ตอนที่ 147-4
สร้างความรํ่ารวยโดยไร้เสียง!
จ้าวหนานซิงเดินกลับไปด้านข้างของจูหลิง เสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนั้นก็ยังดังขึ้นเป็นระลอกด้านหลังเขา
จูหลิงป้องปากหัวเราะขึ้น “ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจริงๆ จะเป็นคนเลว รู้ชัดเจนถึงความสามารถของศิษย์น้องมู่อยู่แล้ว กลับยังไม่กล่าวเตือนเลยสักนิด”
จ้าวหนานซิงกล่าวเสียงเรียบๆว่า “ข้าบอกไปพวกเขาก็คงไม่เชื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็มารํ่ารวยอยู่เงียบๆ ก็พอแล้ว ทำไมจะต้องไปกล่าวอธิบายอะไรกับพวกเขาด้วย?”
“ที่กล่าวมาก็มีเหตุผลนัก” จูหลิงพยักหน้ายิ้มๆ
ทั้งสองคนยืนอยู่รอบนอกรอคอยอย่างเงียบๆ บางจังหวะก็พูดคุยกันไม่กี่ประโยค สำหรับภาพเหตุการณ์บนป้ายหินสีดำแล้วก็ราวกับจะไม่สนใจแม้แต่น้อย
ท่าทางของพวกเขาสองคน ก็ทำเอาเหล่าศิษย์ของสำนักส่วนกลางแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอันใดให้มากความ
ตอนนี้ศิษย์ของสาขาหลักที่ลงเดิมพันเสร็จแล้ว ล้วนแต่พากันส่งความสนใจไปที่ป้ายหินสีดำ แต่เดิมก็เป็นแค่การทดสอบความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเกี่ยวข้องกับพวกเขาหลายร้อยคนแล้ว
ผู้คนพากันจ้องเขม็งไปยังป้ายหินสีดำ ในทุกครั้งที่จุดแสงบนป้ายสีดำเขยิบขึ้นไปเพียงนิดเดียว ลมหายใจของพวกเขาก็จะกลายเป็นติดขัดขึ้นส่วนหนึ่ง ราวกับว่า อยากจะฉุดรั้งให้จุดแสงที่พุ่งสูงขึ้นไปไม่หยุดนั้นหยุดอยู่แค่นั้น
หนึ่งในนั้น คนที่ลุ้นมากที่สุดก็คงเป็นเจ๋อซิ่วเจ้ามือแล้ว จุดแสงยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปมากเท่าไรก็เปรียบเสมือนว่าเงินที่เขาต้องจ่ายออกไปก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น แต่สิ่งเดียวที่ยังปลอบใจเขาได้ก็คือ คนที่ซื้อจุดสูงๆ ก็นับว่ามีไม่มาก
เพียงแต่ว่า
เจ๋อซิ่วพลันกำตั๋วทองในอกใบนั้นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ‘ถ้าหากคนด้านในผู้นั้นสามารถเดินขึ้นไปถึงระดับยากสูงสุดได้จริงๆ ละก็ เขาก็ไม่ใช่ว่าต้อง…’ เจ๋อซิ่วก็พลัน รู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองติดขัด เลือดลมทั่วร่าง อุณหภูมิลดตํ่าลงอย่างรวดเร็ว เขาพลันสะบัดหน้าขึ้นอย่างแรง กล่าวว่าในใจ “ไม่! ไม่มีทาง! แม้แต่ผู้มากพรสรรค์ที่ยากจะพบเจอในหนึ่งร้อยปีอย่างจิ่งเทียนก็ยังไม่สามารถทำได้ คนด้านในผู้นั้นจะไปทำได้ ได้อย่างไรกัน?”
ในหัวของเขาปรากฏเงาร่างของจิ่งเทียนซึ่งมันก็ทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มสูงขึ้นหลายร้อยเท่า!
การเดิมพันด้านนอกหอสติปัญญาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อมู่ชิงเกอที่อยู่ด้านใน เป้าหมายของนางก็คือ รางวัลของด่านสุดท้าย แล้วก็ยังไม่รู้ว่าด้านนอกมีคน กลุ่มขนาดใหญ่อยู่กลุ่มหนึ่งกำลังใช้ตัวเองเป็นสิ่งเดิมพัน อาศัยนางหาเงินทอง
ในโรงโอสถกลาง
ณ ที่พักโอ่อ่าที่เต็มไปด้วยไอเซียนแห่งหนึ่ง เซี่ยเทียนอู๋กำลังยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านหลังคนผู้หนึ่ง
คนด้านหน้าของเขาผู้นั้น กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง ด้านหน้ามีกระจกอยู่บานหนึ่ง ภาพสะท้อนในกระจกก็เป็นภาพด้านหน้าของป้ายหินสีดำ
“ฮ่าๆๆๆ ในโรงโอสถกลางก็ยากนักที่จะคึกคักเช่นนี้!” เขาอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น ในน้ำเสียงไม่ได้แสดงความหงุดหงิดแม้แต่น้อย
เขาอยู่ในชุดสีขาวที่ขยับพลิ้วไหวไปตามการเคลื่อนไหว มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยไอเซียนอันหนาแน่น
เซี่ยเทียนอู๋กล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านหัวหน้า พวกเขากลับกล้าตั้งเดิมพันในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เรื่องนี้…”
เขาโบกมือขึ้นหนหนึ่ง ตัดบทคำพูดของเซี่ยเทียนอู๋ “กฎเกณฑ์ในโรงโอสถก็ไม่ได้กล่าวไว้ว่าห้ามรวมตัวกันเดิมพัน ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกังวลใจไป”
เซี่ยเทียนอู๋เบ้มุมปากขึ้น ในใจบ่นอุบอิบ นั่นก็เป็นเพราะว่าเหล่าผู้ที่ก่อตั้งกฎเอาไว้คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวเช่นวันนี้เกิดขึ้นน่ะสิ!
“ตอนนี้ข้าก็รู้สึกสงสัยนักว่าเจ้าเด็กน้อยในหอคอยผู้นี้ สุดท้ายแล้วจะสามารถเดินไปถึงจุดไหน” เขาจ้องมองไปยังกระจกอย่างรู้สึกสนใจ ภาพสะท้อนในกระจกก็พลันขยายใหญ่เหตุการณ์ด้านหน้าป้ายหินขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นจุดแสงสิ่งแทนตัวของมู่ชิงเกอได้ชัดเจนขึ้น
“ทำไมถึงยังขยับอยู่อีก?”
“คนที่อยู่ด้านในจริงๆ แล้วกินอะไรเข้าไป? ถึงกับสามารถเดินไปได้สูงขนาดนี้!” “กลับยังพุ่งสูงขึ้นไปอีก!”
“นี่ก็ไปถึงความยากลำดับที่สองแล้ว เปรียบกับศิษย์พี่จิ่งเทียนเมื่อตอนก่อนก็เทียบกันเป็นเสมอแล้ว!”
ศิษย์ของสาขาหลักที่ล้อมอยู่ตรงป้ายหิน ภายใต้ความตึงเครียดค่อยๆ กลายเป็นตกตะลึง ชั่วขณะนี้พวกเขาก็ลืมเรื่องการเดิมพันของตนไปหมดสิ้น ได้แต่ตกตะลึงกับจุดแสงบนป้ายหินนั่นที่ยังพุ่งขึ้นไปไม่หยุด และยังไม่ลดระดับความเร็วลงแม้แต่น้อย
“ผ่าน…ผ่านแล้ว…”
ตอนที่จุดแสงทะลวงผ่านความยากอันดับสองไป เริ่มที่จะพุ่งขึ้นไปยังความยากระดับสูงสุดที่เป็นอันดับสุดท้ายนั่น ด้านนอกทุกหย่อมหญ้าก็เต็มไปด้วยเสียงตกตะลึง “ถึงกับข้ามผ่านศิษย์พี่จิ่งเทียน!”
“ด้านในนั่น เป็นคนจากสาขาย่อยจริงๆ รึ? คนของสาขาย่อยทำไมถึงได้มีจิตวิญญาณที่แข็งกล้าขนาดนี้?!”
“นี่ก็เป็นไปไม่ได้! คงไม่ได้โกงกันหรอกนะ!” มีคนเริ่มแสดงความสงสัยออกมา
เพียงแต่ว่าก็พลันมีเสียงโต้แย้งดังขึ้นมา “เจ้าเป็นหมูหรือไง? หอสติปัญญาจะโกงกันได้เช่นไร?”
ทันใดนั้นคนที่แสดงความสงสัยออกมาก็พลันนิ่งขรึมลง
“อ้า—! เงินของข้า!”
“เงินกินข้าวครึ่งปีของข้า!”
ทันใดนั้นก็มีคนรู้สึกได้ถึงความอับโชคที่ค่อยๆ แผ่ซ่านไปบนตัวของพวกเขา
ด้านข้างป้ายหิน เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าใครก็กำลังเจ็บปวดกับกระเป๋าเงินของตน
อย่างไรก็ดี ก็มีคนๆ หนึ่งที่แต่เดิมควรจะดีใจแต่ตอนนี้ เขารู้สึกดีใจไม่ขึ้น เพราะว่าเขาถึงแม้ว่าจะกินเงินเดิมพันของคนอื่นได้ แต่ว่าพอต้องเผชิญหน้ากับเงินเดิมพันจำนวนมหาศาลที่ต้องจ่ายให้กับจ้าวหนานซิง แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาต่อให้ต้องขายบ้านขายที่นาก็ไม่สามารถชดใช้ใด้แล้ว
ทันใดนั้นเอง เขาพลันมีความรู้สึกราวกับว่าได้ยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
อยู่ว่างๆ จะไปเปิดการเดิมพันทำไมกันเล่า!
เจ๋อซิ่วก็คิดอยากจะตบบ้องหูตัวเองให้แรงๆ เสียจริง!
เขาก็อยากคิดหนี แต่ว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือว่าเป็นเพราะเขาดวงตาพร่ามัวไปเองก็ไม่รู้เขากลับรู้สึกว่าเจ้าคนจากสาขาย่อยผู้นั้นกำลังยิ้มร่าจ้องมองมาทางตน
คนของสาขาย่อยเขาจะไม่สนใจก็ได้
แต่ว่าเขายังจำเป็นต้องอยู่ที่สาขาหลักต่อไป ไม่สามารถเป็นเพราะครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสียได้!
ดังนั้น ต่อให้จะต้องขายบ้านขายที่นาเขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้!
ชั่วขณะนั้น ความคิดอยากร้องไห้ของเจ๋อซิ่วก็ไหลแล่นขึ้นมา
เขาอ้อนวอนขอร้องให้จุดแสงบนป้ายหินไม่สามารถเดินไปถึงความยากระดับท้ายสุด หวังว่าให้มันหยุดลงอยู่ตรงกลาง พอเป็นเช่นนี้ เขาก็จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในการเดิมพันครั้งนี้!
เพียงแต่ว่า จุดแสงบนป้ายหินกลับราวกับว่าจะต่อต้านกับความคิดเขาอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงไม่หยุดลง กลับกลายเป็นพุ่งสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่จุดแสงพุ่งไปถึงความยากระดับสูงสุด ทั้งยังพุ่งสูงขึ้นไปไม่หยุด เขาพลันรู้สึกว่าด้านหน้าตัวเองกลายเป็นดำมืด ไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนข้างกายอีก อดไม่ได้ที่จะอยากตีตัวเองให้ตาย!
“ดูท่า คนผู้นี้คงจะมุ่งมาที่ผลไม้แห่งจิตวิญญาณในหอสติปัญญาเป็นแน่!” ดวงตาทั้งสองคู่ที่จ้องมองกระจก พลันเปล่งแสงวาบขึ้นอย่างแปลกประหลาด ก่อนฉาย แววที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเทียนอู๋เลิกคิ้วคมขึ้น พร้อมกับหัวเราะตามไปด้วย “คาดว่าพอได้ผลประโยชน์จากหอสติปัญญาของสาขาย่อย ก็เลยต้องการเข้าไปในหอสติปัญญาของสาขา หลัก”
คนที่อยู่ด้านหน้าก็พลันพยักหน้าขึ้นน้อยๆ กล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง “ก็ช่างเป็นเด็กที่มีความทะเยอทะยานยิ่งนัก” คำกล่าวนี้ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร แต่กลับทำให้ เซี่ยเทียนอู๋ที่อยู่ด้านหลังขมวดคิ้วเข้าหากัน ในใจลอบกล่าวว่า ‘ประโยคนี้ของท่านหัวหน้าจริงๆ แล้ว ไม่พอใจหรือว่ากำลังกล่าวชมกันแน่?’
ด้านในของหอสติปัญญา มู่ชิงเกอที่ก้าวขึ้นมายังขั้นบันไดสุดท้ายก็เห็นเข้ากับวงแสงที่ส่งความเย้ายวนออกมาลูกหนึ่ง
‘ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!’ มู่ชิงเกอมองไปทางวงแสง มุมปากยกโค้งขึ้นน้อยๆ
ครั้งนี้ก็เป็นการมาเยือนที่หอสติปัญญาครั้งที่สองของนาง เปรียบกับครั้งก่อนแล้วง่ายดายกว่ามากนัก นางก็สัมผัสได้รางๆ ว่า นี่ก็เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของ จิตวิญญาณครั้งก่อนของนาง
แล้วสิ่งสำคัญที่ทำให้จิตวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ก็คงเป็นวงแสงด้านหน้าก้อนนี้
ในแววตาของมู่ชิงเกอฉายแววรอคอยขึ้นหลายส่วน นางค่อยๆ ยื่นมือออกไป คิดอยากจะสัมผัสกับวงแสงก้อนนั้นสักนิด ราวกับว่าอยากจะดูวงแสงวงนี้ให้ชัดเจนว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร
ในขณะที่ปลายนิ้วของนางสัมผัสกับวงแสง ณ ขณะนั้น วงแสงก็เหมือนกับว่าจะสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย
แสงสีขาวกระจ่างใสก็ราวกับได้รับการดึงดูดอย่างไรอย่างนั้น พุ่งออกไปตามปลายนิ้วของมู่ชิงเกอ พุ่งไปทางหน้าผากของนาง
ในขณะที่เส้นแสงสัมผัสกับหน้าผากของนาง ร่างของนางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ในหัวราวกับถูกสายฟ้าพาดผ่าน จนรู้สึกสั่นสะเทือนขึ้นระลอกหนึ่ง
เส้นแสงไหลซึมเข้าไปในหน้าผากของมู่ชิงเกอไม่หยุด มู่ชิงเกอราวกับร่างกายถูกสกัดจุดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ดีที่การมองเห็นของนางยังคงเป็นปกติอยู่ แสงบนวงแสงที่นางมองเห็นก็ค่อยๆ อ่อนเบาลง เผยให้เห็นผลไม้สีเขียวครามที่มีผิวเรียบลื่น มีขนาดประมาณฝ่ามือเด็กทารกล่องลอยอยู่ด้านใน แสงที่ถูกนางดูดเข้าไปพวกนั้นก็ราวกับว่าจะไหลออกมาจากผลไม้ชิ้นนั้น
“นี่คือสิ่งใดกัน?” มู่ชิงเกอในใจเกิดสงสัยขึ้นมา
หลังจากนั้นนางก็เร่งรีบเอาผลไม้ตรงหน้าไปเปรียบกับบรรดายาวิเศษหลายหมื่นหลายพันชนิดในความทรงจำของตน
ในตอนที่นางควานหาไปยังส่วนลึกสุดของความทรงจำ นัยน์ตาของนางก็พลันเปล่งแสงขึ้น ได้คำตอบแล้ว! ‘ผลไม้แห่งจิตวิญญาณ! สำหรับจิตแล้วก็มีสรรพคุณส่งเสริมที่ใหญ่หลวงนัก!’
ผลไม้สีเขียวครามกลายเป็นแสงกระจ่างขึ้นสายหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปในหน้าผากของมู่ชิงเกอ
การพุ่งเข้าไปอย่างรุนแรงนี้ก็ทำเอาจิตวิญญาณของนางเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น ราวกับว่า ‘ทะเลสาบ’ ที่ทำการรองรับจิตวิญญาณเอาไว้จะกลายเป็นใหญ่และลึกขึ้น ‘น้ำ’ ใน ‘ทะเลสาบ’ ก็กลายเป็นกระจ่างใสและดูสะอาดขึ้น…
การเปลี่ยนแปลงที่ยากจะกล่าวบรรยายกำลังเกิดขึ้นบนร่างของมู่ชิงเกอ
การเดิมพันที่ด้านนอกก็ได้ผลสรุปลงแล้ว
แต่ว่าเหล่าลูกศิษย์ของสาขาหลักกลับไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้ นำพาจิตใจอันชอกชํ้าและกระเป๋าเงินที่ไหลอาบไปด้วยเลือด เฝ้าคอยอยู่ด้านนอกหอสติปัญญาไม่ยอมไปไหน ทำการรอคอยด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน ราวกับว่า พวกเขาจะต้องขอดูคนที่ทำให้พวกเขาต้องเสียเลือดเสียเนื้อพวกนั้น ว่าจริงๆ แล้วจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ตอนที่รอมาได้เกือบครึ่งชั่วยามกว่าๆ ประตูใหญ่ของหอสติปัญญาก็พลันเปิดออกจากด้านใน
เงาร่างสีแดงสะดุดตาราวกับดวงอาทิตย์สายหนึ่ง โผล่ออกมาจากหอสติปัญญา การปรากฏตัวของนางก็ราวกับว่าดวงอาทิตย์บนฟ้าได้ถูกดับแสงจนตกชั้นลงไป
มีคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้โดยกำเนิด ถึงคนผู้นั้นจะยืนเฉยๆ อยู่ที่นั้นโดยไม่ได้ทำอะไรก็ตาม
มู่ชิงเกอก็เปรียบเป็นคนกลุ่มนั้น
ในตอนที่นางเข้ามายืนในสายตาของฝูงชนอย่างชัดเจน เหล่าศิษย์สาขาหลักที่เฝ้ารอคอยอยู่นานก็พลันนิ่งชะงัก ยืนเหม่อลอยอยู่กับที่ บางที พวกเขาก็คงไม่ได้คิดว่าคนที่ทำลายสถิติของหอสติปัญญา จะมีหน้าตาที่…ที่…
ชั่วขณะนั้นก็เหมือนกับว่าคำบรรยายของทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอจะเป็นซีดขาวไร้เรี่ยวแรง
‘นี่มันเรื่องอันใดกัน!’ ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง มู่ชิงเกอที่ทั่วร่างรู้สึกผ่อนคลายสบายตัว พอมองเห็นเข้ากับฝูงชนหลายร้อยคนที่ล้อมดูตนอยู่ เปลือกตาก็กะพริบปริบๆ ไปมา
ท่าทางงงงวยไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุของนาง ชั่วพริบตาก็ทำให้ในใจของผู้คนปรากฏความต้องการอยากปกป้องขึ้นสายหนึ่ง
ต่อให้นางจะไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องก็ตาม!
“ศิษย์น้องมู่” จูหลิงกล่าวเรียกขึ้นเสียงเบา ทันใดนั้นก็ถือเป็นการทำลายความ เงียบเชียบที่มู่ชิงเกอเป็นคนนำพามา
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป ก่อนจะเห็นเข้ากับจ้าวหนานซิงกับจูหลิงที่ยืนเคียงไหล่อยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้ นางยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกไปทางทั้งสองคน
เพียงแต่ว่า รอยยิ้มบางๆ สายนี้ก็ก่อให้เกิดเสียงสูดลมหายขึ้นไม่น้อย
ราวกับว่ารอยยิ้มของนางเป็นสายนํ้าที่สามารถพังทำลายแคว้นแคว้นหนึ่งได้ทำให้ผู้คนยอมสยบแทบเท้าในทันใด
และมู่ชิงเกอคนที่เป็นตัวต้นเหตุกลับไม่รู้เรื่องราวด้วยแม้แต่น้อย
นางเดินไปที่ด้านหน้าของทั้งสองคน ถามอย่างสงสัย “พวกเจ้าทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้? แล้วก็ด้านนอกของหอสติปัญญาทำไมถึงมีคนรวมตัวกันมากมายขนาดนี้?”
จูหลิงป้องปากหัวเราะขึ้น “ยังไม่ใช่เพราะว่าเจ้าหรือ”
“ข้า?” มู่ชิงเกอสีหน้างุนงง จ้าวหนานซิงยิ้มขำขัน “ดูท่าเจ้าจะยังไม่รู้ว่าเจ้าก่อความสั่นสะเทือนอะไรเอาไว้” เขาก็ไม่รีบจะกล่าวอธิบายกับมู่ชิงเกอ แต่เป็นหยิบหลักฐานการเดิมพันที่เก็บเอาไว้กับตัวออกมา กล่าวว่ากับทั้งสองคน “รอตรงนี้สักครู่ เดี๋ยวข้ามา”
พอกล่าวจบ เขาก็พลันหมุนกายหันกลับไป มุ่งตรงไปยังเจ๋อซิ่วที่สีหน้าท่าทางดูไม่ค่อยดี
มู่ชิงเกอมองไปทางเขาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันไปถามกับจูหลิง “เขาไปทำอะไรรึ?”
จูหลิงก็ยิ้มเจิดจ้าขึ้นเป็นพิเศษ อธิบายให้นางฟัง “เขาไปเอาเงิน”
“เอาเงิน?” มู่ชิงเกอยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ พอเห็นนางมีท่าทางเช่นนั้น จูหลิงถึงค่อยใช้คำพูดสั้นๆ เล่าอธิบายเรื่องทั้งหมดให้มู่ชิงเกอฟังรอบหนึ่งอย่างรวด เร็ว
มู่ชิงเกอพอฟังจนจบก็พลันเข้าใจในทันใด
ปรายตามองไปยังเหล่าศิษย์รอบด้านที่กำลังมองมาทางนางราวกับศัตรูคู่แค้น สีหน้าท่าทางพลันกลายเป็นดูแคลนขึ้น ‘กลับกล้าเอานางไปเดิมพัน?’
“ศิษย์น้องมู่ พวกเราก็ลงเดิมพันไปด้วย เจ้าก็คงไม่โกรธกระมัง” จูหลิงเห็นมู่ชิงเกอนิ่งเงียบไปนาน ก็พลันนึกว่า นางคงโกรธที่ตนเองถูกใช้เป็นของเดิมพัน เร่งรีบถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
มู่ชิงเกอค่อยๆ หรี่ตาทั้งสองข้างลง กล่าวว่าอย่างคลุมเครือ “ไม่ติดใจ แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ติดใจ”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังกล่าววาจา ทันใดนั้นเองทางจ้าวหนานซิงด้านนั้นก็ราวกับว่าจะเกิดการโต้เถียงกันขึ้น เขาพูดอะไรนางนั้นฟังไม่ได้ยิน เพียงแต่เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา อยู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาราวกับจะโต้เถียงเรื่องอะไรกัน
ตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง “คนคนนั้นเป็นใคร?”
จูหลิงหันไปมองหนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “เป็นคนที่เปิดการเดิมพัน”
ในแววตาของมู่ชิงเกอพลันฉายแววเข้าใจอะไรบางอย่าง และในตอนนี้เอง นางก็เห็นเข้ากับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาจากที่ไกลๆ คนที่อยู่ด้านหน้า ก็เป็นจิ่งเทียน คนที่มาก่อกวนเมื่อครั้งก่อนหน้านี้นั่นเอง…