Skip to content

พลิกปฐพี 148-1

ตอนที่ 148-1

บอกว่าจะสั่งสอนเจ้า ก็ไม่มีทางไว้หน้าเจ้า!

การปรากฏตัวของจิ่งเทียน ก็ทำเอารอบนอกหอสติปัญญาเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง

“เป็นศิษย์พี่จิ่งเทียน!” ศิษย์สาขาหลักที่มุงดูอยู่หลังจากมองเห็นจิ่งเทียนแล้ว ก็พากันประหลาดใจขึ้นมา แต่ไม่ทันไรก็ได้สติเร่งรีบหลีกทางอย่างนอบน้อม พร้อมกับ ค้อมกายก้มหัวร้องเรียกขึ้น—–

“ศิษย์พี่จิ่งเทียน!”

“ศิษย์พี่จิ่งเทียน!”

ส่วนจิ่งเทียนนั้นก็ยังคงหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเดิม ค่อยๆ เดินออกมาจากกลุ่มคน ท่าทางดุดันนั้นหากออกจากคนธรรมดาทั่วไปก็ถือว่าอวดดีหยิ่งยโส แต่พอออกมาจากตัวเขากลับให้ความรู้สึกมั่นใจหยิ่งทะนงในความสามารถของตน

เพราะว่า เขาคือนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณที่มีอายุน้อยที่สุดและมีพรสวรรค์มากที่สุดในโรงโอสถกลาง! แน่นอนว่าในฉากภาพอันนอบน้อมเลื่อมใสนี้ ก็มีอยู่สามคนที่เห็นเด่นชัดเป็นพิเศษ

สามคนนี้แน่นอนว่าเป็นมู่ชิงเกอกับจูหลิงสองคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กับจ้าวหนานซิงที่กำลังแสดงหลักฐานการเดิมพันกับเจ๋อซิ่ว

พวกเขาทั้งสามคนก็ไม่ได้แสดงท่าทีนอบน้อมเหมือนกับคนอื่นๆ

ถึงแม้ว่า จ้าวหนานซิงจะเห็นเจ๋อซิ่วที่หนึ่งนาทีก่อนหน้า กำลังโต้เถียงกับเขา ตอนนี้กลับกำลังโค้งกายลงไปอย่างนอบน้อมเก็บสีหน้าแววตาแล้วก็ตาม ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจขึ้นมา

มู่ชิงเกอก็เป็นนักปรุงระดับจิตวิญญาณ ทำไมพวกเขา เวลาอยู่ต่อหน้าเขาถึงไม่มีท่าทางเช่นนี้บ้าง?

‘ดูท่าก็ยังจะเป็นปัญหาที่ตัวคน!’ จ้าวหนานซิงทันใดนั้น ก็เหมือนกับจะจับสาเหตุอันใดได้

จิ่งเทียนเดินไปยังด้านหน้าป้ายหินสีดำ กวาดตามองไปรอบด้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทุกที่ ที่ถูกสายตาของเขากวาดมองไป ศิษย์ของสาขาหลักพวกนั้นก็จะโค้งกายต่ำเพิ่มลงไปอีกโดยไม่มีข้อยกเว้น

ฉากภาพเช่นนี้ก็ราวกับว่าจะสร้างพอใจให้กับเขา ชวนให้มุมปากของเขายกยิ้มอวดดีขึ้น เพียงแต่ว่าในตอนที่เขาเห็นเข้ากับพวกมู่ชิงเกอสามคน ความรู้สึกราวกับว่าถูกผู้คนห้อมล้อมนั้นก็พลันถูกทุบทำลายจนแตกกระจายไปในทันใด โดยเฉพาะตอนที่เขาไม่เห็นความรู้สึกนอบน้อมในแววตาของทั้งสามคน ในใจก็ยิ่งเพิ่มความโมโหขึ้น

แค่มู่ชิงเกอคนเดียวก็พอทำเนา!

อย่างน้อยก็ยังเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ นับว่าสามารถมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีได้

แต่ว่า อีกสองคนนั้นนับว่าเป็นสิ่งใดกัน? กลับกล้านิ่งเฉยกับเขาเช่นนี้?

แววตาอันหยิ่งทะนงของจิ่งเทียนปรากฏแววเย็นยะเยือกขึ้นสายหนึ่ง

ท่าทางเล็กๆ น้อยเช่นนั้น พอตกอยู่ภายใต้สายตาของคนสนิทข้างกายเขา เขาก็พลันเข้าใจขึ้นมาในทันใด

“นี่ พวกเจ้าสามคนเห็นศิษย์พี่จิ่งเทียนทำไมไม่คารวะ?” คนที่ยืนอยู่ริมด้านขวาของจิ่งเทียนพลันกระโดดออกมา ด้านหนึ่งต่อว่าทั้งสามคน ด้านหนึ่งใช้ท่าทีนํ้าเสียงประจบประแจงจิ่งเทียน

คำกล่าวของเขาประโยคนี้พริบตาก็ทำให้พวกมู่ชิงเกอทั้งสามคนกลายเป็นจุดเด่นขึ้น ราวกับว่าในขณะนั้นสายตาของเหล่าลูกศิษย์สาขาหลักทั้งหมด ล้วนพร้อมเพรียงกันร่วงตกลงไปที่ร่างของทั้งสามคน

แน่นอน คนที่ถูกจ้องมองมากที่สุดก็เป็นมู่ชิงเกอที่เพิ่งเดินออกมาจากหอสติปัญญา

ก่อนหน้า ฝูงชนก็ยังตกตะลึงกับการที่เขาทำลายสถิติและยังไม่ทันตื่นขึ้นจากภวังค์ดี จิ่งเทียนก็มาปรากฏตัวขึ้น ทำให้พวกเขาชั่วขณะอดไม่ได้ที่จะวางความรู้สึกตกตะลึงและจิตใจอาวรณ์ต่อเงินในกระเป๋าของตัวเองลง แล้วในขณะนั้นเองก็มีคนไม่น้อยนึกขึ้นได้ว่า คนตรงหน้าที่มาจากสาขาย่อยผู้นี้ก็เป็นคนที่ทำลายสถิติของศิษย์พี่จิ่งเทียน!

ด้วยเหตุนั้นพอตอนที่มองไปทั้งสองคนอีกครั้ง ในใจของฝูงชนก็ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้น—–นั้นก็คือจะมีเรื่องสนุกให้ได้ดูชมแล้ว!

“ทำไมต้องคารวะ?” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างสบายๆ ดวงตาที่ราวกับจะมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ราบเรียบไร้อารมณ์มองไม่เห็นถึงระลอกคลื่นใดๆ แม้แต่น้อย

“ไม่ผิด กฎเกณฑ์ของโรงโอสถ มีข้อไหนที่กำหนดไว้ว่า ระหว่างศิษย์ด้วยกันเวลาพบหน้าจะต้องทำการคำนับ?” จ้าวหนานซิงกล่าวตามขึ้นมาติดๆ

“พวกเจ้า!” สุนัขรับใช้เบอร์หนึ่งถูกคำพูดของทั้งสองคนตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดขึ้นบนใบหน้า

ส่วนจิ่งเทียน เพราะคำกล่าวของมู่ชิงเกอกับจ้าวหนานซิง แววตาก็กลายเป็นดำทะมึนขึ้นอีกหลายส่วน ในท่าทางอันหยิ่งทะนงก็เพิ่มความเย็นยะเยือกขึ้นมาไม่น้อย

สุนัขรับใช้เบอร์สองพอเห็นท่าทีเช่นนั้นก็รู้ในทันทีว่าจิ่งเทียนเริ่มโมโหแล้ว เขาพลันรีบยืนออกมา กล่าวขึ้นอย่างเป็นหลักเป็นการ “คนอื่นแน่นอนว่าไม่เป็นอันใด แต่ว่าหากพบศิษย์พื่จิ่งเทียนแล้วจะต้องทำความเคารพ”

“เพราะ?” มู่ชิงเกอกวาดตามองไป ก่อนจะถามขึ้นอีก

ความสงสัยในแววตาของนางก็ราวกับว่าจะถามขึ้นว่า ‘จิ่งเทียนผู้นี้มีอะไรแตกต่าง? ทำไมจึงต้องปฏิบัติด้วยอีกแบบหนึ่ง?’

สุนัขรับใช้เบอร์สองพลันมีท่าทางจริงจังขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างอวดดี “เพราะเหตุใดน่ะรึ? ก็เพราะศิษย์พี่จิ่งเทียนของพวกเราเป็นถึงบุคคลสำคัญที่จะเลื่อนชั้นไปเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถแล้วอย่างไรเล่า พวกเจ้ายังว่ายังไงอีก?”

แต่ว่า ท่าทีของมู่ชิงเกอที่มอบกลับให้เขานั้นก็มีเพียงเสียงร้อง“อ้อ” ขึ้นมาเบาๆ เสียงหนึ่งเท่านั้น

ท่าทางเฉยชาเช่นนั้น ก็ทำเอาสุนัขรับใช้เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองโกรธจนตัวสั่น ถกแขนเสื้อขึ้นเดี๋ยวนั้น ส่วนจิ่งเทียนก็ยิ่งมีสีหน้าเย็นยะเยือกสบถเสียงเย็นขึ้นมาเสียงหนึ่ง

ชั่วขณะนั้นเอง รอบนอกหอสติปัญญา ด้านหน้าป้ายหิน ความเป็นปฏิปักษ์ก็พลันพวยพุ่งขึ้น “อ้อ? เจ้าก็ตอบกลับมาเช่นนี้รึ?’’ สุนัขรับใช้เบอร์หนึ่งไม่พอใจ

สายตาของมู่ชิงเกอขยับเบาๆ ก่อนจะร่วงตกไปที่ตัวเขา แววตาวาววับอันเย็นยะเยือกนั้นพริบตาพลันดับทำลายไฟโกรธของเขาไปจนสิ้น ทำเอาเขาเกิดความรู้สึกราวกับว่าถูกกระชากเข้าไปในสายนํ้าอันเย็นยะเยือก

จ้าวหนานซิงหัวเราะขำ “เจ้าก็บอกเองไม่ใชรึว่าจะเลื่อนชั้น แต่ไม่ได้บอกว่าเลื่อนชั้นไปแล้ว ในเมื่อยังไม่ได้เลื่อนชั้น ฉะนั้นก็ยังคงมีฐานะเป็นศิษย์อยู่ แล้วจะถือว่ามีความพิเศษได้อย่างไร? รอจนศิษย์พี่ท่านนี้เลื่อนชั้นแล้ว หากได้พบกันอีกครั้ง พวกเราแน่นอนว่าจะต้องคารวะในฐานะผู้อาวุโส” คำกล่าวของจ้าวหนานซิง ก็ทำเอาแววตาของมู่ชิงเกอปรากฎรอยยิ้มขำขึ้นมา

“พวกเจ้า พวกคนบ้านนอกไม่รู้จักกาลเทศะ!” สุนับรับใช้เบอร์สองโมโหอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าอยากจะเข้าไปสั่งสอนเสียเดี๋ยวนั้น

จูหลิงลอบเขยิบไปใกล้มู่ชิงเกออย่างเงียบๆ กระซิบกระซาบอยู่ที่ด้านหลังของนาง “คนผู้นี้ทำไมถึงได้ บังเอิญมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?”

‘บังเอิญรึ?’

มุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มของมู่ชิงเกอ พลันกลายเป็นยิ้มหยันขึ้นมา

ในระหว่างที่นางไม่ได้ตั้งใจก่อให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตที่หอสติปัญญาฝั่งนี้ขึ้น ข้างกายจิ่งเทียนก็มีหูตามากมาย เขาไม่มีทางที่จะไม่รู้?

ตอนนี้มาปรากฏตัวที่นี่ เกรงว่าจะมุ่งเป้ามาหานางโดยเฉพาะ

เพียงแต่ไม่รู้ว่า คนผู้นี้จะดึงหัวข้อวกมาที่ตัวนางได้อย่างไร

“คนบ้านนอก ว่าใคร?” จ้าวหนานซิงสีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมลง

สุนัขรับใช้เบอร์สองก็ไม่ได้คิดอะไรมากพลันพูดโผล้งออกไป “คนบ้านนอก ว่าเจ้าอย่างไร”

พอคำพูดนี้หลุดออกไป รอบด้านก็พลันดังขึ้นด้วยเสียงกลั้นหัวเราะ ส่วนใบหน้าของจ้าวหนานซิงก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ชั่วร้ายขึ้นมา พอเห็นฉากภาพนี้เขาก็พลันฉุกคิดอะไรได้กล่าวไปทางจ้าวหนานซิงอย่างโมโห “เจ้าตัวเหม็น เจ้าแกล้งข้า!”

“หุบปาก! ยังขายหน้าไม่พออีกรึ?” เสียงกลั้นขำรอบด้าน ก็ทำเอาจิ่งเทียนรู้สึกเสียหน้าไปด้วย ในใจเกิดความรู้สึกเหมือนว่ากำลังคบคนโง่อย่างไรอย่างนั้น

สุนัขรับใช้เบอร์สองถูกเขาตวาดใส่ก็เร่งรีบดึงไฟโทสะกลับ หันไปยืนด้านหลังเขาอย่างนอบน้อม เพียงแต่แววตาไม่ยินยอมคู่นั้นก็ยังคงจ้องไปยังจ้าวหนานซิงด้วยความโมโห

ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ จ้าวหนานซิงคงจะถูกเขาจ้องมองจนหนังถูกถลกออกมาชั้นหนึ่งแล้ว น่าเสียดาย ที่แววตาไม่อาจฆ่าคนได้ ดังนั้น การถูกเขาจ้อง มองก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องสนใจนี่นา

สายตาของจ้าวหนานซิงพอสบเข้ากับแววตาชิงชังคู่นั้นเข้า ก็ไม่มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันกลับพยักหน้ากลับอย่างมากมารยาทส่งกลับไป ท่าทางตอบกลับสบายๆ นี่ก็ทำเอาสุนับรับใช้เบอร์สอง เกือบจะกระอักเลือดออกมา รู้สึกเดือดดาลยิ่งนัก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!