Skip to content

พลิกปฐพี 143-3

ตอนที่ 143-3

ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน

เมืองฮ่วน นอกเมือง

ฟ่งอวี๋กุยกับฟ่งอวี๋เฟยต่างคนต่างแยกกันนั่งบนหลังม้า ด้านหลังตามมาด้วยขุนนางฝ่ายพิธีการของแคว้นลี่และขบวนต้อนรับ

ฟ่งอวี๋กุยมองไปทางฟ่งอวี๋เฟยอย่างไม่พอใจ สบถขึ้นเสียงเย็น “ในเมื่อจากไปแล้วจะกลับมาอีกทำไม? มาตอนนี้ข้ายังต้องมาต้อนรับคณะทูตแคว้นฉินพร้อมกัน กับเจ้าอีก”

ฟ่งอวี๋เฟยก็ไม่ได้สนใจเขา แม้แต่หางตาก็ไม่สนใจแม้แต่จะมอง

ท่าทีตอบกลับเช่นนี้ ก็ทำเอาแววตาของฟ่งอวี๋กุยเยียบเย็น สีหน้าดำทะมึน ท่าทางไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง “ฟ่งอวี๋เฟย เจ้าก็อย่าได้ ได้ใจที่เสด็จพ่อหนุนหลังเจ้าเกินไปนัก ข้าขอบอกเจ้า ตำแหน่งรัชทายาทของแคว้นลี่ต้องเป็นของข้าเพียงเท่านั้น! เจ้าอย่าคิดจะได้มันไป!”

ฟ่งอวี๋เฟยยิ้มเยาะ “ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?”

“เจ้า!” ฟ่งอวี๋กุยกล่าวขึ้นอย่างชิงชัง “ข้าขอบอกเจ้า ครั้งนี้ที่เสด็จพ่อเชิญคณะทูตจากแคว้นต่างๆมา ก็เพื่อที่จะประกาศเรื่องตำแหน่งรัชทายาท เจ้าก็จากไปนานตั้ง 10 ปี เจ้าคิดว่ายังจะมีคนจำเจ้าได้อยู่อีกรึ? แต่ว่าสำหรับข้านั้นต่างกัน ข้าถือเป็นองค์ชายที่โดดเด่นที่สุดในราชวงศ์ พวกคณะทูตที่มาเยือน แน่นอนว่าจะต้องคิดว่าข้าเป็นรัชทายาทที่เหมาะสมที่สุด”

“โดดเด่นที่สุด?” ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวหยันขึ้นเสียงเย็น “องค์ชายที่โดดเด่นที่สุดของแคว้นเราเพราะว่าโทษขโมยของจึงถูกขับออกจากโรงโอสถน่ะรึ? ผู้ที่โดดเด่น เช่นนี้ แคว้นเราจริงๆ แล้วก็ไม่อยากได้ ช่างอับอายผู้คนนัก”

“เจ้าอย่าพูดพล่อยๆ! นั้นเป็นเพียงการใส่ร้าย! มีคนคิดอิจฉาข้าถึงได้จงใจป้ายสีข้า! ข้าก็ได้อธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดให้เสด็จพ่อฟังแล้ว เจ้าอย่าเอาเรื่องนี้ มาหลู่เกียรติข้าอีก!” ฟ่งอวี๋กุยจากอับอายกลายเป็นโกรธแค้น ขาดอีกนิดก็จะลงมือแล้ว เรื่องเรื่องนี้ก็ถือเป็นความอัปยศในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะ ลบล้างยังไงก็ไม่สำเร็จ!

คำกล่าวของฟ่งอวี๋กุยก็ทำเอาในใจของฟ่งอวี๋เฟยรู้สึกดูแคลนยิ่งขึ้น ทว่า นางก็ไม่ได้โต้เถียงกับเขาอีก แต่ยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวขึ้น “เจ้าก็แน่ใจขนาดนั้นเลยรึ ว่าคณะทูตจากแคว้นต่างๆ จะกล่าวสนับสนุนเจ้าต่อหน้าเสด็จพ่อ?”

“นั้นก็แน่นอน!” ฟ่งอวี๋กุยกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ

แต่ฟ่งอวี๋เฟยกลับกล่าวขึ้นยิ้มเยาะ “แต่ว่า ข้ากลับรู้มาว่ามีอยู่แคว้นหนึ่งที่จะไม่มีทางสนับสนุนเจ้า”

ฟ่งอวี๋กุยแววตาเยียบเย็น ใบหน้าบิดเบี้ยวจ้องมองไปที่นาง “เจ้าพูดอะไร?”

“คำกล่าวของข้าเข้าใจยากมากรึไง?” ฟ่งอวี๋เฟยยิ้มหยันไปทางเขาอีกครั้ง

“เป็นแคว้นใด?” ฟ่งอวี๋กุยกล่าวขึ้นเสียงเย็นยะเยือก

ฟ่งอวี๋เฟยยิ้มขึ้นอย่างไม่สนใจ ควบม้าไปด้านหน้าหลายก้าว “อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้แล้ว”

‘ตอนนี้ชื่อเสียงของมู่ชิงเกอโด่งดังเสียขนาดนั้น แคว้นฉินถึงแม้จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่กลับไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อความน่าเกรงขามของแคว้นเลยแม้แต่น้อย กลับกันมีแต่เพิ่มไม่มีลด มีแคว้นฉินคอยสนับสนุนสุดกำลัง แคว้นถูในตอนนี้ก็ถือแคว้นฉินเป็นที่สุด ต่อให้เจ้าได้รับการสนับสนุนจากแคว้นปา แคว้นอวี๋ แล้วอย่างไร? อย่างมากก็ถือว่าเสมอกัน’ ฟ่งอวี๋เฟยยิ้มเย็นขึ้นในใจ ที่น่าขันก็คือ ฟ่งอวี๋กุยยังคิดทะนงตนไปว่าตนเองตอนนี้อยู่เหนือกว่า

นางก็อดไม่ไหวที่จะค่อยดูจริงๆ ดูชิว่าตอนที่เขาเห็นผู้นำคณะทูตแคว้นฉินเป็นคนที่เขาเคยมีเรื่องด้วยแล้ว เขาจะมีท่าทางเป็นยังไง

ไม่ได้ให้นางต้องรอนาน ปลายสุดของถนนหลวงก็พลันปรากฏขบวนยาวหลายพันคนขบวนหนึ่ง

บนธงที่พลิ้วสะบัดอยู่ด้านบนบางส่วนประดับไว้ด้วยตัวอักษร ‘ฉิน’ แล้วก็ยังมีธงประจำทัพบางส่วนที่ปักตัวอักษร ‘มู่’

ร่างของคนที่อยู่ด้านหน้าสุดถูกอาภรณ์สีแดงและชุดเกราะสีเงินห่มคลุมเอาไว้ กลิ่นไอดุดันเกินผู้คน ดูภูมิฐาน องอาจอย่างถึงที่สุด ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็โดดเด่น เป็นยิ่งนัก

ด้านล่างของพวกเขากับองครักษ์เกราะดำด้านหลัง ก็ขี่อยู่ด้วยสัตว์วิญญาณอย่างอาชาเพลิง

ด้านหลังของพวกเขาก็ยังมีพลเท้าหนึ่งพันนายกับพลม้าอีกสองพันนาย รวมถึงขบวนรถม้าอันยาวเหยียด ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด

“คณะทูตของแคว้นฉินมาถึงแล้ว” ในกลุ่มขุนนางพิธีการที่มาต้อนรับมีคนกล่าวขึ้น

ฟ่งอวี๋กุยเร่งรีบดึงอารมณ์เกรี้ยวกราดของตัวเองกลับ เงยหน้ามองไป

ในตอนที่เขาเห็นธงทัพที่มีตัวอักษรมู่ก็พลันขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ ในใจปรากฏลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น ตัวอักษรมู่ตัวนั้น ทำให้เขานึกถึงคนคนหนึ่งที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ ในตอนที่ขบวนของแคว้นฉินค่อยๆ ใกล้เข้ามา ปรากฏเข้าสู่สายตาของเขาชัดเจน ณ ตอนนั้น ความงดงามของคนที่อยู่ด้านหน้าสุดก็ทำเอานัยน์ตาคู่นั้นของเขา พลันเบิกกว้างอย่างรุนแรง ในใจเกิดความตื่นตระหนก จนถึงขีดสุด

‘ทำไมถึงเป็นมันได้!’

ฟ่งอวี๋กุยต่อให้ตายก็ไม่มีทางลืมใบหน้าใบนี้ได้ ทำไมอยู่ดีๆ ก็มาปรากฏต่อหน้าของเขา โดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้

ข้างหู อยู่ๆ ก็ดังขึ้นมาด้วยเสียงเยาะเย้ยถากถางของฟ่งอวี๋เฟย “ทำไมรึ? ตอนที่องค์ชายสามไปผูกความแค้นกับผู้คน ก็ล้วนแต่ไม่ได้สืบความถึงเบื้องหลังของฝ่ายตรงข้ามให้ชัดเจนก่อนเลยรึ?”

คำกล่าวเช่นนี้ ก็ทำให้ฟ่งอวี๋กุยต้องหันขวับไป แววตาคู่นั้นฉายแววชิงชัง เขามองไปทางฟ่งอวี๋เฟยพลางกล่าวถามขึ้น “เขาเป็นใคร!”

ฟ่งอวี๋เฟยกลับยิ้มขึ้นอย่างดูแคลน “เขา? น้องสามก็มองไม่เห็นธงกองทัพหรอกรึ? อยู่แคว้นฉิน คนที่สามารถใช้ธงตัวอักษรมู่ได้ ยังจะสามารถมีใครได้อีก?”

ฟ่งอวี๋กุยพลันสูดลมหายใจเย็น “จวนตระกูลมู่แคว้นฉิน เขาเป็นคุณชายของจวนตระกูลมู่!”

คุณชายผู้นั้นที่ใช้กำลังและความสามารถของตนเพียงลำพังสั่นคลอนลมฟ้าที่แคว้นฉิน จัดการฆ่าล้างราชวงศ์ฉินจนเหลือเพียงไม่กี่คน? คุณชายผู้ที่รบจนแคว้นกูยอมสยบเป็นข้ารับใช้ ไม่กล้าล่วงเกินอีก? คุณชายที่ไม่นานก่อนหน้านี้สำเร็จ พลังสายม่วง ทำการประหารฮ่องเต้แคว้นฉินต่อหน้าฝูงชน?

ราวกับว่าพอคำรํ่าลือเกี่ยวกับคุณชายจวนตระกูลมู่ผุดขึ้นมาในหัวของฟ่งอวี๋กุยครั้งหนึ่ง จิตใจของเขาก็จะหนักอึ้งขึ้นไปอีกหลายส่วน

เขาไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ถึงว่ามู่เกอก็คือมู่ชิงเกอ เป็นคุณชายตระกูลมู่ของแคว้นฉิน!

ถ้าหากเขารู้เรื่องนี้แต่แรก ไหนเลยยังไม่ทันจะสานสัมพันธ์ก็กลับไปล่วงเกินหาเรื่องเขาแล้ว?

ตอนที่ฟ่งอวี๋กุยเห็นใบหน้างดงามจนแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงของมู่ชิงเกอที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาก็พลันมีความคิดเหมือนอยากจะถอยหนีไป

มู่ชิงเกออยู่ในชุดเกราะเบา ควบเพลิงรัตติกาลไปด้านหน้าของฟ่งอวี๋เฟยกับฟ่งอวี๋กุย พอนางมองไปเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของฟ่งอวี๋กุย ก็พลันแย้มยิ้มขึ้นมา กล่าว ขึ้นอย่างหยอกเย้าว่า “องค์ชายสามไม่ได้พบกันเสียนาน”

ประโยคง่ายๆ ประโยคหนึ่งทำเอาความความคิดของฟ่งอวี๋กุยกระเจิดกระเจิง!

เขาก็หวังอย่างยิ่งว่าคนตรงหน้าผู้นี้จะเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่มีใบหน้าเหมือนกับมู่เกอเท่านั้น

ใบหน้าของฟ่งอวี๋กุยก็สั่นระริกไม่หยุด สีหน้าดำคลํ้า ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี

ความผิดปกติของเขา ก็ทำเอาขุนนางพิธีการเกิดร้อนรน ทำได้เพียงมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฟ่งอวี๋เฟย

ฟ่งอวี๋เฟยสีหน้าท่าทางปกติ สายตาที่จ้องมองมู่ชิงเกอก็ไม่อ่อนไม่แข็ง กล่าวขึ้นเป็นตัวแทนแคว้น “ได้ยินชื่อเสียงของคุณชายมู่มานาน วันนี้พอได้พบหน้าก็ไม่ได้ต่างจากที่รํ่าลือ คุณชายเดินทางลำบากมาตลอดทาง เชิญตามอวี๋เฟยไปที่พักก่อนเถิด”

ฉากนี้ ก็มองดูจนขุนนางพิธีการพยักหน้าชื่นชม สายตาของมู่ชิงเกอเลื่อนจากฟ่งอวี๋กุยไปทางฟ่งอวี๋เฟย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ เช่นกัน “ลำบากองค์ หญิงใหญ่นำทางแล้ว”

พอต้อนรับคณะทูตแคว้นฉินได้อย่างราบรื่น คนทั้งสองขบวนก็รวมเข้าด้วยกัน ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปทางที่พัก ทูตที่แคว้นลี่จัดเตรียมเอาไว้บนถนน ฟ่งอวี๋กุยอดไม่ได้ที่จะรั้งสายจูงของฟ่งอวี๋เฟยเอาไว้ กล่าวขึ้นเสียงกดต่ำ “เจ้าก็รู้เรื่องราวระหว่างข้ากับเขาตั้งแต่แรก?”

ฟ่งอวี๋เฟยยิ้มเยาะ ไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแต่เอ่ยขึ้นว่า “น้องสามถ้าหากรู้สึกไม่สบาย ไม่สู้กลับไปพักผ่อนก่อน? หากฝืนรั้งอยู่อาจจะกระทบต่อแขกได้”

คำพูดของนางเพิ่งกล่าวจบ ก็ไม่รอให้ฟงอวี๋กุยโต้แย้ง ก็ได้ยินเสียงขุนนางพิธีการกล่าวขึ้น “องค์หญิงใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว องค์ชายสามถ้าหากรู้สึกไม่สบายไม่สู้กลับไปก่อน พลังอำนาจของแคว้นฉินในตอนนี้ก็ไม่ควรจะไปล่วงเกินจริงๆ”

ฟ่งอวี๋กุยสีหน้าพลันกลายเป็นเคร่งขรึม สายตาดุจคมมีดกวาดมองไปยังร่างของฟ่งอวี๋เฟยกับขุนนางพิธีการ ท้ายที่สุดก็สบถไม่พอใจขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนบังคับม้าหันกลับจากไป

ช่วงเวลานี้ เขาแน่นอนว่าไม่เหมาะจะพบหน้ากับมู่ชิงเกอจริงๆ ไม่สู้จากไปก่อน ไปหาวิธีการรับมือกับพวกกุนซือ

ตอนนี้ ฟ่งอวี๋กุยในที่สุดก็เข้าใจความนัยจากคำกล่าวของฟ่งอวี๋เฟย ที่กล่าวว่ามีแคว้นหนึ่งที่จะไม่มีทางยืนอยู่ฝั่งเขา ก็คงจะหมายถึงแคว้นฉินกระมัง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!