Skip to content

พลิกปฐพี 144-2

ตอนที่ 144-2

กดเจ้าให้จมดิน เอาให้จมดิน!

หลังจากตกตะลึงไปนาน ฟ่งหลันก็ไม่สนใจฐานะของตน หันไปตรัสถามก็จ้าวหนานซิง “องค์ชายสี่ ไม่ทราบว่านักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณผู้นี้มีชื่อแซ่ว่าอะไร บ้านเกิดอยู่ที่ไหน? เวลานี้ยังอยู่ที่โรงโอสถอยู่หรือไม่?”

จ้าวหนานซิงยิ้มไปทางเขาอย่างมีเลศนัย

รอยยิ้มนั้นก็มองดูจนฟ่งหลันรู้สึกกระดากอาย เร่งรีบอธิบาย “การปรากฏของนักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณคนแรกของแคว้นระดับสาม ข้าก็อยากจะพบปะเสียหน่อย ถ้าหากสะดวก ขอองค์ชายสี่บอกกล่าวให้ทราบด้วยเถิด”

เฮ้อเหลียนถัวถัวก็ลอบเอียงหูตั้งใจฟัง เกรงว่าจะพลาดข้อมูลสำคัญไป

หางตาของจ้าวหนานซิงลอบมองไปทางมู่ชิงเกออย่างนึกสนุก กล่าวขึ้นแย้มยิ้ม “เขาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่โรงโอสถ”

“อ้อ? เช่นนั้นองค์ชายสี่รู้หรือไม่ว่าเขาตอนนี้อยู่ที่ใด?” ฟ่งหลันแววตาฉายแววเสียดายออกมา

“เขารึ?” จ้าวหนานซิงยกยิ้มมุมปาก กล่าวขึ้นกล่าวขึ้นอย่างนึกสนุก “เขาตอนนี้ก็อยู่ที่นี่”

“อะไรนะ!” ครั้งนี้ก็กลายเป็นฟ่งหลันที่คุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ พอคำกล่าวของจ้าวหนานซิงดังขึ้น เขาก็พลันลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร สายตากวาดมองไปรอบหนึ่ง

ถึงแม้ในตัวตำหนักจะมีคนแค่ไม่กี่ร้อย แต่ฟ่งหลันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นใคร

ขุนนางบุ๋นบู๊ของตนชัดเจนว่าไม่ใช่ เช่นนั้นจะเป็นใครกัน?

ชั่วขณะนั้น ฟ่งหลันก็ถึงกับนึกว่าตนเองถูกจ้าวหนานซิงกลั่นแกล้งเข้า แต่เขาก็ยังกอดความหวังเอาไว้อยู่สายหนึ่ง กล่าวไปทางจ้าวหนานซิง “ถ้าหากนักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณผู้นั้นยังอยู่ในตำหนัก ก็ขอให้องค์ชายสี่โปรดบอกออกมาเถิด อย่าได้รีรออีกเลย”

จ้าวหนานซิงมองไปทางมู่ชิงเกอ เห็นริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มเอือมระอาประดับอยู่ ก็เลยแย้มยิ้มพลางชี้นิ้วออกไป “เขาก็ไม่ใช่ว่าอยู่ตรงนั้นหรือ”

ฝูงชนมองตามนิ้วที่เขาชี้ไป ก่อนจะเห็นเข้ากับมู่ชิงเกอที่กำลังก้มหน้าก้มตาจิบสุราอยู่บนที่นั่งของตน ชั่วขณะนั้น ทั้งตำหนักก็เต็มไปด้วยเสียงสูดลมหายใจ

เฮ่อเหลียนถัวถัวถึงขนาดได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง

ไม่มีทางยอมรับว่านี่เป็นความจริง!

ปีศาจร้ายตระกูลมู่ผู้นั้นกลับกลายเป็นนักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณ? ชัดเจนว่านี่เป็นการกลั่นแกล้งจากสวรรค์ที่คิดจะกดแคว้นถูของเขาให้จมดิน!

ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนถัวถัวก็พลันสัมผัสได้ถึงอนาคตอันดำมืดของแคว้นกู มองไม่เห็นความหวังแม้แต่น้อย!

“คุณชายมู่?” ฟ่งหลันมองไปทางมู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะหันไปกล่าวขอความแน่ใจกับจ้าวหนานซิง “คนที่องค์ชายสี่กล่าวถึงเป็นคุณชายมู่รึ?’’

“ไม่ผิด” จ้าวหนานซิงพยักหน้า กล่าวขึ้นยิ้มๆ “จะว่าไปแล้ว องค์ชายสามของแคว้นท่านก็ยังเข้าไปที่โรงโอสถเวลาเดียวกันกับศิษย์น้องมู่ด้วย”

ทุกอย่างก็พลันกระจ่างขึ้นมา!

ฟ่งหลันก็ทรมานใจราวกับกำลังเคี้ยวเทียนไขอย่างไรอย่างนั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นใด มองดูลูกชายของบ้านอื่น ก่อนจะหันกลับไปมองลูกชายของตนอีกครั้ง คนหนึ่งอายุเยาว์วัยก็สามารถทำลายสถิติของคนรุ่นก่อน กลายเป็นนักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ ส่วนอีกคนหนึ่งเล่า? ไปยังโรงโอสถแล้วกลับถูกพบเจอว่าขโมยยา จนถูกขับไล่ออกมาอย่างอเนจอนาถ อับอายไปจนถึงแว่นแคว้น

หากไม่ถูกเอาไปเปรียบเทียบก็คงไม่อนาถหนักถึงขนาดนี้ พอเอาฟ่งอวี๋กุยไปเปรียบกับมู่ชิงเกอ ลูกชายของคนอื่นเขาก็คงเป็นมังกร ส่วนลูกชายของเขาก็เป็นได้เพียงแค่ โคลนตม!

‘ก็เป็นมู่ชิงเกอจริงๆ ด้วย!’ แววตาริษยาของฟ่งอวี๋กุยก็ยิ่งแดงกํ่าขึ้น

ในใจนึกเกลียดชังมู่ชิงเกอยิ่งนัก คิดไปเองว่าเขาเหยียดหยามตนที่โรงโอสถแล้วยังไม่พอ ตอนนี้ยังมาที่แคว้นของเขา ทำการเหยียดหยามเขาต่อหน้าเสด็จพ่อของเขาอีก!

เรื่องที่มู่ชิงเกอเป็นนักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณ แต่เดิมก็ไม่ถือว่าเป็นความลับอันใด

โรงโอสถเพื่อที่จะเพิ่มความน่าเกรงขามของตน ก็คงจะป่าวประกาศออกไปในไม่ช้า

ดังนั้น การกระทำครั้งนี้ของจ้าวหนานซิงสำหรับมู่ชิงเกอแล้วก็ไม่ได้คิดห้ามปรามอันใด และก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ กลับกัน นางตอนนี้กลับรู้สึกพอใจกับท่าทีเดียดแค้นชิงชังของฟ่งอวี๋กุยมาก

อืม น่าพึงใจนัก!

มู่ชิงเกอยกจอกเหล้าขึ้นมาจิบอีกอึกหนึ่งก่อนจะวางกลับลงไป นางช้อนตามองไปทางฟ่งหลันที่กำลังตื่นตะลึงพลางกล่าวขึ้นยิ้มๆ “ทำให้ฝ่าบาทต้องขบขันแล้ว”

“ไม่ ไม่ ไม่ เป็นข้าที่ตกใจเกินไป เสียมารยาทแล้ว” ฟ่งหลันเร่งร้อนกล่าวขึ้น

เขาก็ทำการกวาดตามองมู่ชิงเกออีกครั้ง ยิ่งมองยิ่งพึงใจ อดไม่ได้ที่อยากจะจับเขามาเป็นราชบุตรเขย

แต่พอลองคิดดู ลูกสาวที่เขาโปรดปรานที่สุดก็คือฟ่งอวี๋เฟย แต่ว่าฟ่งอวี๋เฟยก็มีประวัติรักๆ ใคร่ๆ ที่ผู้คนรู้อยู่โดยทั่วกัน อีกทั้งอายุยังห่างจากมู่ชิงเกออยู่หลายสิบปี คิดไปคิดมาก็คงไม่เหมาะสมนัก สุดท้ายแล้วก็เอาความคิดนี้กดลงในก้นบึ้งของหัวใจ

“คุณชายมู่ก็ช่างทำให้ผู้คนประหลาดใจนัก! มีพรสวรรค์เช่นนี้ มากความสามารถเช่นนี้ ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวแคว้นระดับสาม” ฟ่งหลันกล่าวขึ้นอย่างทอดถอนใจ

ใจในพลันรู้สึกอิจฉามู่ซงของแคว้นฉินนักที่ได้รับหลานชายที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

การถ่อมตนเกินไปก็ไม่ใช่นิสัยของนาง ส่วนหยิ่งเกินไปนั้น

หึ นางนั้นถ่อมตนมาก ชอบเป็นคนถ่อมตน

งานเลี้ยงครั้งนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ ก็ถูกเรื่องที่ว่าคุณชายตระกูลมู่เป็นนักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณกลบจนกร่อยลงไปไม่น้อย แม้กระทั่งอาหารและสุราเลิศรสก็กลายเป็นไร้รสชาติขึ้นมา

การระบำหน้าตำหนักของนางรำที่หามา ฝูงชนก็ดูกันอย่างจิตใจล่องลอย

ส่วนฟ่งหลัน มู่ชิงเกอแล้วก็จ้าวหนานซิงก็ยังพูดคุยกัน นับว่าไม่เลว เขาบางจังหวะก็หันไปพูดคุยกับต้าอูที่ไม่ชอบพูดจา กับเฮ่อเหลียนถัวถัวบ้างเป็นบางประโยค เพียงแต่ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนตอนคุยกับมู่ชิงเกอก็เท่านั้น

การปฏิบัติที่แตกต่างเช่นนี้ ทุกคนก็สามารถเข้าใจได้

ในเมื่อตามจริงแล้ว หากตัดสถานะแต่เดิมของมู่ชิงเกอ ออกไป อิงเพียงสถานะของนักปรุงยาขั้นจิตวิญญาณอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะเป็นบุคคลสำคัญของแคว้น ระดับสามแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงฟ่งหลัน หากงานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นที่แคว้นปา หรือว่าแคว้นอวี๋ การปฏิบัติที่มู่ชิงเกอจะได้รับแน่นอนว่าจะต้องดีที่สุด รํ่าสุรากันไปได้ช่วงหนึ่ง ฟ่งหลันก็โบกมือให้นางรำถอยออกไปอย่างอารมณ์ดี

เหล่านางรำพากันทยอยถอยออกไป ฝูงชนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงก็ล้วนแต่รู้ความนัย หัวข้อสำคัญในงานเลี้ยงครั้งนี้ ในที่สุดก็มาเสียที

ขุนนางบุ๋นบู๊ของแคว้นล้วนรู้ดีว่า ฝ่าบาทของตนที่เชิญราชทูตจากแคว้นทั้งสี่มา ก็เพื่อที่จะเชิญมาร่วมพิธีแต่งตั้งรัชทายาทที่ยังไม่ได้กำหนดตัวคนแต่กำหนดเวลาจัดพิธีเอาไว้แล้ว

กลุ่มอำนาจในแคว้น องค์หญิงใหญ่ฟ่งอวี๋เฟยอาศัยฐานอำนาจกลุ่มเดิมเมื่อกาลก่อนกับขุนนางเก่าที่เป็นเครือญาติของอดีตฮองเฮา ก็ถึงกับสามารถคานอำนาจกับกลุ่มอำนาจขององค์ชายสามฟ่งอวี๋กุยได้

ตอนนี้ฝ่าบาทก็อยากจะดูว่าพวกเขาสองคนพออยู่ต่อหน้ากลุ่มอำนาจภายนอกแคว้นลี่แล้วใครจะได้รับการสนับสนุนมากกว่ากัน

ฟ่งหลันค่อยๆ เก็บรอยยิ้มกลับ สีหน้าท่าทางเริ่มกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นหลายส่วน

ฟ่งอวี๋กุยพลันเคร่งเครียดขึ้นมา ถึงจะอยู่ต่อหน้าเกมกระดานที่ต้องแพ้แน่นอน แต่เขาก็ยังคงมีความหวังอยู่หลายส่วน

ถ้าหากเป็นไปได้ ถ้าหากไม่เป็นอย่างที่คิดเล่า?

พอหันมองไปทางฟ่งอวี๋เฟยนางกลับมั่นคงนิ่งขรึมไม่น้อย ราวกับไม่ได้สนใจอันใดเกี่ยวคำพูดที่ฟ่งหลันจะกล่าวหรือว่าตัดสินใจต่อจากนี้

ตำหนักใหญ่พลันกลายเป็นเงียบกริบลง เหล่าขุนนางของแคว้นลี่ล้วนพากันหยุดหายใจรอคอย

ฟ่งหลันค่อยๆ เปิดปากขึ้น “ครั้งนี้ที่เชิญทั้งสี่แคว้นมา ก็เพื่อเข้าร่วมงานพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท พิธีการก็จะจัดขึ้นภายในสามวันให้หลัง แต่ว่าไม่ขอปิดบังทุกท่าน ข้าในใจตอนนี้คนที่สามารถรับตำแหน่งรัชทายาทได้ก็มีอยู่สองคน แบ่งเป็นองค์หญิงใหญ่ฟ่งอวี๋เฟยกับองค์ชายสามฟ่งอวี๋กุย” เขาพอพูดถึงตรงนี้ ความหมายที่ต้องการจะสื่อก็ถือว่าชัดเจนมากแล้ว

สายตาของฟ่งหลันกวาดมองเป็นเชิงสอบถามไปทางคณะทูตทั้งสี่แคว้นทีละคน เห็นพวกเขาไม่รีบร้อนจะแสดงท่าที ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น ผู้สืบทอดของแคว้นลี่แน่นอนว่าไม่ใช่กิจธุระที่เกี่ยวข้องอันใดกับแคว้นอื่นๆ ตอนนี้เขาเพียงแค่อยากดูว่าท่าทีของแคว้นอื่นๆ เป็นอย่างไร แต่ทำไมพวกเขาถึงนิ่งเงียบกัน?

จริงๆ แล้ว ฟ่งหลันให้แคว้นทั้งสี่แสดงความคิดเห็น ก็ไม่เพียงแค่อยากจะรู้ว่าใครเหมาะสมในการเป็นรัชทายาทมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็อยากได้การรับรองและข้อตกลงจากทั้งสี่แคว้น

เจ้าบอกว่าคนนี้เหมาะกับการเป็นรัชทายาท แน่นอนว่า จะต้องมีเหตุผลกระมัง

ในเมื่อเจ้าบอกว่าคนคนนี้เหมาะที่จะเป็นรัชทายาท เช่นนั้นหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เจ้าก็ไม่ควรหน้าไม่อายส่งทหารมาต่อตี

ในใจของฟ่งหลันก็วางแผนการเอาไว้เสร็จสรรพ รัชทายาทขอเพียงตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใคร คนที่เหลือ เขาก็จะส่งออกไปให้ไกล หลังจากนั้นก็จะลงมือกวาดล้างกลุ่มอำนาจของคนผู้นั้นภายในแคว้นให้หมด เพื่อปูทางให้กับรัชทายาทในอนาคต

ภายใต้การกวาดล้างที่ครั้งใหญ่เช่นนี้ภายในแคว้นจะต้องไม่ค่อยมั่นคงนัก กำลังอำนาจของแคว้นก็จะได้รับผลกระทบ

ดังนั้น ในเวลานี้ ก็จะต้องยืนยันให้แน่ใจว่าจะไม่มีการก่อกวนจากภายนอก ไม่เช่นนั้นแคว้นลี่ก็อาจจะมีภัยจนต้องล่มสลาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!