Skip to content

พลิกปฐพี 107-3

ตอนที่ 107-3

คุณชายตระกูลมู่ผู้มีชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน!

จวนตระกูลเว่ยกว้างใหญ่มากหรือไม่ มู่ชิงเกอมิอาจทราบ แต่ทว่า สายตาสามารถมองเห็นได้อย่างกว้างขวาง เพราะแทบจะไม่มีการจัดตกแต่งที่มากมายจนทำให้บดบังทัศนวิสัย

บรรยากาศที่หรูหราและการจัดตกแต่งงดงามที่มักพบในจวนเศรษฐี ในจวนนี้กลับไม่มีเลย

“ตอนนี้ท่านพ่อของข้าอาจจะอยู่ในห้องหนังสือ ข้าจะพาท่านไปพบ” เว่ยฉีพูดกับมู่ชิงเกอ

ลุงโจวรีบพามั่วหยางและคนอื่นๆไปในห้องรับแขก การไปพบกับเว่ยหลินหลาง ไม่จำเป็นต้องไปกันมากมายถึงเพียงนั้นแค่มู่ชิงเกอคนเดียวก็เพียงพอแล้ว

มู่ชิงเกอพยักหน้า นางเองก็อยากจะมีโอกาสได้พบกับเจ้าเมืองที่มีชื่อเสียงในแคว้นลี่

ในที่สุด ด้วยการนำทางของพี่น้องตระกูลเว่ย มู่ชิงเกอก็ได้เดินมาถึงหน้าห้องหนังสือของเว่ยหลินหลาง

ประตูห้องหนังสือถูกปิดสนิท เว่ยฉีจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ส่วนเว่ยกว่านกว่านก็เก็บซ่อนความขี้เล่นของตนเอง ทั้งสองจึงยืนอยู่หน้าประตูแล้วพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ท่านพ่อ”

พอดูออกว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับท่านพ่อของตนมากเพียงใด

“เจ้าลิงดื้อทั้งสอง ในที่สุดก็ยอมกลับมาแล้วสินะ” ภายในห้องอ่านหนังสือ มีเสียงอันนุ่มนวลดั่งหยกและหนักแน่นเป็นอย่างมากดังขึ้น

สองพี่น้องมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน เว่ยฉีเดินหน้าไปผลักประตูออก แล้วเดินเข้าไป “ท่านพ่อ เรากลับมาแล้ว คิดถึงเรามากเลยใช่หรือไม่!”

เว่ยกว่านกว่านเองก็ตามเข้าไป เพียงแต่มู่ชิงเกอยังไม่ได้ขยับตัวไปไหน

ทั้งสามคนในครอบครัวได้พบกัน แน่นอนว่าต้องมีเรื่องต้องคุยกัน นางที่เป็นคนนอกจึงไม่ตามเข้าไปในเวลานี้ เพื่อความสะดวกอีกประการหนึ่ง นางก็ต้องให้เวลาพี่น้องตระกูลเว่ยได้แนะนำตัวนางเองแก่เว่ยหลินหลาง

มู่ชิงเกอกำลังยืนชมทิวทัศน์อยู่ข้างนอกได้ครู่หนึ่ง เว่ยฉีก็เดินออกมาและพูดกับนางพร้อมรอยยิ้มว่า “มู่เกอ ท่านพ่อเชิญท่านเข้าไปพบ”

มู่ชิงเกอพยักหน้าตอบรับและเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเว่ยหลินหลาง

แม้จะบอกว่าเป็นห้องหนังสือ แต่มู่ชิงเกอรู้สึกว่า นี่เป็นเสมือนค่ายทหารมากกว่า

ในทุกๆ อาณาบริเวณเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง หนักแน่นและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

นางกวาดสายตาแล้วก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ในทันที รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ชุดสีขาวอย่างเรียบง่ายเมื่ออยู่บนตัวของเขาแล้ว ไม่เพียงแค่ไม่ทำให้ความน่าเกรงขามของเขาน้อยลง แต่กลับทำให้เขายิ่งดูเข้มงวดน่าเกรงขามมากขึ้น

หน้าตาของเขาคลับคล้ายคลับคลากับพี่น้องตระกูลเว่ย แต่ว่า จิตวิญญาณแห่งวีรชนและความแน่วแน่ที่ฉายออกจากหว่างคิ้วนั้นชัดเจน ถือว่าเป็นชายหนุ่มผู้งดงามที่หายากคนหนึ่ง

ในเวลานี้ เว่ยกว่านกว่านยืนอยู่ข้างๆ เขาอย่างสงบเสงี่ยม มือทั้งสองข้างควงแขนของเขาอย่างความสนิทสนม หลังจากที่เว่ยฉีเดินเข้ามาก็ไปยืนอยู่อีกข้างของเขาเช่นกัน

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง พร้อมประสานหมัดแล้วพูดว่า “คำนับท่านเจ้าเมืองเว่ย”

“แขกผู้มีเกียรติมาเยือน ถือเป็นเกียรติแห่งตระกูลเว่ย” คำพูดอันคลุมเครือนี้ทำให้ใจของมู่ชิงเกยากจะคาดเดาว่าคิดอะไรอยู่

“พวกเจ้าทั้งสองออกไปก่อน” ทันใดนั้นเว่ยหลินหลางพลันพูดกับพี่น้องตระกูลเว่ย

เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านสงสัย แต่เพราะไม่กล้าขัดคำสงของท่านพ่อจึงทำได้เพียงมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่แฝงความกังวลและค่อยๆ เดินออกจากห้องหนังสือไป

ก่อนออกจากห้องหนังสือ เพราะความไม่ไว้วาง ใจเว่ยกว่านกว่านจึงได้พูดกับท่านพ่อของตนเองว่า “ท่านพ่อ มู่เกอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าและพี่ชาย รวมทั้งยังเป็นเพื่อนของเรา ท่านพ่ออย่าได้รังแกเขาเชียวนะ!”

ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอย่างนั้นหรือคำพูดนี้ราวกับจะเกินจริงไปเสียหน่อย

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก นางก็เพียงแค่ไล่หนูหูแดงที่สองพี่น้องกลัวก็เท่านั้น แต่ทว่า นางก็สามารถเข้าใจได้ถึงความปรารถนาดีของเว่ยกว่านกว่าน

ในขณะเดียวกันเว่ยฉีก็หันกลับมาและพูดว่า “มู่เกอเรารออยู่ข้างนอก หากมีอะไรก็ตะโกนดังๆ นะ”

เมื่อเห็นว่าลูกๆ ของตนเองไม่เชื่อใจตนเองเช่นนี้ สีหน้าของเว่ยหลินหลางก็ดำคลํ้าและพูดด้วยความโหดเหี้ยมว่า “ไสหัวออกไปได้แล้ว!”

ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ทั้งสองที่ยืนอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่ตรงประตูก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ประตูห้องหนังสือก็ถูกปิดลง

เพราะทั้งสองออกไปแล้วภายในห้องหนังสือก็เหลือเพียงมู่ชิงเกอและเว่ยหลินหลาง

คำพูดก่อนหน้านี้ของเว่ยหลินหลาง ทำให้มู่ชิงเกอสัมผัสได้ว่าฐานะที่แท้จริงของตนเองได้ถูกเว่ยหลินหลางดูออกแล้ว

“คุณชายแห่งตระกูลมู่ เดินทางมายังแคว้นลี่อันแสนไกลของเรา เหตุใดจึงต้องปลอมตัว” สายตาของเว่ยหลินหลางเป็นประกายเฉียบคม

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างคลุมเครือและตอบกลับเขาด้วยความตรงไปตรงมาว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายก็เท่านั้น”

เว่ยหลินหลางพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ “คุณชายมีชื่อเสียงอันโด่งดัง แน่นอนว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้จริงๆ” ในคำพูดนี้แฝงความนัยมากมายที่มีเพียงแค่เขาที่รู้

“ไม่ว่าจะปิดบังอย่างไรสุดท้ายก็หนีไม่พ้นสายตาของท่านเจ้าเมืองเว่ยมิใช่รึ” มู่ชิงเกอยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างจำยอม รอยยิ้มดูคลุมเครือ

เว่ยหลินหลางเก็บสายตาสอบสวนกลับมา พร้อมหัวเราะอย่างเปิดเผยและพูดว่า “ชื่อเสียงของคุณชายนั้นเริ่มจากแคว้นฉินเพราะความสามารถ สามารถ ทำให้แคว้นถูผู้รักในการสงครามเกรงกลัวและยอมแพ้พ่ายเมื่อครั้งรบกัน ณ ที่ราบลั่วรื่อ แม้ไม่อาจจะบอกได้ ระบือไกลไปทั่วทั้งหลินชวน แต่ในแคว้นระดับสามอย่างเรา ล้วนรู้จักวีรชนรุ่นหลังที่เกิดใหม่ หากแม้เรื่องเท่านี้ยัง ไม่รู้ก็เท่ากับมีดวงตาโดยเปล่าประโยชน์”

“ท่านเจ้าเมืองเว่ยก็ชมกันเกินไป” มู่ชิงเกอตอบอย่างผ่อนคลาย ทั้งท่าทางและแววตาไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งหรือได้ใจเพราะคำพูดของเว่ยหลินหลางเลยแม้แต่น้อย

ทำให้เว่ยหลินหลางที่แอบสังเกตปฏิกิริยาของนาง พยักหน้าและพูดอย่างจริงใจว่า “คุณชายเป็นสายครามที่สามารถเอาชนะสายนํ้าเงินได้ช่างสมกับที่เป็นผู้สืบทอดของท่านแม่ทัพมู่! ผู้แซ่เว่ยกล้ายืนยันได้ว่าในแคว้นระดับสามของเรา ในบรรดาคนรุ่นใหม่ จะต้องมีคุณชายเป็นผู้นำแน่”

มู่ชิงเกอเงยสายตาขึ้นมองเว่ยหลินหลาง แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “มู่ชิงเกอมิได้เก่งกาจอย่างที่ท่านเจ้าเมืองเว่ยชม หากเรื่องนี้กระจายออกไป ก็จะนำพาปัญหามาอีกมากมาย”

เว่ยหลินหลางอึ้งและเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของมู่ชิงเกอในทันที จึงรีบพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณชายอย่าได้เข้าใจผิดไป ผู้แซ่เว่ยพูดออกไปโดยขาดความยั้งคิด ลูกทั้งสองของข้า หากเฉลียวฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของคุณชาย ข้าก็คงจะหมดกังวลแล้ว”

มู่ชิงเกอเข้าใจความหมายโดนแท้ที่ซ่อนอยู่ในคำ พูดของเว่ยหลินหลาง เพียงแค่นางรู้สึกฉงนใจ ว่าตนเองมีชื่อเสียงมากขึ้นเพียงนี้เชียวหรือ จึงทำให้ผู้ที่ยิ่งใหญ่และเป็นตำนานเช่นนี้มาชื่นชม

และนางก็ไม่รู้ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ แม้ว่านางจะออกจากแคว้นฉินอย่างไร้ร่องรอย แต่สำหรับคำ ล่าขานเกี่ยวกับตัวนางแล้ว กลับกระจายไปทั่วทุกสารทิศแห่งแคว้นฉิน คุณชายแห่งจวนหย่งหนิงกงตระกูลมู่นั้น ได้กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงของแคว้นระดับสามไปตั้งนานแล้ว นางจึงไม่ใช่คนที่ใครจะมองผ่านได้

รวมทั้งเป็นคนในระดับสูงอย่างเว่ยหลินหลา ง ในขณะที่สนทนาก็ราวกับมีศักดิ์เทียบเท่ากัน เห็นได้ว่าในตอนนี้ชื่อเสียงของนางได้กว้างไกลไปมากแล้ว

นอกประตู พี่น้องตระกูลเว่ยเอาหูแนบอยู่บนประตู ตั้งใจฟังการสนทนาที่เกิดขึ้นภายในห้อง แต่กลับไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่กำลังทำตัวมีพิรุธ ประตูห้องหนังสือก็ได้กูกเปิดออกอย่างกะทันหัน เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ทั้งสองเกือบจะล้มคะมำหัวฟาดพื้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!