ตอนที่ 91-3
ละครหักมุม! คืนนี้ข้าจะปักปิ่นให้แก่เจ้า
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มมุมปากหนหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ที่ สำคัญที่สุดคือ ทำเช่นนี้ไปเพราะจุดประสงค์ใด ตระกูลมู่มีชื่อเสียงเป็นเทพสงครามอยู่ดีๆไม่ชอบ ตำแหน่ง*กง ก็ไม่เอา ทิ้งอำนาจทั้งหมดเพื่ออะไรกัน เงินรึ? เงินทองตระกูลมู่มีไม่เคยขาด อำนาจตระกูลมู่ยิ่งมีมากจนเหลือล้น จะทำอะไรคงต้องมีเหตุผลมากพอ ตระกูลมู่จะเป็นกบฏ จับมือกับศัตรูที่ทำสงครามกันมานานกว่า 10 ปี เพื่อทำร้ายแคว้นของตนเอง เพื่อเหตุใดกันเล่า? แล้วจะได้รับประโยชน์อะไร? คงไม่ใช่ว่ากินอิ่มเกินไปและว่างจนไม่มีอะไรทำเลยอยากหาเรื่องน่าตื่นเต้นทำหรอกนะ?”
ใช่ ! การที่มู่ซงร่วมมือกับแคว้นถูจะได้รับผลดีอะไร?
เพื่อตั้งตัวเป็นใหญ่รึ? แล้วเช่นนั้นจำเป็นต้องสมคบกับแคว้นถูด้วยรึ? ด้วยแสนยานุภาพของกองทหารตระกูลมู่แล้ว หากมู่ซงคิดจะตั้งตนเป็นอ๋องในดินแดนของตัวเอง ฮ่องเต้แคว้นฉินจะห้ามอย่างไรได้
ถ้าไม่ได้เพื่อตำแหน่งอ๋องหรือจะเพื่อตำแหน่งฮ่องเต้?
เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ หากมู่ซงต้องการเช่นนั้นจริงๆ ตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นฉินจะอยู่ในมือตระกูลฉินเช่นนี้หรือ
ทุกคนต่างก็คิดทบทวน แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลกับการที่มู่ซงเป็น ‘กบฏแผ่นดิน’ ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว
เหตุผลเดียวที่สมเหตุสมผล นั่นก็คือ เชื้อพระวงศ์กลั่นแกล้งกันมากเกินไป ทำให้มู่ซงจำเป็นต้องต่อต้านเพื่อป้องกันตัว แต่ว่าการอธิบายเช่นนี้ใครเล่าจะกล้าพูดออกมา หากไม่ใช่เพราะคิดว่าคอของตนเองแข็งเกินไปหรือไม่ก็อายุยืนยาวเกินไป
ทุกคนยังคงรักษาความเงียบสงบ
และในขณะนี้เอง มู่ชิงเกอก็พูดขึ้นอีกว่า “อีกอย่างเหตุ ไฟไหม้ในครั้งนี้ก็ช่างบังเอิญและเลือกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ข้าเข้าพิธีสวมหมวกพอดี ข้ามีความสงสัยว่าช่วงเวลากลางวันแสกๆเช่นนี้ ภายในห้องหนังสือไม่อะไรนำเชื้อเพลิงเลย จะเกิดเหตุไฟไหม้ได้อย่างไรและยังบังเอิญเอาจดหมายที่เป็นหลักฐานการเป็นกบฏแผ่นดินของตระกูลมู่ออกมาได้ทันเวลาเสียด้วย”
ทหารองครักษ์ที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปเอาสิ่งของที่ยังไม่ถูกเพลิงไหม้ออกมาจากห้องหนังสือคุกเข่าลงในทันที พลางพูดอย่างหนักแน่นกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย ข้า และคนอื่นๆ เสี่ยงชีวิตเข้าไปภายในห้องหนังสือและเห็นว่าสิ่งของพวกนี้ไม่ได้ถูกเพลิงไหม้จึงได้นำออกมา”
“อย่างนั้นรึ ? มู่ชิงเกอพูดอย่างขบขัน พลางทำท่าราวกับพูดกับตัวเองว่า “เปลวเพลิงนี้ก็ช่างรู้งานดีนัก รู้ว่าอะไรควรเผา อะไรไม่ควรเผา”
คำพูดนี้เข้าไปสะกิดใจของทุกคนและทำให้ทุกคนกระจ่างในทันที
ใช่สิ หากเป็นเพลิงไหม้ที่เกิดจากอุบัติเหตุ เปลวเพลิงที่ลุกลามถึงเพียงนั้นจะเลือกที่จะไม่เผาจดหมายพวกนี้ไปได้อย่างไรกัน นอกจากจะมีรอยไหม้เล็กน้อยก็แทบจะไม่มีความเสียหายอื่นใดเลย ในโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญเช่นนี้ได้หรือ ป๋ายซีเยวี่ยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา ในขณะนี้บนแผ่นหลังได้เต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก จนทำให้นางตัวสั่น
ก่อนหน้าที่มู่ชิงเกอไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา นางยังคงรู้สึกว่าการวางแผนของตนเองนั้นช่างสมบูรณ์แบบ และไม่หลงเหลือหลักฐานอันใดให้ใครสงสัยและยังจะทำให้ฮ่องเต้แคว้นฉินหาเหตุผลที่จะกำจัดตระกูลมู่ได้ แต่ทว่าในตอนนี้นางกลับสัมผัสได้ถึงความผิดพลาดมหันต์ราวกับว่าแผนการของตนเองเป็นดั่งเกมเด็กเล่น ผ่านนํ้าเสียงที่ฉายแววขบขันของมู่ชิงเกอ ไม่แปลก! ไม่แปลกที่ในตอนแรกที่เขาเห็นจดหมายเหล่านี้จึงพูดว่า ‘ปัญญาอ่อน’
ถึงแม้ว่านางจะเลียนแบบลายมือของมู่ซงได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใดเขาจึงสามารถเปลี่ยนแปลงตอนจบของเรื่องได้ด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ แม้ว่าในวันนี้เขาจะสามารถฝึกพลังได้แล้ว แต่ก็ยังคงเป็นจอมเสเพล เขามีสิทธิ์อะไรกัน!
ความรู้สึกอิจฉาเกิดขึ้นภายในจิตใจของป๋ายซีเยวี่ยและค่อยๆ มาแทนที่ความหวาดกลัว
“ช่างโง่เขลาเสียจริง” มู่ชิงเกอส่ายหน้าเบาๆ พูดพร้อม นํ้าเสียงเยาะเย้ยว่า “โง่เขลาจนข้าไม่อยากจะพูดต่อ”
แผนการที่นางตั้งใจคิดขึ้นมาในสายตาเขากลับเป็นเรื่องที่ดู ‘ปัญญาอ่อน’ อย่างนั้นหรือ
ความโกรธเกลียดอันมหาศาลในใจของป๋ายซีเยวี่ยแทบจะทะลุผ่านดวงตาของนางออกมา
“น้องซีเยวี่ย เหตุใดเจ้าจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเล่า?” มู่ชิงเกอพลันเบนสายตามาและมองนางพร้อมรอยยิ้มที่แฝงความเย้ยหยัน
ป๋ายซีเยวี่ยตะลึง ความโกรธแค้นที่ซ่อนอยู่ในแววตา พลันหายวับไปในทันที
แต่ยังคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นสายตานั้น
“ข้าพูดอะไรผิดอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ ซีเยวี่ยจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน’’ ป๋ายซีเยวี่ยรีบพูดกลบเกลื่อนอย่างตื่นตระหนก
มู่ชิงเกอเดินเข้าไปหานางพลางผุดรอยยิ้มและพูดว่า “ข้ายังไม่ได้ขอบคุณน้องซีเยวี่ยเลยที่เมื่อสักครู่นี้หากไม่ใช่เพราะดวงตาอันเฉียบแหลมของเจ้าพบจดหมายที่ แสดงถึงการใส่ความตระกูลมู่ท่ามกลางกองหนังสืออันมากมายเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“…” ป๋ายซีเยวี่ยสัมผัสได้ว่า คนรอบข้างต่างก็มองมาที่นาง ทำให้นางไม่สามารถแก้ตัวได้
นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอต่ำลงและพูดอย่างจริงจังว่า “แต่ว่าข้าจะขอตำหนิเจ้าอีกเรื่อง ทันทีที่พบหลักฐานก็ควรจะพูดออกมาเลย ตระกูลมู่ของเรานั้นกล้าทำกล้ารับ ไม่ มีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าเปิดเผยต่อหน้าทุกคน ท่าทางอันร้อนรนของเจ้าจะยิ่งเป็นพิรุธ”
ป๋ายซีเยวี่ยฝืนยิ้ม ท่ามกลางสายตาที่แทบจะกระชากวิญญาณนางของมู่ชิงเกอ นางตอบเสียงสั่นว่า “เจ้าค่ะ ซีเยวี่ยทราบแล้ว”
และในขณะที่ร่างของป๋ายซีเยวี่ยแทบจะพังทลายท่ามกลางสายตาของนาง ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ตะโกนด้วยนํ้าเสียงที่เคร่งขรึมว่า “มั่วหยาง”
หลังจากที่สิ้นเสียงของนาง มั่วหยางก็พาทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งขององครักษ์เขี้ยวมังกรเดินออกมาจากมุมมืด
เขาเดินตรงมาคารวะตรงหน้ามู่ชิงเกอ บนร่างแฝงไปด้วยกลิ่นอายการฆ่าฟัน ทำให้คนจำนวนไม่น้อยถอยหลังไปหลายก้าว ทหารองครักษ์ที่เก่งกาจเช่นนี้ แม้แต่ ฉินจิ่นห้าวเองก็มองด้วยแววตาที่เจือไปด้วยความอิจฉา
“คุณชาย”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับช้าๆ และถามขึ้นในทันทีว่า “วันนี้ เป็นวันสำคัญของข้า ข้าสั่งให้เจ้าและองครักษ์เขี้ยวมังกรหลบซ่อนอยู่ทั้งภายในและภายนอกจวนตระกูลมู่ เพื่อเป็นหูเป็นตาไม่ให้ผู้ใดเข้ามาก่อความวุ่นวาย เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดห้องหนังสือของท่านผู้เฒ่าจึงได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้”
พอสิ้นเสียงของมู่ชิงเกอ ป๋ายซีเยวี่ยก็รู้สึกว่าตนเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และตัวอ่อนไปทั้งตัว
มู่ชิงเกอสั่งให้ทหารองครักษ์ของตนเองซ่อนตัวอยู่ภายในจวนตระกูลมู่อย่างนั้นหรือ
และยังกระจายอยู่รอบๆ ห้องหนังสือด้วย
นั้นก็แสดงว่า…
ทันใดนั้น ป๋ายซีเยวี่ยก็หน้าซีดจนแทบจะหมดสติล้มลง
ทันใดนั้น นางก็มีความคิดที่จะหลบหนี นางมองฉินจิ่นห้าว หวังจะได้รับการปกป้องจากเขาให้เขาพานางออกจากที่นี่ ออกจากตระกูลมู่
แต่ว่า ฉินจิ่นห้าวกลับไม่แม้กระทั่งจะมองนางเลยแม้แต่เสี้ยวสายตาเดียว ราวกับว่าได้ทอดทิ้งนางไปเสียแล้ว
‘ไม่! เป็นไปไม่ได้! นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดองค์ชายจึงไม่สนใจข้า’ ในใจของป๋ายซีเยวี่ยเต็มไปด้วยความแค้นและสิ้นหวัง
แต่ว่า ตอนนี้นางไม่กล้าพูดจาเหลวไหล
เพราะนางรู้ว่ารุ่ยอ๋องคือความหวังเดียวของนาง
มั่วหยางตอบกลับด้วยนํ้าเสียงอันเคร่งขรึม “ข้าและทหารคนอื่นๆได้หลบซ่อนตัวอยู่บริเวณห้องหนังสือ ในวันนี้เป็นวันที่คุณชายเข้าพิธีสวมหมวก ผู้คนส่วนใหญ่ ต่างก็ทำกิจกรรมกันอยู่ในสวนด้านหน้ามีเพียงคนเดียวที่เข้าไปยังห้องหนังสือของท่านผู้เฒ่า นั้นคือแม่นางป๋าย นางเข้าไปในห้องหนังสือพักใหญ่และหลังจากที่นางออกไปไม่นาน ห้องหนังสือก็เกิดเพลิงไหม้”
“เจ้าโกหก! ข้าไม่ได้ทำ!” ป๋ายซีเยวี่ยรีบปฏิเสธ แต่ทว่าคำพูดปฏิเสธพวกนั้นกลับไม่ได้มีนํ้าหนักอะไรเลย
มู่ชิงเกอพูดกับมั่วหยางว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
มั่วหยางนำทุกคนถอยออกไปและสำหรับคำพูดของป๋ายซีเยวี่ยนั้น เขาไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
*กง เป็นตำแหน่งที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับขุนนางที่มีความดีความชอบมาก ในยุคสมัยโจว แบ่งเป็นห้าระดับ มี กง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน โดยกงเป็นตำแหน่งสูงสุด