Skip to content

พลิกปฐพี 100-1

ตอนที่ 100-1

ไม่มีอะไรที่ไม่รู้หากยอมจ่ายเงิน!

คนสองกลุ่มที่เข้ามา มีกลุ่มที่มู่ชิงเกอรู้จักอยู่กลุ่มหนึ่ง นั่นก็คือ มั่วหยางและคนอื่นๆ ที่มาถึงก่อนหน้านี้ และอีกกลุ่มหนึ่ง แม้จะไม่รู้จัก แต่เมื่อได้เห็นความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่าน ก็พอจะเดาออกว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร

และก็เป็นอย่างที่คาดการเอาไว้ในขณะที่มั่วหยางเดินเข้ามา คนกลุ่มนั้นเองก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว หัวหน้ากลุ่ม พูดกับสองพี่น้องตระกูลเว่ยว่า “คุณชาย คุณหนู!” เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านลงจากหลังม้าและเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา พลางเอ่ยเรียกเขาอย่างนอบน้อมว่า “ลุงโจว” หลังจากนั้น ทั้งสามก็เกาะรวมตัวกันเป็นกลุ่มและ กระซิบคุยกัน

แม้ว่าจะไม่ได้ยิน แต่มู่ชิงเกอก็สามารถเดาได้ว่าน่าจะ พูดคุยเรื่องราวที่ต่างฝ่ายพบเจอหลังจากที่หลงกัน

เมื่อละสายตาจากตระกูลเว่ย มู่ชิงเกอหันไปมองมั่วหยางและพูดว่า “ที่พักได้จัดเตรียมไว้แล้วหรือยัง”

มั่วหยางพยักหน้ารับ “ท่าน ห้องพักและนํ้าอุ่น รวมทั้งอาหารได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าอาหารแคว้นจื้อนั้นค่อนข้างจะหวาน ท่านอาจจะไม่คุ้นชินนัก ข้าน้อยจึงได้สั่งคนไปหาพ่อครัว พรุ่งนี้เช้าอาจจะได้ข่าวคราว”

“ไม่ต้องลำบาก ในเมื่อได้มาเยือนแคว้นลี่แล้ว ก็ต้องลิ้มรสอาหารของแคว้นลี่ แม้ว่าจะไม่คุ้นชิน แต่ก็ยังมีโย่วเหออยู่” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเบาๆ รู้สึกว่ามั่วหยางทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่มากเกินไป มั่วหยางก้มสายตาลง พยายามเก็บความรู้สึกที่แสดงออกมาทางสายตา พลางตอบอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”

 

“ไปกันเถิด เข้าไปพักในเมือง” มู่ชิงเกอสั่ง มั่วหยางพยักหน้า คนกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาก็ได้เข้าไปรวมอยู่ในขบวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมออกเดินทาง

“มู่เกอ!” ทันใดนั้น เสียงของเว่ยกว่านกว่านก็ได้ดังขึ้นมา ทำให้มู่ชิงเกอต้องหันไปมอง

นางเห็นเว่ยกว่านกว่านวิ่งเข้ามาหาตนเองอย่างรวดเร็ว ข้างหลังมีเว่ยฉีและคนที่พวกเขาเรียกว่าลุงโจวตามมาด้วย ส่วนองครักษ์ที่เหลือเองก็ตามมาติดๆ

เมื่อมาอยู่ตรงหน้าเพลิงรัตติกาล เว่ยกว่านกว่านเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ พลันกล่าวเชิญว่า “พี่มู่ ข้ามีเรือนพักที่เมืองจื้อ พวกท่านไปพร้อมกับพวกข้าดีไหม”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้รีบปฏิเสธทันที ในขณะนี้เองเว่ยฉีก็พาลุงโจวเดินเข้ามาและแนะนำให้กับทั้งสองว่า “พี่มู่ นี่เป็นหัวหน้าองครักษ์ของตระกูลเว่ย นามว่าลุงโจว ลุงโจว ท่านนี้คือผู้ที่ข้าเคยเล่าให้ฟังว่าช่วยข้าและกว่านกว่านเอาไว้พวกเขามาจากแคว้นฉินและเตรียมจะเข้าไปเรียนรู้การแพทย์ที่โรงโอสถย่อยของแคว้นอวี๋”

ลุงโจวผู้นี้ อายุราว 40 กว่าปีท่าทางนิ่งสงบ ฉายแววซื่อสัตย์

ในขณะที่มู่ชิงเกอพินิจเขา เขาเองก็พินิจมู่ชิงเกอเช่นกัน มองแค่แวบแรก เขาก็ถึงกับตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีชายหนุ่มที่งดงามได้มากถึงเพียงนี้ช่างเป็นการเปิดโลกความงามใหม่ให้กับตัวเขาจริงๆ

หลังจากนั้น เขาก็พบว่า คนกลุ่มนี้อายุล้วนยังไม่มากนัก การรวมตัวเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกฉงนใจ โดยปกติแล้วขบวนที่เดินทางไกลเช่นนี้ ต้องมีคนที่พอจะมีอายุและหนักแน่นสักคนคอยนำขบวนไม่ใช่หรือ

ครู่ต่อมา ในขณะที่เขามองมู่ชิงเกอด้วยสายตาสงสัย เขาก็ได้ค้นพบว่า ชายชุดแดงผู้นี้ท่าทางดูหนักแน่น แน่วแน่และมั่นคงเกินอายุ และท้ายที่สุด เขาสังเกตเห็นว่า ข้างล่างตัวมู่ชิงเกอคือ อาชาเพลิง และคนอื่นๆ ต่างก็ขี่อยู่บนอาชาเพลิงเช่น เดียวกัน จึงหรี่ตาลง ราวกับค้นพบคำตอบเกี่ยวกับข้อข้องใจของตนเอง

คนกลุ่มนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดา ไม่เพียงแค่ล้วนหนักแน่นแข็งแกร่งทุกคน นอกจากนี้ความสามารถก็คงจะมีไม่น้อย

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของลุงโจว แต่ก็เพียงแค่ขณะหนึ่งเท่านั้น

หลังจากที่เว่ยฉีแนะนำเสร็จแล้ว และหันมามองเขา ท่าทางของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ในขณะเดียวกันก็ได้กล่าวเชิญชวน “คุณชายมู่ได้ช่วยคุณชายและคุณหนู ของเราเอาไว้ถือเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเว่ย ตระกูลเว่ยจะให้ผู้มีพระคุณออกไปอยู่ข้างนอกได้อย่างไร คุณชายมู่ไปกับพวกข้าเถิด ให้เราได้แสดงนํ้าใจของเจ้าบ้านในการรับรองท่าน”

ไปพักที่เรือนรับรองตระกูลเว่ย แท้จริงแล้วก็ดีกว่าห้องพักแขกที่วุ่นวายอยู่มาก

มู่ชิงเกอคิดทบทวนพักหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ

คนและม้าสองกลุ่มรวมตัวกัน และเข้าไปยังเมืองจื้ออย่างสง่าผ่าเผย

เรือนรับรองตระกูลเว่ยนั้นอยู่ภายในเมืองจื้อ เพียงแต่ว่าเป็นบริเวณที่สงบกว่าก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นการที่พวกเขาจะเข้าไปภายในเมือง ต้องผ่านย่านการค้าอันคึกคักของเมืองจื้อก่อน

เมื่อทุกคนเดินผ่านตึกที่มีการสร้างและตกแต่งอย่างโดดเด่นและเต็มไปด้วยผู้คน มู่ชิงเกอก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งและหันกลับมาอย่างนิ่งเฉย โดยไม่ได้หยุดขบวน เว่ยกว่านกว่านเองที่เห็นตึกนั้นเช่นกัน ก็ขี่ม้าและเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เพื่ออยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอและถามด้วยความฉงนใจว่า “พี่มู่ ท่านจะไปหอสรรพสิ่งมิใช่หรือ แต่เมื่อกี้เราผ่านมาแล้วนะ เหตุใดจึงไม่เข้าไปล่ะ”

“ไม่รีบ” มู่ชิงเกอตอบอย่างเย็นชา

นางยังไม่คิดจะจากไปตอนนี้ จะเร่งรีบไปเพื่อเหตุใดกัน หากว่าหอสรรพสิ่งมีเบาะแสเกี่ยวกับพญาเพลิงจริง ไปช้าวันหนึ่ง เบาะแสเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะมีขาวิ่งหนีไปได้ เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เว่ยกว่านกว่านเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงพยักหน้าราวกับเข้าใจแต่ไม่เข้าใจเลยสักนิด

พักใหญ่ นางก็พูดต่ออีกว่า “ดอกทานตะวันลั่วรื่อที่ท่านแม่ของข้าต้องการ ตอนนี้ได้ให้ลุงโจวสงคนเอากลับไปแล้ว ที่เขายังอยู่ที่นี่ต่อก็เพื่อรอเรา ท่านจะอยู่ที่เมือง จื้อนานเท่าไหร่ เราเดินทางพร้อมกันดีไหม เพราะการที่ท่านจะไปแคว้นอวี๋ต้อง ผ่านเมืองถัวอยู่แล้ว”

มู่ชิงเกอคิดทบทวนครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ได้”

นางรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านแม่ของสองคนนี้ อยากจะรู้ว่าโรคที่ทำให้ปรมาจารย์ปรุงยาจำนวนนับไม่ถ้วนจมมุมนั้นรักษายากเพราะเหตุใดกัน อีกประการหนึ่ง สองพี่น้องตระกูลเว่ยให้ความรู้สึกกับนางไม่เลว ท่านพ่อของพวกเขาก็สร้างความสนใจและนางอยากจะทำความรู้จัก ออกเดินทางไกลเช่นนี้ มีมิตร สหายมากก็ยิ่งเป็นประโยชน์

มีมิตรสหายมากก็มีทางออกมาก เหตุผลนี้มู่ชิงเกอกระจ่างตั้งแต่ชาติที่แล้ว

เมื่อชาติที่แล้ว การที่นางสามารถกลายเป็นอันดับหนึ่งได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีเพื่อนพ้องจำนวนมาก หากมีภารกิจมาก เพื่อนๆ ของนางก็จะมาช่วยหรือให้ความ ร่วมมือ ทำให้นางประหยัดปัจจัยหลายๆ อย่าง และลดปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาได้มากมาย เพราะเช่นนี้จึงทำให้ภารกิจของนางสามารถบรรลุได้ เหมือนดั่งภารกิจสุดท้ายของนาง หากไม่ใช่เพราะเพื่อนที่อยู่ในสังคมมืดและโด่งดังไปทั่วโลก ช่วยสืบข่าวคราวของฝ่ายศัตรูรู้แผนที่ทั้งหมดอย่างละเอียดและปิดระบบการทำงาน 10 วินาที นางก็ไม่สามารถจะขโมยยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอจากฝ่ายศัตรูได้

เดินเข้ามาเกือบครึ่งเมืองจื้อ จึงมาถึงเรือนรับรองของตระกูลเว่ย

หลังจากที่เข้าไปภายในเรือนรับรอง มู่ชิงเกอและคนของนาง ต่างก็ถูกจัดให้พักอยู่ในเรือนแห่งหนึ่ง เรือนแห่งนี้บรรยากาศดีและกว้างขวางมาก พวกเขาทั้ง 20 กว่าคนอยู่ยังไม่ถือว่าแออัด

ทันทีที่ เข้าไปภายในเรือนโย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็นำบ่าวรับใช้ภายในเรือนรับรอง เร่งรีบจัดการทุกอย่างให้เข้าที่

มู่ชิงเกอมั่งรออยู่ที่ศาลากลางเรือน คนที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็คือมั่วหยาง

สำหรับสองพี่น้องตระกูลเว่ย ตอนนี้ได้กลับไปอาบนํ้าหวีผมที่ห้องของตนเองแล้ว

“ได้ข่าวว่าอย่างไรบ้าง?” มู่ชิงเกอถาม

ริมฝีปากที่เม้มแน่นของมั่วหยางค่อยๆ คลายออก และพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าน้อยยังไม่ได้ข่าวคราวอะไร หลายวันที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะสืบอย่างไร ก็ไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับมู่ยี่และฟ่งเหนียงเลยแม้แต่น้อย”

ผลลัพธ์นี้ไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอผิดหวังมากนัก

ราวกับว่า นางรู้อยู่แล้วว่าการสืบสวนในครั้งนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ทว่า ด้วยความสามารถของฟ่งเหนียง คนที่นางแต่งด้วยจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ แต่กลับไม่สามารถสืบเบื้องหลังของพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก “แต่ว่า ในขณะที่ข้าน้อยได้สืบว่า 10 ปีก่อนหน้านี้ในแคว้นลี่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง กลับพบโดยบังเอิญว่า เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นลี่ได้หายตัวไปพร้อมกับสมบัติอันลํ้าค่าของแคว้นลี่” มั่วหยางพูดเสริม

“องค์หญิงแคว้นลี่หายตัวไปอย่างนั้นหริอ” มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่

องค์หญิงแคว้นลี่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมที่เมืองลั่วรื่อแห่งแคว้นฉินหรือเปล่า

“สืบต่อไป” หลังจากสั่งการ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

ในสายตาของมั่วหยาง เหมือนกับมู่ชิงเกอได้งีบหลับไป แล้วแต่ในความเป็นจริง นางกลับเข้าสู่ช่องว่างของตนเองและเรียกตัวเหมิงเหมิงออกมา

“เจ้านายๆ ท่านมีเวลามาทำลูกอมให้เหมิงเหมิงหริอยัง” เหมิงเหมิงที่ตัวเท่านิ้วหัวแม่มือกระโดดออกมาง้อมู่ชิงเกอในทันที

มู่ชิงเกอกระตุกรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างแรงทีหนึ่ง โอสถที่นางหลอมออกมา ถูกเหมิงเหมิงเรียกว่าลูกอมเช่นนี้ มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!