Skip to content

พลิกปฐพี 139-1

ตอนที่ 139-1

พวกรนหาที่ตาย!

ณ แคว้นฉิน ลั่วตู

ในวังหลวงอันเงียบเหงา มีเพียงแสงไฟในวังหลวงที่กระพริบไหว จนคลายความเย็นเยียบในยามค่ำคืนไปได้บ้าง

ภายในวังหลวงอันกว้างใหญ่ ไร้ซึ่งนางกำนัลและทหารฝ่ายในแม้สักคน สายลมในยามคํ่าคืนพัดเข้ามาจากกำแพง ทำให้ผ้าม่านปลิวไสว ยิ่งเพิ่มความเย็นเยียบให้ กับวังหลวง

ภายในตำหนัก ในที่ที่มีแสงไฟมากที่สุด ไฟสีส้มเหลืองที่ซ้อนทับกันให้ความอบอุ่นแก่ห้องทั่วทั้งห้อง ปกคลุมชายชุดเหลืองที่นั่งอยู่บนเบาะอ่อนเอาไว้

ชายผู้นั่นใบหน้างดงาม ผิวขาวสว่างจนถึงขั้นโปร่งใส ให้ความรู้สึกราวกับจะปริแตกออกมาได้ตลอดเวลา ผมของเขาเพียงมัดเอาไว้หลวมๆ แล้วทิ้งลงกลางหลัง บนดวงตาที่ปิดสนิท ขนตาอันยาวงอนเกิดเป็นเงาสะท้อนอยู่ใต้ดวงตา

เขานั่งอยู่เงียบๆ ราวกับเป็นรูปปั้น

หากไม่ใช่เพราะเขายังหายใจ บางทีอาจจะมีคนคิดว่า เขาตายไปแล้ว

ลมยามคํ่าคืนพัดผ่านผ้าม่านเข้ามา พัดผมของเขาให้ปลิวขึ้น พร้อมกับเสื้อผ้าพลิ้วไสว ทำให้ท่าทางของเขาเย็นเยียบจนเหมือนกับให้ความรู้สึกราวกับ ‘ข้าพร้อมจะ ไปกับสายลม’

ราวกับว่า เขาคู่ควรกับความสันโดษ ไม่ใช่คนของโลกปุถุชนที่ฟุ้งเฟ้อนี่

ครู่หนึ่ง สายลมที่พัดเข้ามาทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เสื้อ ตัวยาวที่กองอยู่บนพื้นของเขาปลิวขึ้นมา เงาร่างสีดำลอยลงจากฟ้ามาคุกเข่าอยู่ข้างๆ เขา

สายลมที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับกระตุกลมหายใจ อันแผ่วเบาของชายหนุ่ม ทำให้เขาเอามือปิดปากแล้วไออย่างรุนแรง

ชายในชุดดำตกใจ พลันเงยหน้ามองเขาและตำหนิตัวเองว่า “ข้าน้อยสมควรตาย!”

หลังจากที่ร่างกายสงบลงแล้ว ฉินจิ่นเฉินก็ยกมือขึ้น แล้วพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก”

แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ในสายตาของคนผู้นั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยการตำหนิตัวเองและความกังวล

“เจ้านาย ให้ข้าน้อยพาท่านออกไปเถิด!” ชายชุดดำ อ้อนวอนอีกครั้ง หลังจากที่อ้อนวอนไปนับครั้งไม่ถ้วน บอกกับเจ้านายว่า จะพาเจ้านายออกจากสถานที่อัน โหดร้ายนี้ แต่ก็ถูกเจ้านายปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้งไป

ตำหนักอันเย็นเยียบนี้ ทำให้ร่างกายอันอ่อนแอของเจ้านายแย่ลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะยังทนไหวได้อย่างไร

การขอร้องจากลูกน้อง ฉินจิ่นเฉินเพียงแค่ส่ายหน้าปฏิเสธ

“เจ้านาย!” ชายชุดดำพูดด้วยความตื่นตระหนก

“ข้าไปไม่ได้” ฉินจิ่นเฉินปฏิเสธ สายตาที่ราวกับผนึกนํ้าแข็งอันเย็นเยียบเอาไว้ของเขาแฝงความเจ็บปวด พลันถอนหายใจแล้วพูดว่า “อย่างไรข้าก็เป็นคนเลือกเขามา หากข้าจากไปตอนนี้ จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม”

เขาจะทำให้คนในครอบครัวของคนผู้นั้นต้องมาเสี่ยงอันตรายอีกไม่ได้ และจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงเพราะการหายตัวไปของตนเองไม่ได้เช่นกัน

ฉินจิ่นหยางในตอนนี้ไม่ใช่ฉินจิ่นหยางที่เขาคุ้นเคยอีกต่อไป เขากลายเป็นคนโฉด เย่อหยิ่งและบ้าบิ่น ไม่มีใครสามารถมั่นใจได้ว่า เพราะความโกรธเกรี้ยว เขาจะทำ อะไรลงไปได้บ้าง

ฉินจิ่นเฉินค่อยๆ หลับตาลง ห้ามไม่ให้ความเจ็บปวด เผยออกทางสายตา

“แต่ร่างกายของท่าน…” ชายชุดดำถามด้วยความกังวล

ฉินจิ่นเฉินกลับดูสงบกว่าเคยและพูดอย่างแนบนิ่งว่า “เอายามาหรือยัง”

ชายชุดดำรีบควักยาออกมาขวดหนึ่ง แล้วมอบให้ด้วยสองมือ

นิ้วมืออันขาวซีดจนโปร่งแสงของเขาหยิบยาจากมืออีกฝ่ายและกำเอาไว้แน่น พร้อมพูดด้วยนํ้าเสียงอันหนักแน่นว่า “มียาพวกนี้ข้าก็สามารถรอเขากลับมาและขอโทษเขาด้วยตนเอง”

เงียบไปครู่หนึ่ง ฉินจิ่นเฉินก็พูดอีกว่า “ยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่”

ชายชุดดำเงยสายตาขึ้น แล้วตอบว่า “พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้ว หน้าประตูวังหลวงได้ตั้งแท่น มีทหารเฝ้ามากมายและยังมีอีกกลุ่มหนึ่งออกจากวังหลวงไปสุสานขององค์หญิงหย่งฮวน”

“เขากล้าทำเช่นนั้นจริงๆ หรือ! แค่กๆ ” ในสายตา ของฉินจิ่นเฉินสาดประกายโหดเหี้ยม ทำให้เลือดในร่างกายสูบฉีดรุนแรง

“เจ้านายโปรดระงับโทสะ! พวกของข้าน้อยได้ส่งคนไปปกป้องสุสานขององค์หญิงหย่งฮวนแล้ว ไม่มีทางยอมให้ใครรบกวนองค์หญิงหย่งฮวนแน่” ชายชุดดำรีบพยุงร่างกายที่เซไปมาของฉินจิ่นเฉิน แล้วรีบอธิบาย

ฉินจิ่นเฉินหายใจเข้าแรงๆ หลายที จึงทำให้ร่างกายมั่นคงขึ้น

ชายชุดดำรีบเอายาออกจากขวดเม็ดหนึ่ง ป้อนให้กับเขา และใช้พลังในการเร่งเร้าให้มันละลาย หลังจากที่เห็นใบหน้าอันขาวซีดของเขาเริ่มมีสีโลหิตขึ้นมา จึงโล่งใจขึ้น

หลังจากที่ร่างกายกลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว ฉินจิ่นเฉินจึงพูดกับชายชุดดำว่า “บอกท่านอาจารย์ว่าต้องปกป้องอวิ๋นไท่เฟยและเหลียนเหลียนให้ดี ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

ชายชุดดำพยายามเก็บความกังวลในใจ แล้วพยักหน้าอย่างแรง

ฉินจิ่นเฉินเอามือกดหน้าอกเอาไว้พลันหันไปมองชายชุดดำ แล้วถามว่า “สถานการณ์ในคุกหลวงเป็นอย่างไรบ้าง”

ชายชุดดำตอบว่า “ในคุก เราได้วางกำลังคนเอาไว้แล้ว หากเกิดอะไรขึ้น เราจะช่วยนายท่านผู้เฒ่าและคุณหนูมู่ออกมา นอกประตูวังหลวง คนของเราก็แอบแฝงตัวเข้าไป หากคุณชายมู่กลับมาไม่ทัน คนของเราจะช่วยนายท่านผู้เฒ่าและคุณหนูมู่ออกมาอย่างสุดความสามารถ เจ้านายโปรดวางใจ!”

ฉินจิ่นเฉินหลับตา พร้อมพยักหน้า “ข้าได้ทำผิดต่อเขามาครั้งหนึ่ง จะให้คนในครอบครัวของเขาได้รับบาดเจ็บอีกไม่ได้ พวกเจ้าจำเอาไว้ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามถอย หลัง จากที่ช่วยพวกนายท่านแล้ว ให้พาอวิ๋นไพ่เฟยออกไปให้ไกลจากแคว้นฉิน ภารกิจในครั้งนี้ เพียงช่วยคน พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสามคนนั้น จะสู้กันซึ่งๆ หน้าไม่ได้เด็ดขาด จะต้องรีบทำให้เรื่องจบลงอย่างรวดเร็ว”

“เจ้านาย แล้วท่านเล่า” ชายชุดดำพูดด้วยความกังวล ในแผนการของฉินจิ่นเฉินไม่ได้พูดถึงตนเองเลยแม้แต่น้อย

“ข้าหรือ” ตรงมุมปากของฉินจิ่นเฉินเผยรอยยิ้มที่แฝงความคลุมเครือบางๆ เพียงแวบเดียวแล้วหายไป “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พวกเจ้าเพียงทำตามที่ข้าสงก็พอแล้ว” ชายชุดดำอยากพูดอะไรอีกหน่อย แต่กลับถูกฉินจิ่นเฉินตัดบท “พอเถิด เจ้าอยู่ที่นี่นานก็ไม่ปลอดภัยรีบกลับไปเถิด”

ชายชุดดำไม่สามารถทำอะไรได้อีก จึงทำได้เพียงแค่จากไป

ภายในตำหนัก กลับคืนสู่ความสงบ

ฉินจิ่นเฉินนั่งอยู่กับที่ จับจ้องเปลวเพลิงที่ส่ายไหวไปมา แล้วพึมพำว่า “ข้าเป็นคนทำให้เจ้าได้ขึ้นบัลลังก์ได้จึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเป็นคนหยุดทุกสิ่ง ลาก เจ้าลงมาจากตำแหน่งอันสูงส่งนั้น!”

เขาได้ตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้หลังจากที่จบเรื่อง จะจบชีวิตไปพร้อมกับฉินจิ่นหยาง!

ฉินจิ่นเฉินนั่งอยู่บนเบาะนุ่ม ร่างกายเหนื่อยล้าสุดแสน แต่กลับไม่ได้ไปพักบนเตียงที่อยู่ไม่ไกลนัก

ข้างนอก มีเสียงตีบอกเวลาดังขึ้น บอกว่าเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงสามชั่วยามฟ้าก็จะสางแล้ว

ทันใดนั้น นอกตำหนักก็มีเสียงทหารร้องขึ้นเสียงสูง “ฮ่องเต้เสด็จ—–!”

สายตาของฉินจิ่นเฉินเปลี่ยนไป ค่อยๆ หลับตาลง ร่างกายกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยและไม่มีความคิดที่จะลุกขึ้นไปรับเสด็จ ฉินจิ่นหยางที่ดูโตขึ้น สวมชุดมังกรเดินเข้ามา ข้างหลังของเขา มีองครักษ์ส่วนพระองค์ที่น่าเกรงขามยืนอยู่

เพียงแต่ว่า เมื่อเดินมาถึงนอกห้อง ฉินจิ่นหยางก็ยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้ทหารตามเข้าไปเพียงแหวกผ้าม่าน แล้วเดินเข้าไปตามลำพัง

ทันทีที่เขาเข้าไปก็ถูกแสงไฟในตำหนักปกคลุม ทำให้มงกุฎสีทองสุกสว่างสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเป็นจักรพรรดิส่องประกายมากขึ้นกว่าเดิม ลวดลายมังกรสีทองที่ปักอยู่บนชุดยาวยิ่งดูน่าเกรงขาม ราวกับมีชีวิต

ตอนแรก เจ้าคนที่มีมารยาทกับมู่ชิงเกอ ทำตามกฎระเบียบอย่างนอบน้อม เคยบอกไว้ว่า หากมีฮ่องเต้น้อยคนนี้ก็ด้องมีจวนตระกูลมู่ ในตอนนี้กลับดูเย่อหยิ่งนัก

ราวกับว่า ใต้หล้านี้ได้ตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว!

ทันทีที่ฉินจิ่นหยางเข้ามาก็เห็นแผ่นหลังอันผอมแห้งและเปราะบางของเสด็จพี่ของตนเอง ที่อยู่ในชุดตัวหลวม ยิ่งทำให้ดูผอมมากกว่าเดิม

เขาค่อยๆ ก้าวฝีเท้าเข้ามา

เดินอ้อมฉินจิ่นเฉินไปอยู่ตรงหน้าเขาและนั่งลง

แสงไฟในตำหนัก ตกสะท้อนอยู่บนใบหน้าของเขา ทำให้เขาดูหล่อเหลามากยิ่งขึ้น

ฉินจิ่นเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองเขาด้วยสายตาอันแนบนิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กลับเห็นเงาของเสด็จพ่อของตนเอง บนใบหน้าอันงดงามดวงนั้น

เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ทรยศหักหลัง…เหมือนกันจริงๆ!

สิ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถให้อภัยได้คือ คนผู้นี้ เป็นคนที่ตนเองผลักดันให้ขึ้นบัลลังก์ คำพูดก่อนหน้านี้ของมู่ชิงเกอ ยังคงดังก้องอยู่ข้างหู นางบอกว่าใครขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ได้ แต่หากเกิดอะไรขึ้น นางจะมาเอาเรื่องกับเขา!

เพราะว่า คนที่นางเชื่อใจคือเขา ไม่ใช่ฮ่องเต้!

แล้วเขาล่ะ กลับทำลายความเชื่อใจนั้น

ฉินจิ่นเฉินค่อยๆ หลับตาลง ราวกับไม่เห็นคนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้า

“เสด็จพี่ เหตุใดท่านจึงต้องลำบากเช่นนี้ด้วย” อยู่ๆ ฉินจิ่นหยางก็พูดขึ้น เขาก้มสายตาลงต่ำ ขนตาบังความรู้สึกที่แสดงออกมาจากสายตาและพูดช้าๆ ว่า “ไม่ว่า อย่างไรเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ตระกูลมู่นั้นใฝ่สูง ไม่เพียงแค่ตั้งตัวเป็นใหญ่ ยังยุ่งกับเรื่องในวังหลวง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวัง สังหารราชนิกูล วังหลวงของเราจึงต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขา วันนี้ท่านเล่อมาช่วย หากเราไม่ถือโอกาสนี้สังหารพวกโจรกบฏอย่างตระกูลมู่ แล้วยังจะรอตอนไหนอีก เหตุใดท่านจึงยังลุ่มหลง ไม่ยอมตื่น หยางเอ๋อร์ยังเด็ก ยังต้องการให้เสด็จพี่คอยช่วยชี้แนะ เสด็จพี่ดื้อดึงเช่นนี้ จะทำให้หยางเอ๋อร์ลำบากใจหรือไร”

คำพูดของฉินจิ่นหยาง ทำให้ฉินจิ่นเฉินลืมตาขึ้นอีกหน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!