ตอนที่ 80-1
หากสามีจะไป ภรรยาจะติดตามไปด้วย
ณ วังตะวันออก ที่พำนักของรัชทายาทแคว้นฉิน
ในเวลานี้ฉินจิ่นซิวกำลังเดินไปเดินมาภายในตำหนักอย่างตื่นเต้นใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความร้อนรนยากจะปิดได้มิด
ทันใดนั้น นอกประตูก็พลันมีเสียงดังขึ้นมา~~~
“ฮองเฮาเสด็จ!~~~”
เสียงนี้ทำให้ฉินจิ่นซิวดีใจและรีบก้าวเท้ายาวๆ เดินออกนอกประตูไป
“ลูกน้อมรับเสด็จ เสด็จแม่!” ฉินจิ่นซิวคุกเข่าอยู่นอกตำหนัก พลางพูดกับหญิงผู้มี ฐานะสูงศักดิ์และสง่างามนางนั้น หานฮองเฮายังคงรักษารอยยิ้มอันสูงส่ง เครื่องประดับบนศีรษะสั่นเล็กน้อย พระนางก้มลงพยุงตัวบุตรชายคนเดียวของตนเองขึ้นพลันยิ้มแล้วพูดว่า “รีบลุกขึ้น พื้นมันเย็น”
ฉินจิ่นซิวลุกขึ้นตามคำสั่ง เดินไปจับพระหัตถ์ของหานฮองเฮาแล้ว เดินเข้า ตำหนักไป
หานฮองเฮาเดินเข้าไปภายในตำหนัก เมื่อพบว่าบุตรชายของตนเองไม่ได้สร้างเรื่อง จึงพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย
หลังจากที่สั่งให้ทุกคนออกไป ภายในตำหนักอันกว้างใหญ่ก็เหลือเพียงสองแม่ลูก
“เสด็จแม่ ท่านแน่ใจแล้วหรือไม่ว่ามู่ซงไปครานี้จะไม่มีชีวิตกลับมาอีก” ฉินจิ่นซิวถามอย่างไม่รอช้า
หานฮองเฮามองเขาพลันแย้มสรวลตรัสว่า “เจ้าน่ะ นิสัยใจร้อนแบบนี้ชวนให้คนอื่นปวดหัวเสียจริงๆ”
พอเห็นพระนางตอบไม่ตรงคำถาม ฉินจิ่นซิวก็ขมวดคิ้ว ถามอีกครั้งว่า “เสด็จแม่ มู่ซงต้องตายแน่ๆ ใช่ไหม?”
ในนํ้าเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและโหดเหี้ยม
หานฮองเฮาพยักพระพักตร์รับนิ่งๆ เต็มไปด้วยความได้พระทัย
“ถ้าอย่างนั้น ก็ดีเลย ดูสิว่ามู่ชิงเกอยังจะกล้าอวดดีไร้มารยาทต่อหน้าข้าอีกไหม” ใบหน้าของฉินจิ่นซิวเต็มไปด้วยตื่นเต้น แต่ภายในใจนั้นกลับคิดมากกว่าที่พูด เช่นว่า หากมีข่าวการตายของมู่ซง เขาจะเอาตัวมู่ชิงเกอเข้ามาทรมานในตำหนักอย่างไรดี?
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาแทบจะอดหลับอดนอนเฝ้ารอให้ วันนี้มาถึง!
“นิสัยแบบเด็กๆ ของเจ้าเมื่อไหร่จะแก้ได้เสียที” หานฮองเฮาพูดอย่างจนอับปัญญา หากไม่ใช่เพราะว่ามู่ซงเป็นเสี้ยนหนามที่ต้องกำจัดทิ้ง นางจะตามใจบุตรชายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“มู่ชิงเกอแค่พูดจาเสียดสีเจ้ามิใช่หรือ? มันคุ้มกับการที่รัชทายาทผู้สูงส่งเช่นเจ้าจะไปใส่ใจรึ?” หานฮองเฮาตรัส ถามด้วยความเคลือบแคลงพระทัย
ฉินจิ่นซิวยิ้มและเก็บความรู้สึกเอาไว้ เหตุผลที่แท้จริงที่เขาอยากได้ตัวมู่ชิงเกอนั้นเขาไม่คิดจะบอกหานฮองเฮา ถึงแม้ว่าพระนางจะเป็นพระมารดาแท้ๆ ของตนเองก็ตาม
สิ่งที่มู่ชิงเกอยั่วยุเขานั้นไม่ใช่คำพูด แต่ทว่าเป็นใบหน้าอันงดงามที่ชวนตื่นตะลึงนั้นต่างหาก
พอนึกว่าสายตาอันนิ่งสงบที่แฝงความกล้าคู่นั้น อีกไม่นานก็จะมาคุกเข่าลงร้องขอชีวิตต่อหน้าตนเอง เขาก็มีความสุขขึ้นมาทันที!
เห็นเขาไม่พูดอะไร หานฮองเฮาจึงไม่ได้ทรงคิดอะไรมาก พลางกล่าวว่า “ข้ากำชับท่านน้าของเจ้าแล้วว่าให้พยายามถ่วงเวลากำลังเสริมที่จะไปช่วยทำสงครามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมืองอี้นั้นเป็นแบบไหนก็รู้กันอยู่ ในภูเขาแห้งแล้งแบบนั้น หากไม่มีกำลังเสริมไปช่วย ไม่ว่ามู่ซงจะเก่งกาจถึงเพียงใดก็ต้องตายอยู่ในนั้น’’ พูดจบ ในสายตาของพระนางก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
พอได้ยินแผนการทั้งหมดของหานฮองเฮา ฉินจิ่นซิวก็คิดว่าใกล้ความสำเร็จเข้ามาอีกขั้นแล้ว
แต่เขาก็ยังคงถามว่า “แล้วเสด็จพ่อสงสัยพวกเราหรือไม่?”
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบระหว่างมู่ชิงเกอกับบัลลังก์แล้ว อย่างหลังต่างหากที่เป็นสิ่งที่เขาเสียไปไม่ได้
“เรื่องเสด็จพ่อของเจ้านั้นไม่ต้องเป็นกังวล” หานฮองเฮาแย้มสรวลพลางตรัสว่า “แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร พระองค์ก็ไม่อยากให้มู่ซงมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ถึงจะรู้ใน ตอนนั้นมู่ซงก็ตายไปแล้ว จะทรงทำอะไรได้อีก รอให้พระองค์ได้ควบคุมทหารจวนตระกูลมู่มาไว้ในมือเสียก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะทรงจดจำความชอบครั้งนี้ของเจ้า”
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี ฉินจิ่นซิวยิ้ม เมื่อใบหน้าไร้ความโหดเหี้ยมกลับดูหล่อเหลาหมดจดมากขึ้นอีกหลายเท่า
ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของวังหลวง รุ่ยอ๋องก็กำลังเผชิญหน้ากับเสด็จแม่ของตนเองเช่นกัน
คิ้วกระบี่ดกหนาของเขาขมวดแน่น พลางพูดกับเจียงกุ้ยเฟยว่า “เสด็จแม่ ที่เสด็จพ่อสั่งให้มู่ซงไปปราบปรามการรุกรานครั้งนี้ เหตุใดลูกถึงคิดว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
เจียงกุ้ยเฟยจัดดอกไม้ในแจกัน กระตุกยิ้มพลางพูดว่า “แน่นอนว่ามันเป็นแผนการของใครบางคน”
ฉินจิ่นห้าวสงสัย จึงถามว่า “พวกรัชทายาทและฮองเฮารึ”
เจียงกุ้ยเฟยพยักหน้า ภายนอกตำหนักบางทีข่าวก็ไวกว่าในตำหนัก
ฮองเฮาคิดว่าตนเองคิดอย่างรอบคอบ แต่คิดไม่ถึงว่านางได้ส่งคนไปเป็นหนอนบ่อนไส้ข้างตัวฮองเฮาแล้ว เจียงกุ้ยเฟยแอบยิ้มอย่างได้ใจ จากนั้นก็จัดดอกไม้อัน
สวยงามที่เก็บมาจากสวนใส่แจกันต่อ
“ที่พวกเขาทำเช่นนั้นก็เพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม” สีหน้าของฉินจิ่นห้าวนั้นดูแย่มาก
เขาเองก็หวังให้มู่ซงตายและตระกูลมู่ล่มจม แต่ว่าเขายังอยากได้อำนาจทางการทหารของจวนตะกูลมู่อยู่ ในวันนี้เรื่องนี้ยังจัดการไม่สำเร็จ หากมู่ซงตายเขาก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย
ถึงตอนนั้น ทางตระกูลหานยังเหลือหานอวี้ที่มีทหารจำนวนสามแสนกว่าคนในมือ แล้วเขามีอะไร? จะเอาอะไรไปสู้รบกับรัชทายาทได้
พอนึกถึงผลลัพธ์ที่มู่ซงต้องตายอย่างกะทันหัน ในใจของฉินจิ่นห้าวก็รู้สึกโกรธแค้น ใบหน้านั้นดูไม่ชอบใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าตื่นตูมอะไร?” เจียงกุ้ยเฟยขมวดคิ้วมองฉินจิ่นห้าว ฉินจิ่นห้าวเงยหน้าขึ้นพูดกับเสด็จแม่ของตนเองว่า “เสด็จแม่ ลูกจะไม่ตื่นตูมได้อย่างไร”
เจียงทุ้ยเฟยส่ายหน้า “เจ้ายังเด็กไปจริงๆ ทำไมเจ้าไม่คิดว่าตอนนี้ตระกูลหานมีทหารสามแสนนายแล้ว สำหรับอำนาจทหารของตระกูลมู่ ฮ่องเต้จะให้กับพวก เขาได้อย่างไรเล่า หากมู่ซงตาย ทหารตระกูลมู่ก็ตกเป็นของฮ่องเต้เพียงผู้เดียว พออำนาจทหารของตระกูลมู่อยู่ในมือของฮ่องเต้ ด้วยความรักที่พระองค์มีให้กับเจ้า ขอเพียงเจ้าสร้างความดีความชอบสักหน่อยแล้วค่อยๆ รับช่วงต่อทหารตระกูลมู่ต่อจะยากสักแค่ไหนกันเชียว เพราะฉะนั้นทางหานฮองเฮาทำเรื่องนี้ไปก็ไม่ได้มี ประโยชน์อะไรขึ้นมา แค่เป็นการปูทางให้แก่เจ้าก็เท่านั้น”
ฉินจิ่นห้าวโล่งใจเหมือนรู้สึกว่าคำพูดของเสด็จแม่นั้นมีเหตุผลมาก
ทันใดนั้นเขาก็สบายใจ พลางพูดว่า “พวกเขาอาจจะไม่ได้คิดถึงข้อนี้” ในตอนนี้เขาอยากให้มู่ซงตายและหลังจากนั้นเขาก็ไม่ต้องอดทนดูสีหน้าของมู่ชิงเกอ พอตระกูลมู่สิ้นแล้วและตอนที่มู่ชิงเกอมาขอความช่วยเหลือจากตนเอง เขาควรจะทรมานมันอย่างไรให้สาแก่ใจดี?
ในเวลานี้แทบจะทุกคนที่กำลังคาดหวังให้มู่ซงตายและกำลังคำนวณผลได้ผลเสียของตนเอง
เจียงกุ้ยเฟยเสียบดอกไม้ดอกสุดท้ายลงไปพลางพูดกับฉินจิ่นห้าวว่า “เจ้าต้องตั้งใจคิดว่าจะทำอย่างไรให้รัชทายาทและฮ่องเต้บาดหมางกันมากกว่านี้และดึงเขาลงจากตำแหน่งรัชทายาท”
ฉินจิ่นห้าวยิ้มอย่างมั่นใจ “เสด็จแม่วางพระทัยเถิด ลูกจะไปรวบรวมเหล่าเสนาธิการเพื่อเตรียมของขวัญอันมีค่าไว้รอเสด็จพี่ของข้า”
เจียงกุ้ยเฟยสะบัดแขนเสื้อ พลางกล่าวว่า “ไปเถอะๆ”
เมื่อเข้าไปยังลั่วตู มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนไป นางพามั่วหยางกลับจวนมาพร้อมความสงสัยในใจ พอเข้าประตูจวนมาก็บังเอิญพบกับมู่เหลียนหรง
นางยืนหันหลังเข้าหาประตู ราวกับกำลังคุยกับใครอยู่ มู่ชิงเกอนำมั่วหยางเดินเข้าไป มู่เหลียนหรงที่กำลังสนทนาอยู่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบหันกลับมาและเห็นว่า เป็นมู่ชิงเกอ ในขณะเดียวกันก็ทำให้มู่ชิงเกอรู้ว่านางกำลังคุยกับใคร
ป๋ายซีเยวี่ยเองหรือ?
ร่างในชุดขาวนั้น ดูช่างน่าสงสารมาก แต่หว่างคิ้วของนางกลับมีความเจ็บแค้นที่ยากจะปกปิด มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว แล้วเดินไปหาท่านอา นางไม่รู้ว่าที่ป๋ายซีเยวี่ย แค้นนั้นเป็นเพราะตัวนาง หลังจากที่ไม่สามารถสืบได้ว่ามู่ชิงเกอกำลังทำอะไรอยู่ ป๋ายซีเยวี่ยจึงไม่ได้รับความพึงพอใจจากรุ่ยอ๋อง ทำให้นางรู้สึกร้อนรนใจเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้มู่ชิงเกอกลับมาปรากฏตัวตรงหน้านาง ทำให้นางตาเป็นประกายและรีบถามว่า “พี่มู่ท่านกลับมาแล้วหรือ?” เสียงนี้เต็มไปด้วยความจริงใจ
มู่ชิงเกอมองนาง พลางพูดกับมู่เหลียนหรงว่า “ท่านอา ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
มู่เหลียนหรงเองขมวดคิ้ว ราวกับว่านางก็มีเรื่องจะปรึกษากับมู่ชิงเกอ ดังนั้นนางจึงสั่งป๋ายซีเยวี่ยว่า “ซีเยวี่ย เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”