ตอนที่ 91-4
ละครหักมุม! คืนนี้ข้าจะปักปิ่นให้แก่เจ้า
ในตอนนี้ดวงตาของมู่เหลียนหรงฉายแววเจ็บปวด ความหวังสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่ได้ถูกพังทลายลง ในขณะเดียวกันมู่ซงเองก็รู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นหลายเท่า
มู่ชิงเกอจดจ้องสายตาไปยังป้ายซีเยวี่ย พลางถามด้วยนํ้าเสียงอันแฝงความอ่อนโยนว่า “น้องซีเยวี่ย เจ้าจะบอกกับข้าได้หรือไม่ว่า เจ้าไปทำอะไรในห้องหนังสือของท่านปู่ เหตุใดพอเจ้าออกไป ห้องหนังสือก็เกิดเพลิงไหม้อย่างไร้สาเหตุและเหตุใดเจ้าถึงเป็นคนแรกที่พบจดหมายเหล่านี้ราวกับว่าเจ้าคุ้นเคยกับพวกมันเป็นอย่างดี เพียงแค่กวาดสายตามองก็รู้ได้ทันทีว่าจดหมายพวกนี้จะก่อให้เกิดผลเสียต่อตระกูลมู่ จึงปิดบังไม่ให้ใครได้พบเห็น”
คำถามอันมากมายนี้ทำให้ป้ายซีเยวี่ยไม่สามารถตั้งรับได้
ผู้คนที่สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ทันทีที่สิ้นเลียงของมู่ชิงเกอก็ได้กระจ่างในข้อสงสัยทั้งหมดและหยุดสายตาที่ป๋ายซีเยวี่ย
“ดูเหมือนว่าเรื่องที่ใส่ความท่านผู้เฒ่านั้น แม่นางป๋ายผู้นี้น่าสงสัยที่สุดแล้ว” ฉินจิ่นห้าวพูดขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความเย็นเยียบราวกับว่าได้คาดโทษป๋ายซีเยวี่ยด้วยคำพูดคำนั้นไปแล้ว
ป๋ายซีเยวี่ยเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ ทว่านางกลับไม่เห็นความรู้สึกอันใดบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้ที่นางรักสุดหัวใจ
ไร้ความรัก ไร้ความปรานี
คำพูดเหล่านี้ผุดขึ้นในความคิดของป๋ายซีเยวี่ย ทำให้นางรู้สึกปวดร้าวขึ้นมา
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” มู่ชิงเกอรับคำและเผยให้เห็นความปวดร้าว
ราวกับว่าการที่ถูกผู้ที่ไว้ใจภายในจวนของตนเองหักหลัง ทำร้ายความรู้สึกลึกๆ ของนาง
สำหรับนางอาจจะเป็นการแสร้งทำ แต่สำหรับความรู้สึกของมู่ซงและมู่เหลียนหรงที่มีต่อป๋ายซีเยวี่ยนั้นล้วนเป็นความจริง ในตอนนี้ในตอนที่มู่ชิงเกอเกิดความสงสัยในตัวของป๋ายซีเยวี่ย ความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นในแววตาของพวกเขานั้นไม่ได้แสร้งทำแต่อย่างใด
“เด็กๆ! ควบคุมตัวคนผิดไว้ แล้วเอาตัวไปขังในคุกของกรมอาญา วันรุ่งขึ้นข้าจะไปกราบทูลเสด็จพ่อ แล้วค่อยตัดสินโทษ” คำสั่งอันเย็นชาของฉินจิ่นห้าว ทำให้หัวใจของป๋ายซีเยวี่ยแตกสลาย
“ไม่! ไม่ใช่ข้า! มีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องทำเช่นนั้น ตระกูลมู่มีบุญคุณกับข้าอย่างเหลือล้น ข้าจะอกตัญญูได้อย่างไร” ป๋ายซีเยวี่ยดิ้นรนสุดแรง พลางตะโกนร้องเรียกมู่ซงและมู่เหลียนหรง “ท่านปู่มู่ ท่านอาหรง พวกท่านคิดว่าซีเยวี่ยเป็นคนทำจริงๆ หรือ”
มู่เหลียนหรงหันหน้าหนี ไม่ได้มองนาง
ทว่า มู่ซงกลับเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงและหลับตาลง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนแห่งตระกูลมู่ไม่สนใจ ความโกรธเกลียดและความแค้นที่สุมอยู่ในอกของป๋ายซีเยวี่ยยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น นางหันไปมองฉินจิ่นห้าวอย่างหมดหวัง พลางตะโกนว่า “รุ่ยอ๋องข้าน้อยถูกใส่ร้าย! ขอพระองค์ทรงทวงความยุติธรรมให้ด้วย!”
“จะถูกใส่ร้ายหรือไม่นั้น จะมีตรวจสอบให้ชัดเจน หากเจ้าบริลุทธิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกถึงเพียงนี้และจงไปกับองครักษ์ของข้าอย่างวางใจ” ฉินจิ่นห้าวพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบ
มีการปลอบประโลมประดับอยู่ในเสียงนั้น เพื่อไม่ให้นางดึงตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องต่อหน้าทุกคนเพราะความกลัวตาย
เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ภายในใจของป๋ายซีเยวี่ยก็มีความหวังเกิดขึ้น การต่อต้านลดน้อยลงมาก
แต่ทว่า มู่ชิงเกอกลับไม่ยอมให้มันจบลงง่ายๆ เช่นนี้
นางเงยหน้าขึ้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในแววตาฉายแววความเจ็บปวดและพูดกับป๋ายซีเยวี่ยว่า “น้องซีเยวี่ย เหตุใดถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่รู้จักกลับตัว หลายปีมานี้ ตระกูลมู่เคยทำไม่ดีกับเจ้าหรืออย่างไร เจ้าเองก็บอกว่าตระกูลมู่มีพระคุณต่อเจ้าอย่างมากล้น แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้ ลวี่จือ ไหนเจ้าลองพูดมาซิ”
ป๋ายซีเยวี่ยหันไปมองสาวใช้ที่วันนี้เงียบมาตลอดทั้งวัน ในแววตาประกายเต็มไปด้วยความเชื่อใจ
ลวี่จือที่ถูกเอ่ยชื่อก้มหน้าลงและเดินออกมา พลันคุกเข่าลง ไม่กล้ามองป๋ายซีเยวี่ยแม้แต่เสี้ยวสายตาเดียว เพียงแค่พูดเบาๆ ว่า “คุณหนู ท่านอยู่ภายในจวนตระกูลมู่ มานานหลายปี ทุกคนในจวนตระกูลมู่ต่างก็จริงใจกับท่าน นายท่านผู้เฒ่าและคุณหนูใหญ่เองเลี้ยงดูท่านประหนึ่งหลานแท้ๆ คุณชายเองก็เห็นท่านเป็นดั่งพี่น้อง ข้าน้อยทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว ทนเห็นท่านมองว่าตระกูลมู่เป็นเหตุทำให้คนในครอบครัวของท่านต้องตายจาก ทำให้ท่านต้องสูญเสียทุกอย่างที่ควรจะเป็นของท่านไป จนต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องมาอยู่ในจวนตระกูลมู่ในฐานะผู้อาศัย การที่ท่านปกปิดการฝึกพลังของท่านก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้ท่านยังคิดร้ายกับตระกูลมู่ ไม่สนใจความเป็นความตายของคนในจวนตระกูลมู่ สำหรับเรื่องนี้ข้าน้อยทนไม่ได้จริงๆ ขอให้ท่านโปรดอภัย ให้ข้าน้อย!” พูดจบ นางก็ก้มหน้าลงโขกหัวเพื่อคารว ป๋ายซีเยวี่ยสุดชีวิต เพียงสองสามที หน้าผากก็เต็มไป ด้วยโลหิตสีแดงสด
“นังบ่าวชั่ว! เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า? เจ้ากล้าทำเรื่องทรยศเจ้านายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”ป๋ายซีเยวี่ยตะโกนด้วยความโกรธ บนฝ่ามือพลันมีแสงสีเหลืองส่อง ประกายออกมา
แต่ทว่า องครักษ์ของฉินจิ่นห้าวนั้นเป็นถึงสายเขียว นางจะสู้ได้อย่างไร
ฉินจิ่นห้าวขมวดคิ้ว
แต่ก็แยกไม่ออกว่า นางกำลังไม่พอใจเรื่องที่มู่ชิงเกอพยายามบีบบังคับทุกวิถีทางหรือเรื่องที่ป๋ายซีเยวี่ยปกปิดพลังเวท
คำพูดของลวี่จือ ราวกับทำให้ทุกคนกระจ่างในเหตุผลที่ป๋ายซีเยวี่ยเป็นคนใส่ความตระกูลมู่
ทันใดนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวนางเกิดขึ้น
“ในโลกนี้มีผู้หญิงที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้เชียวรึ ช่างอำมหิตเสียจริง!”
“ไม่ทดแทนบุญคุณก็ช่างเถอะ แต่ทำร้ายผู้มีพระคุณ ช่างเป็นการทำคุณบูชาโทษเสียจริง”
“เหอะๆ ผู้หญิงเช่นนี้เลี้ยงเอาไว้ในจวน ก็เหมือนเลี้ยงงูเห่า! ”
“งูเห่าอย่างนั้นรึ เป็นเหมือนตัวกาลกิณีของจวนเสียมากกว่า”
“ข้าว่าหน้าตานางก็งดงามอ่อนโยน แต่ใครจะคิดว่ามีจิตใจดั่งอสรพิษ ตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ”
“ผู้หญิงเช่นนี้ข้าจะถอยหนีให้ห่างไกล ไม่กล้าเข้าใกล้หรอก!”
“พวกเจ้าหุบปาก! หากจะยังกล้าพูด ข้าจะฆ่าทิ้งเสียให้หมด! ” ป๋ายซีเยวี่ยราวกับเสียสติ รวมพลังสีเหลืองไว้ในมือ พลันฟาดออกไปบริเวณที่มีเสียงวิจารณ์ดังแว่วมามากที่สุด
แต่ทว่า ได้ถูกองครักษ์ของฉินจิ่นห้าวหยุดยั้งเอาไว้ได้ทัน จึงไม่มีใครเป็นอะไร
“ทำให้นางหมดสติแล้วเอาตัวออกไป” ฉินจิ่นห้าวสั่งด้วยนํ้าเสียงอันเคร่งขรึม
เขาไม่อยากให้ป๋ายซีเยวี่ยโดนกดดันจนและพูดในสิ่งที่ไม่ควรในขณะที่ขาดสติหรอกนะ
เหล่าองครักษ์ทำตามคำสั่งในทันที ตีป๋ายซีเยวี่ยจนหมดสติไป จากนั้นก็นำตัวนางออกไป โดยที่มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้ห้าม
ฉินจิ่นห้าวมองนาง แล้วกวาดสายตาอันโหดเหี้ยมไปที่ลวี่จือที่คุกเข่าและนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น มู่ชิงเกอแอบยิ้มอย่างเย็นเยียบ
คนอย่างป๋ายซีเยวี่ย จะมีสาวใช้ที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า?
นางไม่ได้ข่มขู่อะไรลวี่จือ เพียงแต่รับปากว่าจะยกเลิกฐานะทาสของนาง และให้เงินทองจำนวนหนึ่งกับนาง นางก็เลือกที่จะเปิดเผยความลับของเจ้านายออกมาโดยไม่ลังเล
นางจะทำตามที่รับปากเอาไว้ เพียงแต่ลวี่จือจะมีชีวิตอยู่รอดจนได้ไปยกเลิกการเป็นทาสไหมนั้น ไม่เกี่ยวกับนาง
ป๋ายซีเยวี่ยถูกนำตัวออกไป เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดก็เป็นอันจบลง