Skip to content

พลิกปฐพี 142-1

ตอนที่ 142-1

การพิสูจน์หาความจริงของหานฉายไฉ่

“เกอเอ๋อร์ ตระกูลมู่ของเราไม่ใช่คนหลินชวน…”

กลีบดอกไม้ปลิวกระจาย ใบหญ้าเอนไปตามสายลม

ที่ๆ บรรยากาศเงียบสงบราวกับภาพวาด มีสุสานตั้งอยู่ เพียงลำพัง ต้นไม้แก่ที่อยู่ข้างๆอุดมสมบูรณ์ กิ่งก้านเป็นชั้นๆ ทับซ้อนกันบดบังแสงแดดให้กับมัน

มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าสุสานและมองป้ายสลักชื่อ ในใจคิดถึงเรื่องที่ท่านปู่บอกกับนางเมื่อคืน

ตระกูลมู่ไม่ใช่คนในหลินชวนอย่างนั้นหรือ

แล้วเป็นคนที่ไหนกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา มู่ชิงเกอคิดว่าตระกูลมู่เป็นคนพื้นเมืองของหลินชวน แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่

โลกภายนอกหลินชวน กว้างใหญ่เพียงใดเชียว

เวลายิ่งนาน ในการเล่าขานกันมา ความจริงของเรื่องทั้งหมดก็จางลง

แม้แต่มู่ซงเอง ก็รู้เพียงว่าตระกูลมู่เพิ่งย้ายมาที่หลินชวน เมื่อหลายหมื่นปีที่ผ่านมา มีความเป็นมาอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันฐานะของตระกูลมู่ได้ คือตำราขาดๆ เล่มหนึ่ง

เมื่อคืน มู่ซงได้นำสัญลักษณ์การเป็นผู้นำวงศ์ตระกูล และตำราขาดๆ เล่มนั้นให้กับนาง

หลังจากที่ออกจากห้องของมู่ซง มู่ชิงเกอไม่ได้นอนทั้งคืน และศึกษาตำราเล่มนั้น แต่ทว่า ในตำรา นอกจากแผนที่ที่ไม่รู้ว่าคือที่ไหน ตัวอักษรที่เหลือนางไม่เคยเห็น

และไม่รู้จัก ไม่เพียงแค่นาง ผู้นำวงศ์ตระกูลที่ผ่านมารวมทั้งมู่ซง ก็ไม่เคยมีใครไขปริศนาตัวอักษรในตำราได้

รู้เพียงแค่ว่า ตำราเล่มนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ติดตัวบรรพบุรุษมาเมื่อครั้งเดินทางจากบ้านเกิดมาที่หลินชวน เพราะมาจากบ้านเกิด จึงได้สั่งให้เก็บเอาไว้เป็นอย่างดี ตั้งแต่รุ่นแรก สืบทอดต่อกันมา เพราะฉะนั้น ผู้นำแห่งวงศ์ตระกูลทุกๆ รุ่นล้วนให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาสิ่งนี้

วินาทีที่มู่ชิงเกอเห็นมู่ซงเอาตำราเล่มนี้ออกมา ก็อยากจะดูให้แน่ใจ หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด

จึงเอากล่องใส่ตำราออกจากห้อง

สวบ—! สวบ—!

ใบไม้ที่อยู่ข้างหลัง ถูกคนเหยียบและเกิดเสียงดัง

มู่ชิงเกอหยุดคิดและก้มสายตาลงเล็กน้อย เห็นผู้มาเยือนจากหางตา

“คิดไม่ถึงเลยว่า ในลั่วตูจะมีที่ๆ ทิวทัศน์งดงามแต่กลับลึกลับเช่นนี้ ถึงว่าฉินจิ่นหยางส่งคนมาหาแต่ก็หาไม่เจอ” เสียงอันเกียจคร้านค่อยๆ ดังเข้ามา

มู่ชิงเกอไม่หันหน้ากลับไป เพียงพูดอย่างเย็นชา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

หานฉายไฉ่เดินมาอยู่ข้างนาง มองสุสานที่สลักว่า ‘ภรรยามู่ชิงเกอ’ แล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ตรงมุมปาก “แน่นอนว่ามาคารวะฮูหยินมู่”

ฮูหยินมู่ สามคำนี้เขาพูดอย่างขบขัน

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อยและเข้าใจความคลุมเครือที่ซ่อนอยู่ในคำพูด

หานฉายไฉ่คิดจะพูดอะไร

สำหรับปีศาจที่ในใจมีเผนการมากมายอย่างคนผู้นี้ มู่ชิงเกอจะไม่เชื่อคำพูดของเขาเด็ดขาด นี่คือนิยามของคำว่าไม่ซับซ้อน!

แต่ทว่า มู่ชิงเกอกลับไม่ยอมตกหลุมพรางเขา

นางไม่ใส่ใจความขบขันของสามคำนี้เลยแม้แต่น้อย เพียงพูดอย่างแนบนิ่ง “ขอบคุณสำหรับความตั้งใจ”

คำตอบอันแนบนิ่ง ทำให้หานฉายไฉ่หันสายตามาทันที ดวงตาหงส์อันเรียวยาวหรี่ลง จ้องหน้านางอย่างตั้งใจเป็นที่สุด

สายตาอันน่าเย้ายวนหยุดอยู่บนใบหน้าของตนเอง ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกไม่คุ้นชินเป็นอย่างมาก หลังจากที่อดทนครู่หนึ่ง นางจึงขมวดคิ้วและพูดว่า

“เจ้ามองอะไร”

อยู่ๆ หานฉายไฉ่ก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม “มู่ชิงเกอ ข้าเคยบอกหรือไม่ว่า เจ้างดงามนัก”

ในส่วนลึกของสายตาของมู่ชิงเกอฉายความเคร่งขรึม รู้สึกว่าสายตาที่หานฉายไฉ่มองนางแปลกๆ คำพูดก็มีอะไรแอบแฝง

“ขอบคุณสำหรับคำชม เจ้าเองก็งาม” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย ในสายตาแฝงการต่อต้าน

หานฉายไฉ่ขมวดคิ้ว

เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มพูดแก้ไขความผิดปกติ “ชมว่าชายหนุ่มงดงาม คงจะไม่เหมาะ”

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นและทำเป็นครั้งแรก”

คำพูดของนาง ทำให้หานฉายไฉ่หรี่ตาลงมากกว่าเดิม

สายตาพลันเปลี่ยนไป ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

ปฏิกิริยาของหานฉายไฉ่ ทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจเป็นอย่างมาก ก็ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา และพยายามจะพิสูจน์อะไร

ครู่หนึ่ง เสียงอันเกียจคร้านของหานฉายไฉ่ดังขึ้นอีกครั้ง “ใต้ที่ราบลั่วรื่อในวันนั้น ข้าเห็นร่างอันน่าเย้ายวนบนตัวของพญาเพลิงเมฆสุริยา ราวกับจะเป็น…” เขาจับจ้องทุกปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอ และค่อยๆ พูดออกมาว่า “…หญิงสาว”

ดวงตาหงส์คู่นั้น ค่อยๆ กวาดมองใบหน้าของมู่ชิงเกออย่างละเอียดและมองลำคอของนางที่นูนออกมาเล็กน้อย แต่ก็มองข้ามไม่ได้ว่ามี ลูกกระเดือก อยู่ตรงนั้น ทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น และคิดทบทวน

คำพูดของเขา ไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย ท่าทางนิ่งสงบเช่นนั้น ทำให้เขาสงสัยว่าตอนนั้นตนเองตาฝาดไปหรือเปล่า

“หืม? ตอนนั้นมีคนอื่นหรือ” มู่ชิงเกอมองเขาด้วยความสงสัย

หานฉายไฉ่เม้มปากไม่ยอมตอบ เพียงจ้องนางราวกับ ต้องการจับโกหกนางให้ได้!

มู่ชิงเกอกลับก้มสายตาลงพึมพำ ”เป็นไปไม่ได้ สภาพแวดล้อมแย่ๆ เช่นนั้น คนปกติยากที่จะเข้าไป อีกประการหนึ่งตลอดทางที่เราเดินทางไป ก็ไม่ได้มีผู้หญิง ตามไปด้วย” ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นมองหานฉายไฉ่ และพูดด้วยสายตาอันสว่างที่ดูจริงใจ “หรือหัวหน้าหานจะถูกพญาเพลิงเมฆสุริยาแผดเผาจนเกิดภาพลวงตา แต่ว่า…” ใบหน้าของนางฉายความรังเกียจขึ้นมา “ภาพลวงตาที่เกิดกลับเป็นเรือนร่างของหญิงสาว หัวหน้าหานเจ้านี่มัน     ฮ่าๆ เรามันผู้ชายด้วยกัน เข้า

ใจๆ”

อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็หัวเราะออกมา ใบหน้าอันน่าเย้ายวนและบ้าคลั่งนั่น เป็นกิริยาของหญิงสาวหรือ หานฉายไฉ่ขมวดคิ้วมากกว่าเดิม และลืมตอบกลับสิ่งที่มู่ชิงเกอล้อเลียนไปทันที

“มู่ชิงเกอ เจ้ามีความลับอันใดกันแน่” อยู่ๆ หานฉายไฉ่ก็ถามขึ้น

มู่ชิงเกอเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที นางมองหานฉายไฉ่ และเยาะเย้ย “แล้วหัวหน้าหานมีความลับอันใด จะแบ่งปันกันได้หรือไม่เล่า”

สายตาของหานฉายไฉ่ฉายความเคร่งขรึม ความเย็นเยียบสาดฉายออกจากร่างกาย

มู่ชิงเกอยิ้มขื่น “มนุษย์ทุกคนล้วนมีความลับ ในเมื่อหัวหน้าหานเองยังไม่ยอมเปิดเผยความลับของตนเอง แล้วจะอยากรู้ความลับของข้าไปเพื่ออะไร อีกประการหนึ่ง ความลับของข้า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหัวหน้าหาน”

ท่าทางของหานฉายไฉ่กลับเป็นปกติทันที ในดวงตาหงส์ของเขามีรอยยิ้มอันคลุมเครือเกิดขึ้น “ข้าทำผิดไปจริงๆ”

มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มเยาะเย้ยตรงมุมปาก และไม่พูดอะไรอีก

ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง หานฉายไฉ่จึงพูดว่า “เจ้าค้นหาความจริงจบแล้วหรือ”

มู่ชิงเกอไม่ตอบ

หานฉายไฉ่พูด “เพื่อเป็นการแสดงคำขอโทษเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเล่อแห่งโลกยุคกลางกับเจ้าโดยไม่ต้องการผลตอบแทน”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วมองเขา ราวกับกำลังพูดว่า “เจ้าเป็นคนดีเพียงนั้นเชียวหรือ”

หานฉายไฉ่ยิ้มอย่างน่าเย้ายวน และพูดขึ้นเลยว่า “ในโลกยุคกลาง มีตระกูลมากมาย ทั้งตระกูลเล็ก ตระกูลใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ความกว้างขวางของโลก ยุคกลางก็มากกว่าที่เจ้าคิด โดยปกติแล้ว โลกยุคกลาง แบ่งเป็นห้าภูมิภาค ภูมิภาคกลาง ภูมิภาคเหนือ ภูมิภาคตะวันตก ภูมิภาคตะวันออกและใต้ ตระกูลเล่ออยู่ใน ภูมิภาคใต้ ตระกูลเล็กใหญ่ในภูมิภาคใต้ที่ขึ้นชื่อมีหลายร้อยตระกูล ท่ามกลางหลายร้อยตระกูลนี้ ตระกูลเล่อไม่มีจุดยืน และถือได้ว่าเป็นตระกูลขนาดเล็ก”

มู่ชิงเกอฟังอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นว่าอยู่ๆ หานฉายไฉ่ก็พูด นางจึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ากำลังปลอบใจข้า ว่าเรื่องที่ข้าก่อเอาไว้ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ”

“ไม่” หานฉายไฉ่ส่ายหนำ รอยยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ “แม้จะเป็นตระกูลเว่ยในตอนนี้ สำหรับตระกูลมู่ของเจ้าแล้ว ก็ไม่ถือว่าเหนือกว่า เจ้าเพียงจำไว้ว่า ในโลกยุคกลาง มีสายม่วงมากมาย เท่านี้ก็คงเห็นความต่างแล้ว อีกประการหนึ่ง ตระกูลในโลกยุคกลาง จะมีการประลองในทุกๆ สิบปี หากเป็นตระกูลที่ได้รับชัยชนะ จะทำให้การจัดอันดับของวงศ์ตระกูลได้เลื่อนสูงขึ้นและได้รับทรัพยากรและดึงดูดยอดฝีมือได้มากขึ้น ไม่แน่ว่า เมื่อเจ้าไปถึงโลกยุคกลาง และหาตระกูลเล่อจนพบ พวกเขาในตอนนั้นอาจจะเก่งกาจมากขึ้น ใช่สิ ลืมบอกไปว่า การประลองครั้งถัดไปของโลกยุคกลางจะเกิดขึ้นอีกสามปี”

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง “เหตุใดข้าจึงรับรู้ได้ถึงความสะใจในความทุกข์ของคนอื่น”

หานฉายไฉ่ไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ยอมรับ แต่พูดต่อว่า “หลินชวนศรัทธาแคว้น โลกยุคกลางเคารพวงศ์ตระกูล นี่คือสิ่งที่ทั้งสองที่แตกต่างกันมากที่สุด”

สำหรับโลกยุคกลาง มู่ชิงเกอไม่ได้อยากที่จะเข้าใจโครงสร้างของมันอย่างที่หานฉายไฉ่คิดเอาไว้

อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่คนเดิม เพียงแค่เข้าใจโลกยุคกลางว่าเป็นการแยกอำนาจในประวัติศาสตร์ เป็นระบอบขุนนางก็ไม่ยากต่อการเข้าใจแล้ว

ไม่มีการสถาปนาระบบการปกครอง ล้วนตั้งตัวเป็นใหญ่ เคารพผู้ที่ความสามารถเหนือกว่า นี่คือสิ่งที่สะท้อนโลกยุคกลางได้ดีที่สุด

ความจริงแล้ว ในความคิดของมู่ชิงเกอ โครงสร้างเช่นนี้ ล้าหลังกว่าหลินชวนที่ศรัทธาในจักรพรรดิ เพราะการไม่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทำให้ยากต่อการพัฒนา

แต่ทว่า ก็เป็นจุดเด่นเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!