Skip to content

พลิกปฐพี 145-2

ตอนที่ 145-2

มู่ชิงเกอเจ้าช่างอำมหิตนัก!

บางทีอาจเป็นเพราะความชิงชัง ถึงทำให้ฟ่งอวี๋กุยดึงเรี่ยวแรงอันน่าตกตะลึงออกมาได้ เขากลับอาศัยจังหวะที่วัวกระทิงด้านหน้าพุ่งโจมตีเข้ามา ใช้เรี่ยวแรงที่เค้นดึง ขึ้นมาหักเขามันไปข้างหนึ่ง เอามันมาใช้แทนอาวุธ ผ่านการตะลุมบอนอันดุเดือดไปฉากหนึ่ง ฟ่งอวี๋กุยก็สามารถแทงสังหารเข้าใส่วัวกระทิงทั้งสามได้ แต่ขาขวาของเขาเองก็ถูกชนจนหักไปด้วย อวัยวะภายในก็ถูกสะเทือนจนรู้สึกบอบชํ้าไปหมด

ฟ่งอวี๋กุยสัมผัสได้ว่าตัวเองยิ่งมายิ่งอ่อนแอลง นอนนิ่งอยู่บนพื้นทราย ทำการอ้อนวอนให้เรื่องทั้งหมดนี้จบสิ้นลง

ในห้องพักของแขกชั้นสูง ผู้รับผิดชอบงานประลองเดินเข้ามาด้านหลังของมู่ชิงเกออย่างนอบน้อมเท่าที่จะทำได้ กล่าวถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณชาย จะให้ประลอง ต่ออีกไหมขอรับ?”

ตามประสบการณ์ของเขา ชายที่อยู่ด้านล่างผู้นั้นเกรงว่าจะทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว

มุมปากของมู่ชิงเกอยกขึ้นด้วยรอยยิ้มน่าหวาดกลัวอันเย้ายวน นางปรายตามองไปยังฟ่งอวี๋กุยที่อยู่ในสนาม ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงเรียบ “ใส่ยาและรักษาบาดแผล จำนวนหนึ่งให้เขา หลังจากนั้น…ให้ประลองต่อไป”

“ขอรับ” ผู้รับผิดชอบงานประลองตอบรับอย่างไม่มีความคิดเห็นก่อนจะล่าถอยออกไป ทำตามคำกล่าวของมู่ชิงเกอ ไปจัดการเรื่องทั้งหมด

‘จบแล้วรึ? คงจบลงแล้วกระมัง’ ฟ่งอวี๋กุยนอนแผ่อยู่บนพื้นทราย ความอ่อนล้าและความทรมานบนร่างก็ ทำเอาเขาจะรับเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เขาก็อยากที่จะทะลวง การผนึกพลังบนร่าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าเขาจะทะลวงมันอย่างไร ก็ไม่สามารถทะลวงได้ ตอนนี้หนึ่งเดียวที่เขารอคอยก็คือ มู่ชิงเกอไม่คิดอยากให้เขาตายไวๆ ต้องการเหลือเวลาให้เขาได้มีชีวิตต่อไป นี่ถึงจะทำให้เขามีโอกาสหนี!

ขอเพียงแค่มีชีวิตต่อไป ถึงจะสามารถแก้แค้นได้!

ฟ่งอวี๋กุยกับซากศพของสัตว์ร้ายนอนล้มอยู่ด้วยกัน รอบด้านเต็มไปด้วยสายตาอันบ้าคลั่ง ชั่วขณะนี้เขาก็นึกว่า ตนเองเป็นแค่สัตว์เดรัจฉานชั้นตํ่าตัวหนึ่ง มีไว้ให้ผู้คนได้ชมดู

ชั่วขณะนั้น เขาก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของคน ในใจของฟ่งอวี๋กุยเต้นระรัวขึ้นมา เขารู้สึกว่าตัวเองมีทางรอดแล้ว ไม่ได้ต้องไปแลกชีวิตเป็นการชั่วคราว

ในที่สุด เขาก็เห็นเข้ากับคนสองคนที่กำลังเข้ามาใกล้เขา

แววตาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับว่า เรื่องราวเช่นนี้ก็คุ้ยเคยและมีให้เห็นจนชินชา

ทั้งสองพอเข้ามา ก็หยิบเอาผงยาคุณภาพตํ่าที่แต่ก่อนฟ่งอวี๋กุยไม่มีทางเอามาใช้บนร่างของตน สาดลงไปบนตัวของเขา หลังจากนั้นก็ช่วยเขาต่อกระดูกเข้าด้วยกันอย่างดุดัน

เขาสะกดข่มความเจ็บเอาไว้ อดทนกับกลิ่นเหม็นอันรุนแรงที่โชยออกมาจากยาชั้นตํ่าพวกนั้น เขารู้ว่าสองคนนี้กำลังทำการรักษาให้เขา

“ช่วยข้าด้วย! ข้าเป็นองค์ชายของแคว้นลี่ หากพวกเจ้าช่วยข้าออกไป ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงามแน่นอน ให้ความมั่งคงและสุขสบายที่พวกเจ้าอยากจะได้ มอบเกียรติยศและความมีหน้ามีตาให้แก่พวกเจ้า!” ฟ่งอวี๋กุยกดเสียงตํ่าลงก่อนจะเร่งกล่าวกับทั้งสองคน

เขาวางแผนว่าจะให้สองคนนี้ช่วยเขาหนีออกไป

เพียงแต่ ทั้งสองคนก็ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา ยังคงทำการรักษาบาดแผลบนตัวของเขาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป

รอจนจัดการบาดแผลของเขาเรียบร้อยแล้วก็เร่งรีบถอยออกไป

“ช้าก่อน!” ฟ่งอวี๋กุยตะโกนเรียกพวกเขาเอาไว้

แต่น่าเสียดายกลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

ความรู้สึกของความล้มเหลวพลันแล่นขึ้นมา ฟ่งอวี๋กุยสะกดกลั้นความเจ็บจากฤทธิ์ของยาชั้นตํ่าที่ทำการรักษาบาดแผลไปทั่วร่างของเขา

ทันใดนั้น ประตูเหล็กในมุมหนึ่งของสนามประลองก็พลันถูกเปิดออก

ครั้งนี้ก็เปิดออกมาแค่เพียงบานเดียว แต่ว่าที่เดินออกมาก็เป็นหมาป่ายักษ์ที่หิวโซตัวหนึ่ง!

หมาป่ายักษ์ตนนี้ก็ราวกับว่าจะมีขนาดสูงเท่ากับฟ่งอวี๋กุย ตอนที่มันเห็นเข้ากับฟ่งอวี๋กุย มันที่หิวมาสามวัน ก็พลันนํ้าลายไหลย้อยลงมา แววตาทั้งสองข้างเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้า

กลิ่นไอดุดันอันน่าหวาดกลัวพลันแล่นลงมาที่หัวของฟ่งอวี๋กุย กล้ามเนื้อทั่วร่างของเขาก็พลันเข้าสู่ความตึงเครียด

บาดแผลบนร่างเพิ่งจะได้รับการรักษาได้ไม่เท่าไร ก็จะต้องเข้าต่อสู้อีกครั้งแล้วรึ?

ความเป็นจริงทำเอาฟ่งอวี๋กุยต้องชันกายไปกับพื้นก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมา จ้องมองไปยังหมาป่ายักษ์ที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง

ในมืออีกข้างของเขาก็ยังถือเอาไว้ด้วยเขากระทิงที่หักมาได้เมื่อครู่

เดินกะเผลกกะเผลก เขาลากขาที่ยังขยับอย่างยากลำบาก คิดอยากจะเพิ่มระยะห่างกับหมาป่ายักษ์

นี่ก็ถือเป็นความทรมานร่างกายและจิตใจอย่างหนึ่ง ทำให้เขาสัมผัสว่าตนยืนอยู่ระหว่างความเป็นความตายตลอดเวลา กำลังหยอกล้อกับความรู้สึกและจิตใจของ

เขา…

‘มู่ชิงเกอเจ้าช่างอำมหิตนัก!’ เสียงชิงชังของฟ่งอวี๋กุยดัง ขึ้นในใจ

เพียงแต่เขายังไม่อยากตาย ก็คงทำได้เพียงรับมือกับการต่อสู้แล้ว

“กรร กรร—–”

“ฉีกทึ้งเขา—–”

“กัดเขาให้แหลกซะ—–”

“ฆ่ามันซะ—–”

บนสนามประลองก็ดังขึ้นด้วยเสียงต่อสู้อันดุเดือดอีกครั้ง กระตุ้นจนผู้ชมบนอัฒจันทร์ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นไปอีก พวกเขาก็มีบางคนลุกขึ้นยืน โยนสิ่งของไปทางสนามประลองกันไม่หวาดไม่ไหว สิ่งของพวกนั้นก็เป็นเปลือกผลไม้ที่เขากินเหลือ ไปจนถึงบางส่วนที่ถอดถุงเท้าอันเหม็นเน่าของตัวเองโยนลงไป

ถุงเท้าข้างหนึ่งบังเอิญร่วงตกลงบนหน้าผากของฟ่งอวี๋กุยก่อนจะไหลลื่นลงไปตรงเท้าของเขา

กลิ่นเหม็นเน่าที่ทำให้ผู้คนอยากจะอ้วกนั้น ทำเอาเขาได้กลิ่นแล้วจะเป็นลม

แววตาที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอฆ่าฟันของเขาจ้องมองไปบนอัฒจันทร์แต่กลับถูกผู้คนบนอัฒจันทร์ด่าว่าสวนกลับมาไม่หยุด

“มองอันใดกัน? ก็แค่ทาสที่มีฐานะเดียวกันกับสัตว์เดรัจฉาน!”

“หากจ้องมาที่ข้าอีก ข้าก็จะฆ่าเจ้า!”

“หึ! อวดดีอันใดกัน คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์รึไง?”

“ฆ่าเขาเสีย! กัดดวงตาคู่นั้นของเขาให้แหลก ดูซิจะเบิกตามองได้อีกอย่างไร!”

ฟ่งอวี๋กุยก็อยากจะสังหารคนในนี้ให้หมด แต่ก็ทำได้แต่คิด เพราะตนเองไร้กำลัง เขาเบี่ยงกายหลบการโจมตีของหมาป่ายักษ์ แต่หมาป่าตัวนี้ก็ไม่ได้ต่อกรด้วยง่ายๆ เช่นนั้น ทุกครั้งที่โจมตีใส่มันก็จะหลบได้อย่างง่ายดาย กลับกันเป็นฟ่งอวี๋กุยเองที่ได้บาดแผลใหม่ติดตัวไปไม่น้อย

ฟ่งอวี๋กุยก็เหมือนกับว่าจะแตะไปถึงปลายขอบของความตายแล้ว เขาพลันตะโกนเกรี้ยวกราดขึ้นเสียงดัง “มู่ชิงเกอ—-! เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ก็ไม่กลัวว่าจะเป็น

ชนวนให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้นรึไง!”

ชั่วขณะนั้นทั้งสนามประลองก็พลันเงียบกริบลง

ด้านบนของสนามประลองก็สะท้อนไปด้วยเสียงก้องของเขา

พอตอนที่เสียงของเขาสลายหายไปแล้ว ก็หลงเหลือเพียงความเงียบสงบ

ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ถึงได้มีเสียงหัวเราะดูแคลนดังขึ้นมาจากด้านบน

และเสียงพูดเย้ยหยันไม่ทันไรก็ตามลงมา “เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วเป็นใครที่นำเจ้าส่งมา? ยังคิดว่าตัวเองเป็นองค์ชายที่สูงส่งอยู่อีกรึ? เจ้าก็แค่หมาหัวเน่าตัวหนึ่ง! ที่นี่คือแคว้นฉินไม่ว่า เรื่องใดก็มีข้าเป็นผู้ตัดสิน”

“คุณชายมู่—–! คุณชายมู่—–! คุณชายมู่—–!” ฝูงชนที่ถูกฟ่งอวี๋กุยเห็นเป็นคนป่าเถื่อนพวกนั้น หลังจากที่คำพูดของมู่ชิงเกอจบลงแล้ว ก็พลันโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

ราวกับว่าไม่ว่ามู่ชิงเกอจะพูดอะไรออกมา ในใจของพวกเขานั้นก็ล้วนแต่ถือว่าถูกต้อง!

ท่าทางยินดีครื้นเครงเช่นนั้นก็ทำเอาฟ่งอวี๋กุย อิจฉา ริษยาไปจนถึงรู้สึกหวาดกลัว!

“เงียบ” มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ แค่คำเดียว ในสนามประลอง ก็พลันเงียบเสียงลง

ไม่มีคนเห็นเงาร่างของเขา แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขา ก็เพียงพอแล้วที่คนของแคว้นฉินทั้งหมดจะรับฟังคำสั่งของเขา ไม่ว่าจะเป็นบุกนํ้าลุยไฟก็ไม่กลัว

“เพราะอะไร! เพราะอะไรเจ้าจะต้องทำกับข้าเช่นนี้ด้วย? ทั้งยังใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้?’’ ฟ่งอวี๋กุยกล่าวขึ้นน้ำเสียงชิงชัง

เสียงหัวเราะก็พลันดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เสียงหัวเราะก็เต็มไปด้วยความดูแคลน

พอเสียงหัวเราะจบลง เสียงของมู่ชิงเกอก็พลันสะท้อนลงมา “ฟงอวี๋กุย หนังหน้าของเจ้าก็ช่างหนานัก ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกชื่นชมจนหมดวาจาจะกล่าวจริงๆ! กลับยังมีหน้ามาถามข้าว่าทำไมถึงทำกับเจ้าเช่นนี้? หรือว่าลืมไปแล้วว่าเจ้าก็สร้างเรื่องสร้างปัญหามาให้ข้าโดยตลอด ไม่ว่าเวลาใดก็มัวแต่คิดร้ายต่อข้า ตอนนี้ข้าก็แค่เอาคืนบ้างเท่านั้น เจ้ากลับคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมงั้นรึ?”

อะไรนะ! คนผู้นี้กลับกล้าคิดร้ายต่อคุณชายอยู่ตลอดรึ!

ฝูงชนที่ชมดูอยู่บนอัฒจันทร์พลันรู้สึกยอมรับไม่ได้ พากันตะโกนคำรามขึ้นเสียงดัง “ฆ่าเขาเสีย! กลับกล้ามารังแกคุณชายของพวกเรา คิดว่าคนแคว้นฉินอย่างพวก เราเป็นคนตายไปแล้วรึ?”

“ใช่! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”

“ฆ่ามันซะ!”

“เจ้า ” ฟ่งอวี๋กุยถูกคำกล่าวของมู่ชิงเกอสะกดข่มเสียจนไม่รู้จะโต้เถียงอะไร เสียงร้องตะโกนให้สังหารเขา ก็ดังจากทั้งสี่ทิศ ราวกับว่าจะกดเขาให้จมดิน

“แต่ว่าข้าก็ไม่เคยทำมันสำเร็จ กลับกันกลายเป็นข้าที่โชคร้ายมาโดยตลอด!” ฟ่งอวี๋กุยกล่าวโต้แย้งให้ตัวเอง

มู่ชิงเกอเค้นหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง เสียงเรียกร้องรอบด้านพลันเงียบกริบลง

“เจ้าสมองกลับแล้วรึไง? เจ้าคิดร้ายต่อข้าไม่สำเร็จก็สามารถกล่าวได้แค่ว่าข้านั้นฉลาดมากพอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่ทำมัน ตอนที่เจ้าลงมือ ข้าก็รับมือ ตอนนี้พอถึงตอนข้าลงมือ เจ้าก็สามารถลองรับมือได้ ถ้าหากไม่อยากเล่นตามเกมของข้าต่อไป จะให้ดีก็ฆ่าตัวตายเสียจะได้จบสิ้นกันไป เพียงแต่ ฟ่งอวี๋กุย เจ้าคิดว่าตัวเองกล้าฆ่าตัวตายรึไม่เล่า?” คำพูดสุดท้ายของมู่ชิงเกอ ก็ราวกับเสียงสาปแช่งของปีศาจก็ไม่ปาน สะท้อนก้องกังวานไปในหัวของฟ่งอวี๋กุย ไม่หยุด

ฆ่าตัวตายก็สามารถหลุดพ้นได้แล้วรึ?

ฟ่งอวี๋กุยคิดอยากจะเอาเขากระทิงในมือของตัวแทงเข้าไปที่หัวใจของตน เพียงแต่ว่าเขากลับไม่สามารถลงมือได้

ในตอนนั้นเอง ด้านล่างของสนามประลอง ประตูเหล็กทุกบานก็พลันเปิดออก สิ่งที่ออกจากกรงเหล็กอันมืดมิด นั้นก็เป็นหมาป่าฝูงหนึ่ง

ในช่วงสั้นๆ ในสนามประลองก็ยืนเต็มอยู่ด้วยหมาป่ายักษ์สามสิบกว่าตัว

พวกมันพากันล้อมกรอบฟ่งอวี๋กุยเอาไว้ตรงกลางสุด ก่อนจะเดินบีบเข้าไปเรื่อยๆ

หมาป่ายักษ์ตัวหนึ่ง เขาก็ยังยากจะจัดการ ตอนนี้กลับมีหมาป่าสามสิบกว่าตัว ฟ่งอวี๋กุยพลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ความสิ้นหวังสายหนึ่งพลันไหลแล่นขึ้นมาจากในหัว

“อ๊าก อย่าเข้ามา! อย่าเดินเข้ามา!” ฟ่งอวี๋กุยร่างกายโซซัดโซเซ วาดเขากระทิงออกไปส่งๆ คิดอยากจะหยุดการเข้าใกล้ของพวกหมาป่า

เพียงแต่ว่าก็เป็นแค่การกระทำที่ไร้ประโยชน์เพียงเท่านั้น เขากระทิงบนมือของเขาพอเปรียบกับ ‘มื้ออาหารอันโอชะ’ มื้อนี้แล้ว ก็ถือว่าไม่เป็นอันใด หมาป่ายักษ์ค่อยๆ เดินบีบเข้ามา ฟ่งอวี๋กุยอยากจะหนีก็ ไม่อาจหนีไปได้

“อย่าเข้ามา!” ฟ่งอวี๋กุยถูกหมาป่าเข้าล้อมกรอบ เขาปลายแหลมของเขากระทิงพาดวางไปที่คอของตน ราวกับว่าถ้าหากพวกหมาป่าเข้ามาอีกก้าว ก็จะทำการปลิดชีวิตของตัวเองลง

‘ฟ่งอวี๋กุย เจ้าลงมือฆ่าตัวเองได้จริงๆ รึ?’ คำกล่าวของมู่ชิงเกอก็พลันสะท้อนไปมาภายในหัวของฟ่งอวี๋กุย ทำเอามือที่กำเขากระทิงแน่นของเขา

คลายออก

เขากระทิงพลันร่วงตกลงจากมืองสู่พื้น ตกลงไปในพื้นทราย

เขากระทิงที่หล่นลงไปก็ทำเอาในจิตใจของฟ่งอวี๋กุย หวาดกลัวขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เขาเตรียมพุ่งลงไปจะหยิบเขากระทิงขึ้นมา แต่ว่าไม่ทันรอให้เขาได้คว้าเขากระทิงขึ้นมาอีกครั้ง กลุ่มหมาป่ายักษ์ก็พลันทะยานเข้ามาหาเขาก่อนจะกลบมิดร่างของเขาไป

“อ๊ากกก—–!”

เสียงเจ็บปวดทรมานพลันดังขึ้น ดังสะท้อนออกมาจากฝูงหมาป่า

แขนไร้สภาพข้างหนึ่งถูกฉีกทึ้งออกมาก่อนจะร่วงตกลงพื้น กลายเป็นอาหารในปากของฝูงหมาป่า

มู่ชิงเกอลุกยืนขึ้นอย่างเบื่อหน่ายไร้อารมณ์ หันหลังเดินออกจากห้องชมการประลองของแขกชนชั้นสูง ไม่สนใจฉากโหดเหี้ยมในสนามประลองด้านหลังอีก พร้อมกันนั้นเสียงโห่ร้องของฝูงชนก็พลันดังขึ้น

หลังจากเดินออกจากสนามประลองใต้ดิน มู่ชิงเกอก็แหงนหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้าแจ่มใส นึกถึงเรื่องราวตั้งแต่ที่นางข้ามมิติมา ศัตรูของนางนั้นมีมากมาย แต่สุดท้ายก็ล้วนแต่ถูกนางส่งไปยังขุมนรก

วันนี้ก็เป็นวันไปนรกของฟ่งอวี๋กุย

นางก็รู้สึกว่าทั้งร่างของตนรู้สึกสบายตัวขึ้นมา ราวกับว่าสิ่งที่ควรเอาคืนก็ได้เอาคืนกลับมาแล้ว เพียงแต่บุญคุณที่ควรตอบแทนนั้น

คนที่นางติดค้างบุญคุณก็มีไม่มาก แต่ว่าที่ยากจะตอบแทนที่สุด ทั้งยังติดค้างมากที่สุดก็คงเป็นซือมั่วแล้ว แววตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอค่อยๆ เคร่งขรึมลง ความ คิดจิตใจรู้สึกอึมครึมขึ้นมา ความสัมพันธ์และความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนที่มีต่อซือมั่ว ก็ทำให้นางรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังทำให้นางคิดแต่อยากจะหลีกหนี!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!