Skip to content

พลิกปฐพี 110-1

ตอนที่ 110-1

มู่ชิงเกอเจ้ามียางอายหรือไม่

นัดพบกัน ณ เมืองถัวในช่วงบ่าย มู่ชิงเกอได้มารอตั้งแต่เที่ยงตรง แต่ก็ยังคงไม่พบใคร

นางนั่งอยู่บนเพลิงรัตติกาล รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่ชิงเกอยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกที

แต่ทว่า คนที่คุ้นเคยกับนางย่อมรู้ดีว่า หากนางเผยรอยยิ้มเช่นนี้ แสดงว่าความโกรธในใจของนางนั้นมากอย่างถึงที่สุดแล้ว

มองเห็นมู่ชิงเกอในท่าทางเช่นนี้ ไม่ว่าจะไกลมากเพียงใด ก็ต้องไปให้ถึงที่สุด นี่เป็นสิ่งที่องครักษ์เขี้ยวมังกร สัมผัสด้วยตนเองมาแล้ว! และก็เป็นอย่างที่กล่าวมา นอกจากมั่วหยางและสาวใช้ทั้งสอง องครักษ์เขี้ยวมังกรคนอื่นๆ ต่างก็ยืนอยู่ในบริเวณอันห่างไกล ไม่กล้าจะย่างกรายเข้าใกล้ สายลมพัดผ่านทำให้ใบไม้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ร่วงหล่นลงมา และแทบจะปลิวมาติดเสื้อของมู่ชิงเกอ ทันใดนั้น เสียงคำรามอันกึกก้องก็ได้ดังขึ้น เพลิงรัตติกาลเงยหน้าขึ้น บนร่างกายมีเปลวเพลิงสีดำเกิดขึ้น จากนั้นก็เผาใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาจนหมดสิ้น ฉากนี้ทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกร ถอยไปข้างหลังอีกสองก้าว และพยายามจะลดความมีตัวตนของตนเองลง

ในบริเวณอันห่างออกไป ในที่สุดก็มีเสียงล้อรถม้าดังขึ้น

มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยสายตาขึ้น มองไปยังรถม้าที่แลดูแสนจะเรียบง่ายธรรมดา แต่ทว่าความจริงสุดแสนจะอลังการหลังหนึ่งที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในแววตา ฉายแสงประกายอันเย็นเยียบ

รถม้าเพิ่งจะเข้ามาใกล้ ภายในรถม้าที่ถูกปิดสนิท ก็มีเสียงเกียจคร้านของหานฉายไฉ่ดังขึ้น “เมื่อคืนเข้านอนดึก วันนี้จึงตื่นสายไปเล็กน้อย ทำให้มาสาย ต้องขอภัยด้วย”

คำพูดราวกับกำลังแสดงความขอโทษ แต่ว่า กลับไม่แฝงความจริงใจอยู่เลยแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเย็นชาทีหนึ่ง พลันพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าประมุขหานชมชอบทำตัวเป็นขโมยในยามคํ่าคืน หากจะตื่นสายบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา”

บรรยากาศภายในรถม้าเย็นเยียบลง ครู่หนึ่งจึงมีเสียงอุทานอันแฝงความหยิ่งยโส ‘หึ’ ดังขึ้นมา

“ไม่อยากจะเถียงกับเจ้าแล้ว ออกเดินทางกันเถิด” หานฉายไฉ่พูดด้วยน้ำเสียงอันแฝงความเย็นเยียบ

ขบวนสองขบวนได้รวมตัวกัน และเดินทางเพื่อมุ่งไปข้างหน้า

ในวันนี้ หานฉายไฉ่อยู่แต่ในรถม้า มิได้ลงมา ความนิ่งสงบเช่นนี้ ช่างไม่เหมือนกับอุปนิสัยที่แท้จริงของเขา

แน่นอนว่า เมื่อหานฉายไฉ่ไม่ได้หาเรื่อง มู่ชิงเกอก็ไม่อยากจะสนใจเขา

อย่างไรเสีย พอเจอกับพญาเพลิงเมฆสุริยา ทุกคนต่างก็ต้องแยกกัน ทางใครทางมัน

ในยามค่ำคืน กองทัพได้ตั้งค่ายเพื่อเตรียมพักผ่อน

กองไฟลุกไหม้อยู่ข้างตัว มู่ชิงเกอนั่งพิงอยู่ข้างต้นไม้อย่างผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันก็เสพความสุขจากฝีมือการนวดของฮวาเยวี่ยและอาหารอันเลิศรสของโย่วเหอ

ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาได้ดังขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงเงาที่เข้ามาปกคลุม มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สบกับสายตาของหานฉายไฉ่ที่อยู่ในชุดดั่ง ‘ดอกไม้ที่ผลิบาน’ แล้วค่อยๆ ขมวดคิ้วลง ท่ามกลางแสงไฟที่สะท้อนอยู่ ทำให้ใบหน้าของหานฉายไฉ่น่าเย้ายวนมากกว่าเคย ความร้ายกาจในตัวก็มากขึ้นกว่าเดิม

ไม่รอให้มู่ชิงเกอออกปากเชิญ หานฉายไฉ่ก็สะบัดแขนเสื้อ เพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องเข้ามาปูผ้าต่วนเนื้อดีลงบนพื้น ตระเตรียมหมอนเอนใบนุ่ม โต๊ะ และเหล้าพร้อมทั้งกระถางกำยานให้กับเขา

มู่ชิงเกอค่อยๆ กวาดสายตาผ่านผ้าอย่างไม่ทิ้งร่องรอย

ลวดลายนกและดอกไม้ต่างๆ ถูกปักด้วยด้ายสีทอง รอยเข็มนั่นแฝงความประณีตอย่างเป็นที่สุด ราวกับเป็นฝีมือของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นลี่ และเป็นสิ่งที่มิว่าใครก็ไม่อาจจะมีในครอบครองได้ แต่คนผู้นี้กลับทำลายสิ่งที่ฟ้าสรรสร้างนี้ โดยการเอามันมารองนั่งราวกับเป็นผ้ากันเปื้อน

ขมวดคิ้วเบาๆ ทีหนึ่ง มู่ชิงเกอเคลื่อนสายตาออก ในใจเกิดความเสียดาย หากรู้ว่าหานฉายไฉ่นั่งมีมากถึงเพียงนี้ คืนที่ไปที่คลังสมบัติของหอสรรพสิ่งที่เมืองฮ่วน นาง ควรจะเอาของกลับมามากกว่านี้

ในตอนนี้ ราวกับว่านางได้กระจ่างแล้วว่า เพราะเหตุใดหลังจากที่หานฉายไฉ่เจอนางจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หอสรรพสิ่งโดนปล้น

สำหรับเรื่องนั้น หากไม่ใช่คนโง่ ก็รู้ได้ไม่ยากว่านางเป็นคนทำ เพราะว่า ของเหลวเย็นที่นางเคยสืบหาเบาะแส คือหนึ่งในของที่หายไป รวมทั้งความขัดแย้งที่นางได้ สร้างเอาไว้กับหานฉายไฉ่ ทำให้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ตก เป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง

เพราะฉะนั้น หานฉายไฉ่ต้องรู้เป็นแน่ว่านางเป็นคนทำ!

แต่ทว่า เขากลับไม่ได้พูดถึง ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ที่แท้ก็เพราะคนเขารํ่ารวย จึงไม่ได้ใส่ใจของเพียงเท่านั้น

“คุณชายช่างเป็นผู้ที่รู้จกเสพสุขยิ่งนัก” หานฉายไฉ่นั่งลงบนพรมอย่างเกียจคร้าน กวาดสายตาผ่านฮวาเยวี่ย และสุดท้ายก็หยุดสายตาที่มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก รอยยิ้มนั่นแฝงความคลุมเครือ “ก็มิได้ต่างกันหรอก”

สัมผัสได้ถึงความเย้ยหยันในรอยยิ้มของใครบางคน หานฉายไฉ่เองก็ไม่ได้ใส่ใจ หยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง แล้วพูดกับฮวาเยวี่ยและโย่วเหอว่า “พวกเจ้าทั้ง สองออกไปก่อน”

ทั้งสองมองหน้ากันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนตัวไปที่ใด

รอยยิ้มของมู่ชิงเกอเบิกบานมากกว่าเดิม “ประมุขหานลืมไปแล้วหรือว่า ทั้งสองเป็นสาวใช้ของข้า ไม่ใช่คนในหอสรรพสิ่งของเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ให้พวกนางออกไปสิ” หานฉายไฉ่พูด

มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้างลงอย่างแฝงความอันตราย แล้วจึงพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ประมุขหานต่างหากที่เป็นแขกผู้มิได้รับเชิญ”

หานฉายไฉ่กลับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ลดสายตาลงเล่นกาเหล้าที่ฝังไปด้วยเพชรเม็ดงามมากมาย พลางพูดอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ เจ้าเองก็คงจะไม่อยากให้บุคคลที่สามได้ยิน”

สายตาของมู่ชิงเกอเยือกเย็นลง ใบหน้าก็ฉายความเย็นเยียบ

เจ้านี่………………

“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” สุดท้าย มู่ชิงเกอก็ต้องทำตามที่เขาต้องการด้วยใบหน้าที่เย็นเยียบ

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยถอยออกไปอย่างเงียบๆ ข้างๆ กองไฟที่อยู่ใต้ต้นไม้ เหลือพวกเขาทั้งสองเพียงลำพัง

มู่ชิงเกอพิงต้นไม้เอาไว้ มองหานฉายไฉ่ด้วยสายตาที่เย็นเยียบ โดยไม่ได้พูดอะไร

ครู่หนึ่ง ใบหน้าอันงดงามของหานฉายไฉ่ก็เผยรอยยิ้ม และพูดว่า “ในครานี้ เราร่วมมือกันดีหรือไม่”

“ร่วมมือกันอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่ลง คำพูดของหานฉายไฉ่ทำให้นางรู้สึกฉงน

หานฉายไฉ่พยักหน้าเบาๆ

วางกาเหล้าในมือลง นํ้าเสียงอันแผ่วเบา และแฝงความเกียจคร้านของเขาพูดขึ้นอีกครั้งว่า “เราทั้งสองต่างก็รู้ความลับของกันและกัน อีกทั้งต่างก็ อยระแวงซึ่งกันและกัน หากเปลี่ยนมาเป็นร่วมมือกัน คงจะดีเสียกว่า หากแยกกันต่างก็เสียเปรียบกันทั้งสองฝ่าย แต่หากร่วมมือกันก็มีแต่ได้กับได้ เหตุผลนี้ เจ้าเอง ย่อมรู้ดี”

“ร่วมมือกันอย่างไร” สายตาของมู่ชิงเกอฉาย แสงประกายจางๆ พลันถาม

หานฉายไฉ่เงยสายตาขึ้นมามองนาง “ในตระกูลที่มีสายโลหิตต่างก็มีวิธีการกระตุ้นเป็นของตนเอง และถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย การใช้พญาเพลิงในการกระตุ้นสายโลหิตนั้น เป็นการกระทำที่อันตราย และมีโอกาสพลาดสูงมาก”

สำหรับเรื่องนี้ เหมิงเหมิงได้เคยบอกกับนางแล้ว เพราะฉะนั้นมู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างไร

นางไม่ได้พูดอะไร เพื่อรอคอยคำพูดต่อไปของหานฉายไฉ่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!