Skip to content

พลิกปฐพี 102-4

ตอนที่ 102-4

จัดการกับเจ้าไม่ได้!

หลังจากที่ออกมาจากทางลับ ก็ได้ออกห่างจากหอสรรพสิ่งมาไกลหลายสิบจ้างแล้ว

เว่ยฉีโล่งใจและพูดว่า “เป็นครั้งแรกที่รับรู้ถึงรสชาติการได้เงินมาแล้วต้องหลบหนีอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้”

“ไอ้เจ้าคนขี้ขลาด เราก็ออกมาได้แล้วยังจะกลัวอะไรอีก” เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างเฉยเมย

“เจ้าจะรู้อะไร หากมีคนรู้ว่าโอสถเก้าชีวิตหวนคืนมาจากมู่เกอ แน่นอนว่าต้องจับตัวเขาและบีบบังคับเพื่อเอาโอสถเป็นแน่” เว่ยฉีพูดอย่างเคร่งเครียด

“โอสถนี้ ไม่มีแล้วมิใช่หรือ” ใบหน้าของเว่ยกว่านกว่านฉายแววไม่เข้าใจ

เว่ยฉีบีบใบหน้านางอย่างโมโห จากนั้นก็ต้องหลบฝ่ามือของนางที่สะบัดเข้ามาหา “ก่อนหน้านี้ มู่เกอเคยบอกแล้วว่าโอสถนี้มีเพียงเม็ดเดียว แล้วสุดท้ายล่ะ เรารู้ว่า มันไม่มีแล้ว แต่พวกเขาจะเชื่อเราไหม ในตอนนี้ผู้มีอำนาจทั้งหลายในเมืองจื้อ ต่างก็จับจ้องโอสถเก้าชีวิตหวนคืนอยู่ เจ้าคิดว่าด้วยความสามารถของเราแล้ว จะ สามารถต้านทานผู้มีอำนาจของเมืองจื้อได้หรือ อีกประการหนึ่งคุณชายจูนั้นยังโดนหลอกเงินอีกมหาศาล!”

“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี มู่เกอจะเป็นอันตรายหรือไม่ ! ถ้าเช่นนั้นเราส่งข่าวไปบอกท่านพ่อ ให้มารับเราดีหรือไม่” เมื่อได้รับคำอธิบายจากพี่ชายฝาแฝด เว่ยกว่า นกว่านก็รับรู้ได้ถึงความอันตรายในเรื่องนี้ในทันที

“บางที เขาอาจจะไม่ให้เรามีโอกาสนั้น อีกประการหนึ่ง อย่าลืมว่ามู่เกอรับภารกิจการอารักขาจากหอสรรพสิ่งและเขานัดไปรวมตัวที่เมืองอวี้จื้อในอีก 10 วันข้าง หน้า เมืองอวี้จื้อเป็นทางผ่านของการเดินทางจากเมือง จื้อไปเมืองฮ่วน หากออกเดินทางจากที่นี่ต้องใช้เวลา 5 วันจึงจะถึงที่หมาย หากท่านพ่อส่งคนมารับอย่างน้อย ที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง 20 กว่าวัน” เว่ยฉีพูดอย่างหัวเสีย “ใช่! ตอนแรกบอกว่าจะออกเดินทางพร้อมกันจากเมืองจื้อในอีก 3 วันข้างหน้า แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนเวลาอย่างกะทันหัน” เว่ยกว่านกว่านถาม

ในขณะที่ทั้งสองพี่น้องกำลังวิเคราะห์กันอย่างดุเดือด ทันใดนั้นก็ได้สังเกตเห็นว่ามู่ชิงเกอกลับนิ่งสงบ พอหันไปมองนาง จึงเห็นถึงความกังวลจางๆ ที่ซ่อนอยู่

เว่ยกว่านกว่านเดินมาอยู่ข้างๆ ม่ชิงเกอ และพูดปลอบใจนางว่า “มู่เกอ ท่านอย่ากลัวไปเลย ยังมีพวกข้าอยู่!”

“ใช่! หากใครมิบังอาจกล้าคิดไม่ซื่อกับท่าน ต้องข้ามศพข้าไปก่อน” เว่ยฉีรีบประกาศกร้าว

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาแวบหนึ่ง พลันถามด้วย ความแปลกใจว่า “พวกเจ้าเล่นอะไรกัน”

“เอ่อ…”

ความจริงจังของทั้งสองถูกมู่ชิงเกอดับลงในทันที

เก็บสายตากลับมา มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชาว่า “หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว พวกเจ้าก็ไปเสีย แล้วเราไปพบกันที่เมืองฮ่วน”

“ไม่ได้! สถานการณ์เช่นนี้ เราจะปล่อยท่านไว้เพียงคนเดียวได้อย่างไร” เว่ยกว่านกว่านปฏิเสธในทันที

“ใช่ ให้กว่านกว่านอยู่ที่นี่ ข้าไปพร้อมกับท่าน” เว่ยฉีพูด

“ไอ้เว่ยฉี เจ้าว่าอะไรนะ” เว่ยกว่านกว่านตะโกนใส่เว่ยฉี

เว่ยฉียกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างจำนน “ระหว่างเราทั้งสองอย่างไรเสียก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่ต้องคอยส่งข่าวให้ท่านพ่อมิใช่หรือ และแน่นอนว่าคนๆ นั้นไม่มี เหตุผลที่จะออกไปผจญภัย อีกประการหนึ่งการมีโอกาสได้สู้และร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกับมู่เกอเป็น ความปรารถนาของข้า เจ้าอย่ามาแย่งกับข้า!”

“ไอ้เว่ยฉี ข้าจะบอกเจ้าเลยนะ ไม่ว่าอย่างไรมู่เกอไม่ใช่พวก*ต้วนซิ่วไม่มีทางชอบเจ้าแน่เจ้าตัดใจเสียเถิด! หากต้องมีใครอยู่ต่อ คนผู้นั้นคือเจ้า!” เว่ยกว่านกว่าน เตะเท้าออกไปทีหนึ่ง

เว่ยฉีหลบอย่างคล่องแคล่ว พลางอธิบายว่า “ข้าเองก็ ไม่ใช่ต้วนซิ่ว ข้าชอบมู่เกอไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชาย !”

“ไอ้เว่ยฉี ข้าจะฆ่าเจ้า!” เว่ยกว่านกว่านพุ่งเข้าหาเว่ยฉีด้วยความโกรธที่ยากจะเก็บเอาไว้ต่อไปได้

มองทั้งสองที่สติปัญญาไม่ค่อยจะสมประกอบอีกครั้ง มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออก

นางสัมผัสได้แล้วว่ามีอะไรแผนการอะไรบางอย่างที่มิชอบมาพากล ต้องขอขอบคุณความคิดมากของทั้งสองพี่น้องนี้

การที่นางไม่ได้เดินออกมาจากหอสรรพสิ่ง ก็จะสามารถหลบจากหูตาผู้คนได้อย่างนั้นหรือ นี่คงเป็นแค่ภาพลวงชั่วคราวเท่านั้น แค่มีใครสักคนตั้งใจตรวจสอบคนเข้าและออกจากหอสรรพสิ่ง ก็จะสามารถมั่นใจได้แล้วว่า คนผู้นั้นคือนาง

อีกประการหนึ่ง พวกเขาเคยมีเรื่องบาดหมางกับคุณชายจู คุณชายจูต้องจำพวกเขาได้เป็น แน่หากตรวจสอบอย่างรอบคอบ กระดาษนี้ก็คงจะห่อไฟไม่มิดเสียแล้ว

หอสรรพสิ่งเองก็คงไม่ได้ใจดีถึงขนาดช่วยนางปกปิดหรอก

สำหรับคำว่าสหายที่ตานเฉินจี่อแอบอ้าง…มู่ชิงเกอแอบยิ้มเย็น ใครจะไปเชื่อ! อย่างน้อยตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกัน!

ที่นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ปัจจัยสำคัญก็เป็นเพราะหอสรรพสิ่ง

หอสรรพสิ่ง…คอยดูเถิด!

มู่ชิงเกอก้าวเดินด้วยความเร็ว ในส่วนลึกของสายตาอันสว่างไสวฉายแววเย็นเยียบ

สำหรับหอสรรพสิ่ง นางยังไม่ได้นับว่าเป็นศัตรู อย่างมากก็เป็นเพียงแค่คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือไม่แพ้นาง รวมทั้งนางสามารถมั่นใจได้ว่า ไอ้คนที่แอบลอบกัดนาง จะต้องปรากฏตัวในเมืองอวี้จื้อเป็นแน่

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องไปถึงเมืองอวี้จื้อก่อนเวลานัด เพื่อพบกับคนผู้นั้นด้วยตนเอง

ทั้งสามเดินมุ่งไปยังเรือนรับรองของตระกูลเว่ย ราวกับไม่รู้สึกถึงหางที่ห้อยอยู่ที่ด้านหลัง

หลังจากที่เข้าไปภายในเรือนรับรองตระกูลเว่ย หางพวกนั้นจึงกระจายตัวออกไป

อำนาจของเว่ยหลินหลางไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น สำหรับผู้มีอำนาจเมืองจื้อแล้ว เขาก็เป็นเพียงแค่งูตัวหนึ่งเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่เว่ยหลินหลางตัวจริงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ และผู้ที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ความเท่านั้น

หลังจากที่เข้าไปหลังเรือนรับรองตระกูลเว่ย มู่ชิงเกอก็ไปหาลุงโจวในทันที ไม่สามารถคุยกับสองพี่น้องที่สติปัญญาไม่สมประกอบได้ นางจึงทำได้เพียงไปคุยกับคนที่พอจะรู้ความ

*ต้วนซิ่ว เป็นคำเรียกชายรักชายในสมัยโบราณ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!