Skip to content

พลิกปฐพี 153-4

ตอนที่ 153-4

ไข่สองใบ! ก็เอาไปให้หมดเถอะ!

“คิดไม่ถึงว่าคนของสำนักหมื่นอสูรจะตามมา!”

“ดูท่าพวกผู้อาวุโสคงคาดไว้ไม่ผิด พวกเขามาที่นี่เพราะพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนจริงๆ”

ข้างกายมู่ชิงเกอมีศิษย์หอหลอมศาสตราสองคนกำลังถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียด นี่เป็นการให้ข้อมูลมู่ชิงเกออย่างดี

”คนของสำนักหมื่นอสูร?” มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย นางคิดไม่ถึงเลยว่า การเดินทางมาแม่นํ้าไร้พรมแดนของตนครั้งนี้ จะได้รับมือกับสองพรรคที่แข็งแกร่งของแคว้นหรง

และที่คาดไม่ถึงมากกว่าเดิมก็คือ สองสำนักที่แข็งแกร่งนี้ต่างก็สนใจในพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน

เพียงแต่นางยังไม่เข้าใจว่า หอหลอมศาสตราสนใจอะไรในพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน แต่ก็ช่างเถอะ เพราะพวกเขาอย่างไรเสียก็ต้องใช้ใฟในการหลอมวัตถุ แต่ สำนักหมื่นอสูรอยากได้พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนไปทำไมกัน? เผาอสูรวิญญาณหรือ

“เมื่อเป็นเช่นนี้ น่าจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่อีกกระมัง!”

“ดูท่าแล้วคงเป็นเช่นนั้นแปดส่วน”

“ศิษย์สำนักหมื่นอสูรไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ อสูรวิญญาณในมือพวกเขาไม่ได้กินผักเสียหน่อย”

“เจ้าวางใจเถอะ อสูรวิญญาณที่โดนสำนักหมื่นอสูรฝึกฝนมาน่ะ ก็ยังรับมือง่ายกว่าพวกที่ยังไม่เคยผ่านการฝึก แล้วยังดูเชื่องกว่า”

“ข้า…ข้า…พอเห็นอสูรวิญญาณก็แข้งขาอ่อนจะมีแรงต่อสู้ที่ไหน?”

ศิษย์สองคนที่กำลังพุดคุยกันนั้น เนื้อหาการพุดคุยของพวกเขาได้สร้างแนวคิดให้มู่ชิงเกอจนวางแผนขึ้นมาในใจได้

เดิมทีหากมีเพียงหอหลอมศาสตราสำนักเดียว นางยังรับมือได้ไม่เท่าไหร่ แต่หากมีสำนักหมื่นอสูรแทรกเข้ามา กลับเป็นประโยชน์กับนาง นางสามารถนั่งรอหยิบชิ้นปลามันได้หลังจากที่พวกเขาปะทะกันไปแล้ว!

มู่ชิงเกอก้มหน้าลง หมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้านางไว้หมด เห็นเพียงมุมมปากนางที่ยกยิ้มขึ้น

เพียงพริบตาเดียว คนของสำนักหมื่นอสูรก็มาปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์หอหลอมศาสตรา เมื่อเห็นขบวนคนของหอหลอมศาสตรา ทางด้านสำนักหมื่นอสูรก็ดูระแวดระวังขึ้นมา

เฮยมู่ที่เป็นหัวหน้านั่งบนหลังหมาป่า หรี่ตาเพ่งมอง พลางเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นคนของหอหลอมศาสตรา”

เฝิงคุนไห่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะของหอหลอมศาสตรา เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ที่แท้ก็คือผู้อาวุโสเฮยมู่แห่งสำนักหมื่นอสูร คิดไม่ถึงว่า จะมาพบกันที่แม่นํ้าไร้พรมแดนแห่งนี้ได้

บังเอิญจริงๆ”

“บังเอิญ? ไม่บังเอิญเลยสักนิด พวกเจ้ามาที่นี่เพราะอะไรกัน?” ไท่สื่อเกานั่งบนหลังเสือดำเขาเดียว เดินออกมาจากด้านหลังเฮยมู่ช้าๆ ในมือถือพัดท่าทางเป็น บัณฑิตทรงภูมิความรู้

ท่าทีเขาไม่เป็นมิตรกับหอหลอมศาสตราเท่าไหร่ นํ้าเสียงมีแววไต่สวนตรวจสอบ

แต่ว่า เฝิงคุนไห่แห่งหอหลอมศาสตรากลับไม่มีท่าทางโกรธเคือง

เพราะเขารู้ดีถึงสถานะของไท่สื่อเกา “ที่แท้นายน้อยก็มาด้วย” เฝิงคุนไห่ทำความเคารพ

“พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?” ไท่สื่อเกาไม่ได้สนใจเฝิงคุนไห่แม้แต่น้อย สอบถามด้วยท่าทางยโสโอหัง

มู่ชิงเกอลอบสังเกตอยู่เงียบๆ พลางเอ่ยในใจว่า “นี่คือ นายน้อยแห่งสำนักหมื่นอสูรรึ? แล้วตาแก่ผอมแห้งที่ถูกเรียกว่าเฮยมู่ ก็เหมือนจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักหมื่นอสูร การฝึกพลังไปถึงขั้นสูงสุดของขั้นสีม่วง แข็งแกร่งกว่าตนเสียด้วยซํ้า แล้วยังไม่ได้รวมกับอสูรวิญญาณใต้ร่างเขาอีก”

สายตามู่ชิงเกอเคลื่อนไปจับที่หมาป่าที่อยู่ใต้ร่างของเฮยมู่ มองแวบเดียวก็รู้ว่านี่เป็นอสูรวิญญาณขั้นสูง พลังก็เทียบเท่ามนุษย์ในขั้นพลังสีม่วง เพียงแค่อสูรวิญญาณหมาป่าก็เป็นอสูรวิญญาณขั้นสูงแล้ว เฮยมู่ตามที่ได้ฟังมายังมีอสูรวิญญาณอีกสามตัว ก็ไม่รู้ว่าอยู่ในระดับขั้นใด

ไม่เพียงแต่เขา เสือดำเขาเดียวของไท่สื่อเกาก็เป็นอสูรวิญญาณขั้นสูงเช่นกัน

เมื่อรวมกับคนอื่นๆของสำนักหมื่นอสูรแล้ว ความสามารถในการต่อสู้นั้นสูงกว่าหอหลอมศาสตราถึงสองสามเท่า

โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือ หลังจากได้รับการฝึกฝนมาแล้ว ความดุดันของเหล่าอสูรวิญญาณพวกนี้จะลดลง นั้นก็หมายความว่า พลังของอสูรวิญญาณขั้นสูงจะ สามารถใช้งานได้จริงเพียงแปดส่วน

ส่วนอสูรวิญญาณขั้นกลางและขั้นตํ่านั้นยิ่งอ่อนแรงลงไปอีกมาก

นี่เป็นข้อด้อยอย่างหนึ่งของการฝึกฝน แต่ถึงแม้ว่าจะอ่อนแรงแล้ว แต่พวกมันก็เป็นอสูรวิญญาณ

การคำนวณคาดการณ์เหล่านี้ เป็นเพียงความคิดวูบหนึ่งในหัวมู่ชิงเกอเท่านั้น

การไต่ถามอย่างไม่เกรงใจของไท่สื่อเกาทำเอาศิษย์หอหลอมศาสตราไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะปกติแล้ว พวกเขาเองก็เป็นพวกวางท่าอวดดี จะยอมให้คนอื่นมาวางท่าข่มต่อหน้าได้อย่างไร?

ในนั้น คนที่ทนไม่ได้เป็นที่สุดก็คือติงเหม่า เขากระโดดออกมาพูดกับไท่สื่อเกาว่า “เจ้านึกว่าแม่นํ้าไร้พรมแดนนี่เป็นบ้านเจ้าหรือไง? พวกเราอยากมาก็มา ต้องบอกพวกสำนักหมื่นอสูรล่วงหน้าหรือไร?”

“ติงเหม่ากลับมา” จินกุ้ยเรียกติงเหม่ากลับ ก่อนที่เฮยมู่และไท่สื่อเกาจะแสดงความโกรธออกมา จินกุ้ยก็ประสานมือ “ศิษย์ผู้น้อยไร้มารยาท ขอนายน้อยและท่านผู้อาวุโสเฮยมู่อย่าถือสา”

“แล้วเจ้าเป็นใคร?” ไท่สื่อเกาเหลือบตามองจินกุ้ย

เมื่อเอ่ยถึงตน จินกุ้ยก็มีท่าทางอวดโอ่ขึ้นมา “ข้าคือจินกุ้ยแห่งหอหลอมศาสตรา”

“ที่แท้ก็คือผู้อาวุโสจิน” เฮยมู่พูดเรียบๆ หยุดการขัดแย้งเมื่อครู่ทันที

ความเป็นจริงแล้วความแข็งแกร่งของสำนักหมื่นอสูร และหอหลอมศาสตราก็ไม่ต่างกันมากนัก

หนึ่งคือชำนาญการหลอมสร้าง อาวุธพร้อมพรัก เหมือนโรงโอสถ เมื่อถึงยามจำเป็นเพียงยื่นมือออกไป ก็มีนักหลอมอาวุธจำนวนมากหวังจะมาที่หอหลอมศาสตรา ส่วนสำนักหมื่นอสูร สามารถฝึกฝนอสูรได้ เพิ่มพลังในการต่อสู้ขึ้นอีกมากจนไม่อาจมองข้ามได้

พลังของทั้งสองฝ่ายนั้นก็ดูเสมอกัน

วันนี้ หอหลอมศาสตราเหมือนด้อยกว่าสำนักหมื่นอสูรหนึ่งขั้น เพียงเพราะไพ่ตายหลักคือของวิเศษและพวกสำนักหมื่นอสูรได้เปรียบเพราะมีอสูรมาก!

ความแตกต่างเรื่องพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ของวิเศษยังไม่ปรากฏขึ้นมา ก็ไม่มีใครอยากจะเคลื่อนไหวไปโดยไร้เป้าหมาย

มิเช่นนั้นหากตายลงที่นี่แล้ว ต่อให้วันหน้าสำนักส่งคนมาล้างแค้นให้แล้วมีประโยชน์อะไร?

ทั้งสองฝ่ายล้วนเห็นตรงกัน จึงเพียงแต่ทุ่มเถียงด้วยวาจา ไม่มีใครลงมือ

และในชั่วขณะนั้น ก็มาถึงเค่อที่สามของยามอิ๋น

เพียงพริบตา ดวงดาวบนท้องฟ้าก็รวมตัวเป็นกลุ่ม สาดส่องบนผืนนํ้าสีดำสนิทของแม่นํ้าไร้พรมแดน

แสงดาวที่รวมกลุ่มเหมือนเป็นกุญแจไขลงที่ผืนนํ้า หลังจากดาวจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงไปในนํ้า นํ้าในแม่นํ้าไร้พรมแดนก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว

เริ่มเกิดมีคลื่นนํ้าวนหมุนวนไปเรื่อยๆ ไม่ขาดตอน……….

ปรากฏการณ์ประหลาดหยุดการทุ่มเถียงของทั้งสองฝ่ายลงไปทันที

ในตอนที่เกิดนํ้าวน ดวงตาของเฝิงคุนไห่ก็เป็นประกาย สะท้อนความรู้สึกแทบจะอดใจรอไม่ไหว

สีหน้าของคนทั้งสองประจักษ์แก่ตามู่ชิงเกอ ทำให้นางรู้ว่านํ้าวนก็คือปัจจัยหลักของการเข้าถึงพื้นด้านล่าง!

เพียงครู่เดียว ในนํ้าวนก็มีถํ้าปรากฏเลือนราง

ปากถํ้าดูลึกลับไม่เห็นแสงใดๆ

แต่ว่าในตอนที่ปากถํ้าปรากฏ สีหน้าของเฝิงคุนไห่และเฮยมู่ก็เคร่งเครียดขึ้นมา

“โอกาสที่ไม่อาจพลาดไป!” มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย สะบัดปลายนิ้วเป็นพลังแสงทึบๆ ตวัดผ่านหลังคอติงเหม่า

ติงเหม่าโดนโจมตีร่างโน้มไปข้างหน้าอย่างไม่อาจบังคับได้ กระบี่ในมือยกขึ้นพุ่งเข้าหากลุ่มของสำนักหมื่นอสูร

การเคลื่อนไหวนั้น ทำให้ฝั่งหอหลอมศาสตราเคร่งเครียดขึ้นมา

สำนักหมื่นอสูรเองก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน การต่อสู้รุนแรงกำลังจะเริ่มขึ้น!

“อา!” ติงเหม่าร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อคนของทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงนี้ก็เหมือนเสียงเร่งเร้าให้รีบลงมือกันทั้งสองฝ่าย

ไท่สื่อเกาตาเป็นประกายวาว สั่งว่า “ฆ่าพวกมันซะ!”

นายน้อยสั่งการ ศิษย์สำนักหมื่นอสูรก็ทยอยรุกเข้าไป เมื่อมองเห็นอสูรวิญญาณที่ไล่รุกเข้ามา ติงเหม่าก็ตกใจ จนยกกระบี่ขึ้นป้องศีรษะเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะโดนอสูรวิญญาณกระแทกใส่ร่าง จินกุ้ยก็สะบัดฝ่ามือ โจมตีจนอสูรวิญญาณล่าถอย ช่วยติงเหม่าออกมา

ทั้งสองฝ่ายวุ่นวายขึ้นมาทันที

เฝิงคุนไห่นึกขุ่นเคืองขึ้นมาร้องสั่ง “ฆ่า!”

ในขณะเดียวกันเขาก็หันไปพูดกับเฮยมู่ว่า “ในเมื่อทุกคนล้วนอยากได้ของสิ่งนั้น ก็ไม่สู้อาศัยความสามารถของตนแย่งชิงมา!”

เมื่อขาดคำ หอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูรก็เข้าต่อตีกันทันที

และใครก็ไม่ได้คาดคิดว่า จะมีเงาร่างโปร่งบาง ค่อยๆ หลีกการต่อสู้ออกไปไกล ก่อนจะลอบเดินมาใกล้ๆ เงียบๆ ปากทางเข้า ก่อนจะกระโดดลงปากถํ้านั้นไป

“ศิษย์หอหลอมศาตราลงไปแล้ว!” มีศิษย์สำนักหมื่นอสูรที่ตาไวมองเห็นเข้า เอ่ยเตือนขึ้นทันที เฝิงคุนไห่หมุนตัวกลับไปมองก็ไม่เห็นเงาร่างคนแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าศิษย์สำนักตนชิงลงมือได้ก่อนก็รู้สึกยินดี หยิบเข็มทิศขึ้นมา โยนลงไปในวังนํ้าวน ร้องสั่งว่า “เดินไปตามเข็มทิศ เอาของวิเศษกลับมา ท่านหัวหน้าจะบันทึกความชอบเจ้าไว้!”

มู่ชิงเกอที่เข้าไปในถํ้า ก็เร่งร่อนกายลง เพียงยืนได้มั่นคง ก็มีสิ่งของหล่นลงมาบนหัว

นางคิดได้ยกมือขึ้นรับ สัมผัสความเย็นแล่นขึ้นมาที่ปลายมือ

หลังจากนั้น นางก็ได้ยินเสียงเฝิงคุนไห่

“ความเข้าใจผิดนี้…” มูชิงเกอลูบจมูกเก้อๆ

เมื่อก้มลงมองเข็มทิศในมือ มู่ชิงเกอก็ยิ้มเจ้าเล่ห์

นางกุมเข็มทิศไว้ในมือ นางพบว่าเข็มทิศนี้มีบางอย่างที่พิเศษ การชี้บอกทางของมันไม่ใช่เหนือใต้ออกตก แต่เป็นการชี้หาสิ่งของที่มีการระบุไว้

ในเมื่อเฝิงคุนไห่ให้นางเดินตามเข็มทิศไป นางก็จะเดินตามไปแล้วกัน

มู่ชิงเกอเดินตามทิศทางของเข็มทิศเข้าไปด้านในเรื่อยๆ เดินไปครู่หนึ่ง นางจึงได้พบว่าภายใต้ผืนนํ้าของแม่นํ้าไร้พรมแดนนั้น ซ่อนเขาวงกตขนาดใหญ่ไว้

เขาวงกตนี้ไม่ได้มีเพียงชั้นเดียวแต่เป็นหลายๆ ชั้นซ้อนกัน ทะลุหากันได้หมด ซับซ้อนยิ่งนัก

หากไม่มีเข็มทิศนี้ นางคงต้องหลงทางในนี้แน่นอน

เมื่อคิดถึงตรงนี้มู่ชิงเกอก็นึกขอบคุณเฝิงคุนไห่ หากไม่ใช่เป็นเขาล่วงหน้ามา นางคงยังต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงในการหาพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนอีกนาน!

การต่อสู้บนแม่นํ้าไร้พรมแดนจะรุนแรงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับมู่ชิงเกอเลยแม้แต่น้อย

นางเดินตามเข็มทิศไปเรื่อยๆ ในเขาวงกต ไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด ในที่สุดก็รู้สึกว่าม่านตาเบิกกว้างขึ้น นางเดินจากทางเดินเข้ามาถึงห้องโล่งกว้าง

เพียงพลิกมือ มู่ชิงเกอก็หยิบไข่มุกราตรีขึ้นมาส่องสว่าง ไปทั่วห้อง

ห้องนี้ไม่ถือว่าใหญ่โตมาก เมื่อเทียบกับทางเดินซับซ้อน เป็นใยแมงมุมภายนอกแล้วก็ถือว่ากว้างขวางมากทีเดียว

และที่สำคัญที่สุดในห้องมีแท่นวางอยู่ กลางแท่นนั้นมีไข่กลมๆ สองใบ!

มู่ชิงเกอตกใจ ก่อนจะพูดในใจ “ไข่สองใบนี้น่ากลัวจะเป็นไข่ไดโนเสาร์ ถึงได้ใหญ่ขนาดนี้?”

มู่ชิงเกอมองรอบๆ ไข่นั้น ก่อนจะเห็นรอยปริเล็กๆ ความจริงแล้วที่นี่ควรจะมีไข่เพียงใบเดียว แต่ไข่อีกใบนั้นไม่รู้โผล่มาจากไหนเบียดเอาไข่ที่ควรจะตั้งอยู่ออกไป

จากตำแหน่งเดิม กลายเป็นมีไข่สองใบ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วพลางพึมพำในใจ “ที่นี่คือที่ไหน? แล้วใครสร้างเขาวงกตนี้ แล้วไข่สองใบนี้คืออะไรกันแน่?”

แล้วยังมีอีกหนึ่งปัญหา…เมื่อมาถึงตรงนี้ เข็มทิศกลับไม่เคลื่อนไหวแล้ว

มู่ชิงเกอเดินตามทางที่เข็มทิศชี้ไป เมื่อมองตามไปก็เห็นไข่สองใบนั้น

ไข่สองใบนั้น ใบหนึ่งทึบตันไม่มีแสงใดๆ ส่วนอีกใบเป็นประกายงดงาม ส่องแสงเจ็ดสีออกมาเจิดจ้า ไม่เหมือนของธรรมดาๆ ‘ไข่สองใบจะเอาไปดีหรือไม่?’มู่ชิงเกอขมวดคิ้วครุ่นคิด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!