คํ่าคืนมาเยือนอีกตามเคย

บริเวณตำหนัก โย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างก็กลับไปพักผ่อนตามคำสั่งของเจ้านาย

ในเรือนมืดๆ เหลือแค่มู่เกอเพียงคนเดียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ราวกับว่ากำลังเตรียมพร้อมที่จะฝึกฝนพลัง

ทันใดนั้น ลมพัดผ่านเบาๆ ร่างอันโปร่งแสงของมู่ชิงเกอก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของมู่เกอ ดวงตาอันงดงามนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

ม่เกอขมวดคิ้วถาม “มองอะไร”

“เจ้าดูไม่เหมือนคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเลย”

มู่เกอยิ้มมุมปาก เธอรู้ว่ามู่ชิงเกอหมายถึงเรื่องวันนี้ตอนที่เธอเป่าฝุ่นออกจากตาขององค์หญิงฉางเล่อที่อุทยาน

“เจ้าเป็นคู่หมั้นของนางไม่ใช่เหรอ? เป็นว่าที่สามีเห็นว่าที่ภรรยาได้รับความเดือดร้อนก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา” มู่เกอพูดยิ้มๆ ถ้าเธอไม่ช่วย อยู่กลางพระราชวังแบบนั้น องค์หญิงได้รับความตกพระทัย เธอจะจากไปแบบนั้นได้อย่างไร

มู่ชิงเกอสีหน้าเปลี่ยนไป รู้ว่าเจ้าคนที่ครอบครองร่างของตนยังคงโกรธที่ตนเองปิดบังเรื่องนี้

เธอเม้มปาก ก้มหน้าลงพูด “ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาแต่งงาน แต่ระหว่างข้ากับองค์หญิงฉางเล่อไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันและการพบกันในวันนี้ก็เป็นการพบกันในรอบสามปี นางกับข้าต่างก็โดนบังคับเรื่องการแต่งงานครั้งนี้เหมือนกัน คราวหน้าเจ้าอย่าไปยุ่งกับนางอีก”

มู่เกอหรี่ตา รังสีอันตรายส่งผ่านสายตาเธอออกมาปกคลุมห้องทั้งห้อง “เจ้ากำลังสอนข้ารึ?”

ไอสังหารรุนแรงมาก!

ใบหน้าอันโปร่งแสงของมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยความตกใจ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกถึงไอสังหารจากตัวมู่เกอ ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับว่าห้องทั้งห้องนี้แขวนเต็มไปด้วยมีดอันแหลมคม แค่ขยับตัวก็จะถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ

‘เจ้าเคยเป็นคนอย่างไรกันแน่?’ มู่ชิงเกอแอบถามตนเองในใจ

นางเม้มปากแน่น พอรู้สึกว่าไอสังหารในตัวของมู่เกอลดน้อยลงแล้ว จึงพูดเสียงตํ่า “ข้าไม่ได้สอนเจ้า ก็แค่ไม่อยากให้เจ้าทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวายกว่าเดิม”

ทันใดนั้น ไอสังหารของมู่เกอก็สลายหายไป เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าไม่ให้ข้ายุ่งกับองค์หญิงฉางเล่อ เจ้าทำเพื่อตัวนางเองหรือเพื่อฉินจิ่วห้าวกันแน่?”

เมื่อพูดถึงชื่อฉินจิ่นห้าว ร่างอันโปร่งแสงของมู่ชิงเกอก็สั่นระริกราวกับจะหายไปได้ตลอดเวลา

ปฏิกิริยานี้ไม่ได้รอดจากพ้นสายตาของมู่เกอ เธอส่ายหน้า “เจ้ายังไม่ตัดใจอีกหรือ หรือว่าเจ้าดูไม่ออกว่า ดอกไม้ขาวดอกนั้นของบ้านเจ้าก็มีใจให้กับฉินจิ่นห้าว และความสนใจที่เขามีให้กับนางคนนั้นก็มีมากกว่าที่มีให้เจ้าอย่างชัดเจน”

มู่ชิงเกอสีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก และไม่พูดอะไรอีก

มู่เกอยิ้มเย็น ค่อยๆ ปิดตาลง แล้วพูดด้วยนํ้าเสียงนิ่งๆ “ข้าจะฝึกเวทพลัง เจ้าคอยช่วยคุ้มครองข้า ข้ายังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่ข้าสามารถฝึกเวทพลังได้”

มู่ชิงเกอตอบอย่างเลื่อนลอยว่า “วางใจเถอะ หากยังไม่ได้ทะลวงเข้าขั้นเขียวไปขั้นคราม ก็จะไม่ทำให้พลังวิญญาณของฟ้าดินแปรปรวน ถึงแม้ว่าเจ้าจะเข้าสู่ขั้นเหลืองภายในหนึ่งคืน ก็จะไม่มีใครตรวจพบได้เลยแม้แต่นิด”

“อ้อ?” มู่เกอลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้ายังไม่เคยบอกข้า ว่าคนที่สนิทสนมกับเจ้าอยู่ในขั้นไหนกันบ้าง”

มู่ชิงเกอมองเธอ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามคำถามนี้ แต่ก็ตอบไปตามจริงว่า “เท่าที่ข้ารู้รุ่ยอ๋องตอนนี้อยู่ในชั้นสูงของชั้นสีเหลืององค์หญิงฉางเล่ออยู่ในชั้นต้นของชั้นสีเหลือง พรสวรรค์ของพวกเขาทั้งสองคนนั้นร้อยปียากจะพานพบ เพราะฉะนั้นจึงสามารถเข้าสู่ชั้นสีเหลืองได้แม้อายุยังน้อย”

มู่เกอขมวดคิ้วถามต่อ “ข้าเคยเห็นองครักษ์ของฉินจิ่นห้าวมีประกายสีเขียว” คนๆ นั้นก็ไม่ถึงกับว่าอายุมาก ถ้าชั้นสีเหลืองของฉินจิ่นห้าวถือว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว องครักษ์ชั้นสีเขียวล่ะจะเป็นอะไร”

ความแปลกใจของมู่เกอทำให้มูชิงเกอรีบอธิบาย “พวกนั้นผ่านการใช้ยาลับเข้าช่วย ความสามารถทั้งชีวิตก็อยู่ได้แค่ระดับสูงขั้นสีเขียว”

แบบนี้นี่เอง

มู่เกอยังคงสงสัยถามอีกว่า “แล้วป๋ายซีเยวี่ยล่ะ” ท่าทางที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอเหมือนไม่รู้การฝึกเวทเลยแม้แต่น้อย

“นางน่าจะเป็นขั้นสีแดงระดับสูง” มู่ชิงเกอก็พูดอย่างไม่แน่ใจ “นางไม่ค่อยแสดงความสามารถออกมา ถ้าเจ้าไม่พูดถึงข้าก็คงลืมไปแล้วว่านางเองก็เป็นคนฝึกเวทพลัง”

ขั้นสีแดงระดับสูงงั้นเหรอ

มู่เกอแปลกใจ ในโลกที่ใช้พลังเป็นตัวกำหนดฐานะ ทำไมนางถึงไม่ค่อยแสดงความสามารถออกมา ถึงกับทำให้มู่ชิงเกอเกือบจะลืมไปแล้ว

แต่ว่า——————-

มู่เกอคิดถึงขั้นลีนํ้าเงินระดับสูงของมู่ซง ขั้นสีเขียวระดับสูงของมู่เหลียนหรง มองกลับมาที่ตนเองแล้วถอนหายใจ “ข้าเป็นไก่อ่อนที่สุดจริงๆ เสียด้วย”

มู่เกอสงบจิตสงบใจ เข้าสู่การฝึกฝน

บริเวณไกลออกไปจากสวนสระเมฆา มีเรือนที่สวยงามอยู่เรือนหนึ่ง หน้าประตูเรือนเขียนไว้ว่า ‘เรือนจันทร์คล้อย’ ในเรือนตอนนี้เงียบสงบ เหลือเพียงห้องๆ เดียวที่มีแสงเทียนส่องจางๆ ลอดออก มา

การตกแต่งในห้องทำให้รู้ว่าเป็นห้องนอนของสตรีผู้หนึ่ง เตียงกว้างใหญ่ที่มีม่านปิดคลุมปักไว้ด้วยดอกไม้ หญิงชุดขาวนางหนึ่งนี้งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลับตาทั้งสองข้างแน่น รอบตัวมีแสงสีเหลืองส่องประกายออกมา สักพักใหญ่ แสงสีเหลืองรอบตัวนางก็ซึมซับเข้าไปในร่างกาย แล้วนางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

ก็อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เข้ามา”

ประตูห้องที่ปิดสนิทมีคนเปิดออก ลวี่จือถือถาดเดินเข้ามา บนถาดมีถ้วยหยกใบหนึ่งในนั้นมีโจ๊กรังนกร้อนๆ

“คุณหนูฝึกเวทพลังคงจะเหนื่อยแล้ว ทานโจ๊กรังนกบำรุงร่างกายก่อนนะเจ้าคะ” ลวี่จือวางโจ๊กรังนกตรงหน้าป๋ายซีเยวี่ย

ป๋ายซีเยวี่ยมองนางแวบหนึ่ง ลุกขึ้นมาจากเตียงรับถ้วยหยกมาทานทีละนิด

ระหว่างที่ยืนเฝ้าป๋ายซีเยวี่ย ลวี่จือก็ถามด้วยความสงสัย “คุณหนูถ้าคุณหนูมีใจให้กับรุ่ยอ๋อง แล้วเหตุใดไม่บอกท่านไปว่าตอนนี้คุณหนูอยู่ในระดับกลางของขั้นสีเหลืองแล้ว ถ้าเขารู้ถึงความสามารถของคุณหนูแน่นอนว่าต้องมาขอคุณหนูกับนายท่านผู้เฒ่าแน่”

ป๋ายซีเยวี่ยวางช้อนในมือลง คิดทบทวนแล้วตอบว่า “ท่านอาหรงหวังให้ข้าแต่งงานกับจอมเสเพลไร้พลังอย่างมู่ชิงเกอ ถ้าให้เป็นภรรยาเอกก็ว่าไปอย่าง จวนหย่งหนิงกงเองถือว่ามีหน้ามีตาในแคว้นฉิน แต่ว่ากลับจะให้องค์หญิงเป็นภรรยาเอก ทำให้ข้าต้องถูกลดฐานะ ส่วนรุ่ยอ๋องแม้ว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ว่าด้วยฐานะของเขาแล้ว ถ้าข้าเข้าตำหนักไปแม้แต่ตำแหน่งชายารองเกรงว่าก็คงจะไม่ได้เป็น ตอนนี้ข้ายังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกจวนหย่งหนิงหรือว่าตำหนักของรุ่ยอ๋อง ฉะนั้นเรื่องแบบนี้อย่าให้ใครรู้ง่ายๆ จะดีกว่า” พูดจบก็พูดด้วยความเสียดายอีกว่า “ครั้งนี้หากมู่ชิงเกอตายอยู่ข้างนอกนั้น จริงๆข้าก็ไม่ต้องมาเสียเวลามานั่งคิดอะไรแบบนี้แล้ว”

ลวี่จือพยักหน้าเหมือนเข้าใจและไม่เข้าใจ

ป๋ายซีเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองนาง สายตาอันอ่อนโยนนั้น เปลี่ยนเป็นสายตาที่โหดเหี้ยม นางเตือนลวี่จือ “เรื่องของข้า เจ้าอย่าได้บอกใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าข้าจะจัดการอย่างไร”

ลวี่จือหน้าซีดแล้วพูด “คุณหนูวางใจเถอะ ข้าไม่พูดแน่นอน”

ป๋ายซีเยวี่ยพยักหน้าพอใจ ไม่ได้มองนางอีก

ในมุมที่ลวี่จือไม่อาจมองเห็น สายตาของนางก็ฉายแววเย็นชา นางเป็นเด็กกำพร้าก็จริงอยู่ แต่หากไม่ใช่เพราะตระกูลมู่ ท่านพ่อของนางก็ไม่ต้องตายในสงคราม ท่านแม่ก็จะไม่ทิ้งนางไว้ให้อยู่คนเดียว ถ้าท่านพ่อยังอยู่ นางก็จะเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์แห่งแคว้นฉิน จะเหมือนกับการที่ต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านคนอื่นราวกับคนไร้ที่พึ่งอย่างนี้ได้อย่างไร ตระกูลมู่ทำให้นางต้องเป็นแบบนี้ นางก็ต้อง เหยียบหัวตระกูลมู่เพื่อปีนให้สูงขึ้นไป แบบนี้มันผิดตรงไหนกัน ท้องฟ้าเริ่มสว่าง

ในเรือนสวนสระเมฆา มู่เกอฝึกเวทพลังมาทั้งคืน วิญญาณของมู่ชิงเกอก็เฝ้าอยู่ทั้งคืนเช่นกัน ในระหว่างที่นางรู้สึกว่ามู่เกอกำลังจะตื่นจากการฝึกเวทนั้น จู่ๆ ก็มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น

มู่เกอที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงตาทั้งสองข้างปิดสนิท อยู่ๆ ก็มีแสงสีแดงส่องประกายขึ้นทำให้ใบหน้าเล็กๆ อันงามสง่าของนางเย้ายวนเป็นหนึ่ง

“เข้าสู่ขั้นสีแดงแล้ว!” มู่ชิงเกอพูดอย่างตื่นเต้น นางไม่คิดเลยว่ามู่เกอฝึกแค่สองคืนก็สามารถเข้าสู่ขั้นสีแดงได้แล้ว ต้องรู้ว่าถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากเพียงใด จะเริ่มฝึกฝนจนเข้าขั้นสีแดงได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องไม่ตํ่ากว่าครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน

แต่ว่าสิ่งที่เธอทำให้นางตกตะลึงนั่นก็คือ~~~แสงสีแดงบนตัวของมู่เกอค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นสีแดงเจิดจ้าแสบตา สักพักก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีส้มแล้วก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็เปลี่ยนจากสีส้มอ่อนจางเป็นเข้มขึ้น แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งกลายเป็นประกายสีเหลือง เมื่อแสงกลายเป็นลีเหลืองเข้มแล้วจึงค่อยๆ สงบลง แต่มู่ชิเกอรู้สึกได้ว่าถ้ายังคงฝึกต่อไป แสงประกายสีเหลืองนั่นมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นสีเขียวแต่ความเป็นไปได้นี้ถูกยับยั้งไว้เสียก่อน “เป็น…เป็นไปได้อย่างไรกัน? เหตุใดถึงมีคนสามารถฝึกฝนพลังจากขั้นสีแดงเลื่อนไปจนถึงขั้นสีเหลืองระดับสูงสุดได้ภายในคืนเดียว เจ้าเป็นตัวประหลาดอะไรกัน” มู่ชิงเกอตกใจจนทำได้แค่พึมพำกับตนเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!