ตอนที่ 82-3
พวกเจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็ไม่ยอมรับ!
สิบวันผ่านไป ณ ลั่วตู แคว้นฉิน
ณ เมืองหลวงอันงดงามและน่าเกรงขาม เช้าวันนี้ประชาชนต่างออกมายืนเรียงกันสองข้างถนนทางเข้าเมืองสายหลักกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ทหารที่รักษาความปลอดภัยในเมืองยืนอยู่ข้างถนนทั้งสองฝั่งเพื่อดูแลความเรียบร้อย
วันนี้ เป็นวันที่มู่ซงผู้เป็นเทพแห่งสงครามของแคว้นฉิน กลับแคว้นพร้อมชัยชนะ
ข่าวการบุกรุกของสัตว์ร้ายนั้น ประชาชนในลั่วตูรู้มานานแล้วและประชาชนที่อยู่แห่งนี้ต่างก็รู้ว่าหากไม่ใช่เพราะท่านแม่ทัพพากองทัพทหารออกไปสู้สุดชีวิตพวกเขาก็คงกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้ายพวกนั้นไปแล้ว
เพราะฉะนั้น สำหรับการต้อนรับครั้งนี้พวกเขาต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจที่จะต้อนรับผู้กล้าทั้งหลายกลับบ้าน
ในระยะห่างจากประตูเมืองหลายร้อยจ้างนั้นมีรัชทายาทและรุ่ยอ๋องที่มาตามพระบัญชาของฮ่องเต้อยู่ด้วย สีหน้าของทั้งสองนั้นดูแย่มากและใจของทั้งสองแม้จะมีความคิดที่แตกต่างกันแต่ก็มีเป้าหมายเดียวกัน ในวันนี้แผนการทุกอย่างล้มเหลว แล้วพวกเขาจะดีใจได้อย่างไรกัน?
โดยเฉพาะเวลาที่ได้ยินการยกย่องสรรเสริญและชื่นชมท่านแม่ทัพจากปากของประชาชนรอบข้างยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่ชอบใจ
“เสด็จพี่ วันนี้สีหน้าของท่านดูไม่ค่อยดีเลยนะ!” ฉินจิ่นห้าวที่นั่งอยู่หน้าบนหลังม้าสูงใหญ่มองรัชทายาทอย่างฉินจิ่นซิวแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างนิ่งเฉย
ความเจ็บแค้นวาบผ่านสายตาของฉินจิ่นซิว เขาพยายามเก็บความโกรธเอาไว้ในใจแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางตอบกลับว่า “ข้าสบายดี แต่ข้าว่าสีหน้าของรุ่ยอ๋องต่างหากที่ดูแย่ มีเรี่องอะไรไม่ได้ดั่งใจรึ?”
ฉินจิ่นห้าวหรี่ตา สายตาคู่นั้นประดับไปด้วยความเย็นชา พลางพูดเบาๆ ว่า “เสด็จพี่คิดมากไปแล้ว ที่สีหน้าของข้าดูไม่ดีนั้นเป็นความจริง แต่เพราะเป็นห่วงน้องสาวต่างหากเล่า”
“ฉางเล่อก็ทำเกินไปจริงๆ” ฉินจิ่นซิวหัวเราะอย่างเยือกเย็นและเห็นสายตาของฉินจิ่นห้าวนั้นมีความอาฆาตแฝงอยู่
ทั้งสองเสียดสีกันด้วยคำพูด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดีขึ้นมาเลย
สำหรับฉินจิ่นห้าวแล้ว แม้ว่าครั้งนี้เรื่องที่มู่ซงและหลานชายไม่ได้ตายที่เมืองอี้จะทำให้เขารู้สึกผิดหวัง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาส อย่างไรเสียระหว่างเขากับตระกูลมู่นั้นก็ยังมีความสัมพันธ์ของฉางเล่ออยู่ไม่ใชรึ
แต่สำหรับราชทายาทนั้น… หากมู่ซงรู้ว่ารัชทายาทเป็นคนวางแผนการทั้งหมด ไม่แน่ ว่ามู่ซงที่ยืนอยู่ตรงกลางมาโดยตลอดก็อาจจะเปลี่ยนมาเข้าข้างเขาก็เป็นได้
หลังจากที่คิดทบทวนแล้ว ฉินจิ่นห้าวก็รู้สึกว่าผลลัพธ์แบบนี้ก็ไม่ได้แย่จนเกินไปนัก พลันยิ้มอย่างหมายมาด รอยยิ้มนั้นกระตุ้นให้ไอสังหารในใจของฉินจิ่นซิวให้เพิ่มมากขึ้นและสีหน้าก็พลันโหดเหี้ยมขึ้นเป็นทวีคูณ
ขณะนี้เองด้านหลังของทั้งสองพลันมีเสียงเกือกม้าดังขึ้น ทั้งสองหันหลังกลับไปพร้อมกัน เห็นเพียงมู่เหลียนหรงที่สง่าผ่าเผยขี่ม้ามาพร้อมกับทหารองครักษ์
ฉินจิ่นซิวเม้มปากไม่ได้กล่าวอะไรแต่ฉินจิ่นห้าวนั้นแววตาเปลี่ยนไป แล้วลงจากหลังม้าเดินเข้าไปทักทายมู่เหลียนหรงอย่างมีมารยาท “ท่านอาหรง”
มู่เหลียนหรงก้มหน้าลงรับคำจากฉินจิ่นห้าว “รุ่ยอ๋อง” หลังจากนั้นนางก็ทักทายฉินจิ่นซิวผู้เป็นรัชทายาท “องค์รัชทายาท”
ฉินจิ่นซิวพยายามอย่างหนักเพื่อปรับอารมณ์ของตนเอง แล้วเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางทักทายอย่างมีมารยาทว่า “ท่านอาหรง ท่านมาแล้วรึ”
มู่เหลียนหรงพยักหน้าให้ทั้งสองนิ่งๆ จากนั้นก็พาทุกคนไปยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา เพื่อรอคอยการกลับมาของบิดาและหลานชายของตนเอง
การรบในคราวนี้นางแทบจะไม่ได้รับข่าวคราวอะไรจากเมืองอี้เลย
สถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้นางรู้สึกสงสัยตั้งแต่แรกแล้ว ช่วงที่ผ่านมานั้นจึงไม่หยุดที่จะตามหาหลักฐานเพื่อหาคนร้ายตัวจริงที่คิดจะทำร้ายตระกูลมู่ แล้ววันนี้คนที่นางคิดไว้ก็ยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ทั้งสองต่างหวังบัลลังก์ฮ่องเต้จึงทำให้นางเกิดความสงสัยทั้งคู่ และเมื่อวานพระบัญชาลดหย่อนโทษของฮ่องเต้ก็ชี้ตัวคนร้ายตัวจริงให้แก่นาง
มู่เหลียนหรงแอบเงยหน้าขึ้นมองรัชทายาทผู้เป็นต้นเหตุสำคัญ
ความแค้นใหญ่หลวงในครั้งนี้ก็เหมือนกับปีนั้นตอนที่มารดาและพี่ชายรองของนางเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุอย่างไม่คาดฝัน ส่วนพี่ชายใหญ่ก็ตายในสนามรบโดยไม่มีวันหวนกลับ แม้นางจะพอเดาได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมีเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่กลับไม่มีหลักฐานแล้วจะลงโทษคนผิดได้อย่างไร?
มู่เหลียนหรงก้มหน้าลงแล้วขมวดคิ้วแน่น
นัยน์ตาภายใต้ขนตาอันยาวงอนนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอันเข้มข้น แต่นางก็กดมันไว้ได้ในชั่วพริบตา
‘ตระกูลมู่ ไม่มีวันทำเรื่องทรยศต่อบ้านเมือง!’
มู่เหลียนหรงพูดถึงคำนี้อยู่บ่อยๆ ในวันนี้คำพูดนี้กลับเป็นเหมือนห่วงโซ่ที่รัดนางเอาไว้แน่นหนาจนหายใจไม่ออก ตระกูลมู่ซื่อสัตย์มีคุณธรรม แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาเล่าคืออะไร?
มู่เหลียนหรงกำเชือกในมือไว้แน่นใบหน้านั้นกลับยังคงรอยยิ้มเป็นมิตร ไม่ปล่อยให้ไอสังหารหลุดออกไปแม้แต่น้อย
“มาแล้ว! มาแล้ว!”
ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
ท่านพ่อ! เกอเอ๋อร์!
ญาติในสายเลือดทำให้มู่เหลียนหรงเก็บความแค้นเอาไว้ ในใจและมองออกไปยังนอกประตูเมือง ความตื่นเต้นภายในจิตใจฉายออกมาทางแววตา
บนถนนนอกเมือง ขบวนที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้คน ตกเป็นจุดรวมความสนใจทันที
แต่เมื่อขบวนคดเคี้ยวราวกับงูนั้นใกล้เข้ามา ฝูงชนก็พลันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทันที
กระดาษเงินทองจำนวนนับไม่ถ้วน ปลิวอยู่ท่ามกลางสายลม แลสาดลงเต็มถนนนอกเมืองลั่วตูราวกับเกล็ดหิมะในทันที
ทหารที่กลับมาไม่ได้ดีใจและเบิกบานที่ได้รับชัยชนะ แต่กลับนิ่งเงียบ ในขบวนนั้นมีกลิ่นอายของความปวดร้าวที่ยากจะลบเลือน
ภายในขบวน กระทั่งที่แขนขวาของทุกคนต่างก็มีแถบผ้าสีขาว บนหลังต่างก็แบกตะกร้าสานไม้ไผ่ที่ด้านในบรรจุโถกระเบื้องเคลือบสีดำเอาไว้
ครั้งนี้ กองทหารตระกูลมู่ที่ติดตามมู่ซงกลับมามีเพียงห้าพันคน
และบนร่างกายของทหารทั้งห้าพันต่างก็เป็นเช่นนี้ ตะกร้าไม้ไผ่และโถกระเบื้องเหล่านั้นทำให้ทุกคนเกิดความสงสัย
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทำไม การกลับมาพร้อมชัยชนะของกองทหารในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนก่อนที่ผ่านมา?
กระดาษเงินทองที่ปลิวว่อนไปทั่วฟ้า ปลิวไปทางฉินจิ่นห้าวและฉินจิ่นซิว
บางส่วนตกลงตรงหน้าพวกเขาและบางส่วนก็ตกลงบนตัวของพวกเขา
ฉินจิ่นห้าวยื่นมือออกไปจับกระดาษเงินทองที่หล่นใส่ตนเองแล้วขมวดคิ้วพลางขยำมันจนเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งไป ส่วนฉินจิ่นซิวนั้นก็ยกมือขึ้นปัดกระดาษเงินทองน่ารำคาญนั้นออกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
มู่เหลียนหรงที่อยู่ข้างหลังพวกเขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองกระดาษเงินทองที่ปลิวไปมากลางอากาศ ความเจ็บปวดพลันผุดขึ้นภายในจิตใจ นัยน์ตาพลันมีไอชื้นบางๆ ปกคลุมไว้
ราวกับว่านางสัมผัสถึงความเลวร้ายของสงครามผ่านการซื้อทางจากนรกด้วยกระดาษเงินทองพวกนี้
โถกระเบื้องที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่พวกนั้น แม้คนอื่นจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่นางรู้ได้ทันทีที่เห็นว่ามันคือที่เก็บกระดูกของกองทหารตระกูลมู่ที่เสียชีวิต
‘ท่านพ่อได้พาพวกเขากลับมาแล้ว!’ มู่เหลียนหรงรู้สึกสะเทือนใจ ดวงตานั้นแดงกํ่า
บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบสงบ
ราวกับว่าถูกบรรยากาศแห่งความเศร้าสลดนั้นกลืนกิน