Skip to content

พลิกปฐพี 159-1

ตอนที่ 159-1

ท่านแม่! ลูกพี่? ลูกพี่ท่านแม่!

“คุณชายมู่ ท่านเต็มใจจะแต่งกับข้าหรือไม่?”

คำกล่าวของกงเจี้ยงเสวี่ยประโยคนี้ก็มากะทันหันเสียจนตั้งตัวไม่ทัน

ทำเอามู่ชิงเกอตระหนกเสียจนสติกระเจิดกระเจิง!

ทำไมอยู่ๆ ถึงมาพูดเรื่องการแต่งงานกัน? ทั้งสองคน ชัดเจนว่าเพียงจะรู้จักกันได้ไม่ถึงวันเลยด้วยซํ้า! แล้วอีกอย่าง ตามหลักการการตอบแทนบุญคุณของคนทั่วไปก็ ต้องเป็นคนที่ถูกช่วยที่เอาตัวเข้าตอบแทน ทำไมพอมาอยู่ที่หุบเขาสงบใจแล้วกลับกลายมาเป็นตรงกันข้าม กลายเป็นคนที่ช่วยเหลือต้องมอบกายให้?

มู่ชิงเกอถูกทำให้ตกตะลึงจนนิ่งชะงักพูดอะไรไม่ออก กงเจี้ยงเสวี่ยก้มหน้าลง แพขนตายาวบดบังความรู้สึกในแววตาเอาไว้

นางราวกับว่าจะไม่กล้าไปมองความรู้สึกที่แท้จริงในแววตาของมู่ชิงเกอในตอนนี้ เพียงแค่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ตามกฎที่ตั้งเอาไว้ของหุบเขา มีเพียงสามีของเจ้าหุบเขาคนปัจจุบันเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังสถานที่ที่กักเก็บพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ได้มีโอกาสเข้าไปทดสอบหนึ่งครั้ง”

‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มู่ชิงเกอในที่สุดก็เข้าใจขึ้นมา นางสงบจิตใจลง มองไปทางกงเจี้ยงเสวี่ยพลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “ถ้าหากกฎเป็นเช่นนี้ นายหญิงน้อยก็ไม่จำ เป็นต้องทำเพื่อข้าแล้วไปบีบคั้นหลู่เกียรติตนเอง”

กงเจี้ยงเสวี่ยพลันเงยหน้าขึ้น แววตากระจ่างใสดุจสายนํ้าจ้องมองมาทางนาง ตอบกลับด้วยคำที่กระจ่างชัดออกมา “ข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการบีบคั้นหรือหลู่เกียรติตนเองแต่อย่างใด”

มู่ชิงเกอพลันนิ่งขรึมลงไปภายใต้แววตาอันกระจ่างใสของนาง

กงเจี้ยงเสวี่ยเกิดรักนางขึ้นมารึ?

ต่อให้กงเจี้ยงเสวี่ยยอมรับเองกับปาก นางก็ไม่มีทางเชื่อ

ชอบคนคนหนึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ต้องการเหตุผลอะไร แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสาเหตุ ไม่มีทางเป็นเหมือนเช่นนี้ที่อยู่ๆ ก็รู้สึกชอบขึ้นมา ทั้งยังเต็มใจที่จะตอบแทนด้วยวิธีการเช่นนี้

ตัวนางนั้นเป็นคนเช่นไร คนดีหรือคนเลว เวลาไหนร้าย เวลาไหนดี กงเจี้ยงเสวี่ยก็คงยังไม่ชัดเจน จะมารู้สึกรักได้ง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ?

มู่ชิงเกอที่ในใจช่วงนี้ถูกความรู้สึกต่างๆ นานา พัวพันไปมาจนไม่อาจทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจน นางไม่มีทางเชื่อว่ากงเจี้ยงเสวี่ยเพราะว่าพบหน้าตนแค่ครั้งเดียวก็จะเกิดความรู้สึกรักใคร่ตนขึ้นมาได้

“ถ้าหากพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ถูกสยบได้ มันจะส่งผลอะไรบ้าง?” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็ถามขึ้น

กงเจี้ยงเสวี่ยตอบกลับอย่างนิ่งขรึม “ถ้าหากพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ถูกพาจากไป คำสัตย์สาบานที่บรรพบุรุษของข้ากล่าวเอาไว้ก็จะถูกชำระ หุบเขาสงบใจก็ถูกปลด ปล่อย คนในหุบเขารวมถึงเจ้าหุบเขาก็ล้วนแต่สามารถเลือกว่าจะไปหรืออยู่ได้อย่างอิสระ”

มู่ชิงเกอขบริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “ดูท่าพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ชนิดนี้สำหรับพวกเจ้าแล้วจะไม่ใช่เกียรติยศอะไร แต่เป็นโซ่ตรวนชนิดหนึ่ง”

โซ่ตรวน?

กงเจี้ยงเสวี่ยนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังท่าความเข้าใจกับคำพูดของมู่ชิงเกออย่างตั้งใจ

และก็เหมือนกับว่านางจะพูดกล่าวออกมาได้ถูกต้องนัก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากข้าสามารถนำเอาพญาเพลิงออกไปได้ คำสัตย์สาบานก็จะถูกทำลาย เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องไปสนใจเกี่ยวกับกฎที่ว่าสามีของเจ้าหุบเขาถึงจะสามารถยุ่งเกี่ยวได้อะไรนั้นถูกไหม?” มู่ชิงเกอกล่าวชี้แนะขึ้น

กงเจี้ยงเสวี่ยขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ ราวกับว่ากำลังไตร่ตรอง คำพูดของมู่ชิงเกอ

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้น “แต่ว่ากฎก็ยังอยู่ตรงหน้า นี่ควรจะทำเช่นไร?”

‘ความคิดของหญิงสาวผู้นี้ก็ยังถือว่าแจ่มชัดนัก!’ มู่ชิงเกอทอดถอนใจขึ้นประโยคหนึ่ง แต่เดิมคิดอยากจะชักนำให้คนเขาร่วมมือด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าจะล้มเหลวไม่เป็นท่า

ความรู้สึกล้มเหลวสายหนึ่งวนไปวนมาอยู่ในหัวของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในใจครุ่นคิดขึ้น ในเมื่อหุบเขาสงบใจมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ก็แน่นอนว่าจะต้องมีอาคมอะไรบางอย่างแน่ คงไม่มีทางเป็นแค่คำพูดลอยๆ เช่นนั้นควรจะทำยังไง? จะต้องแต่งกับนายหญิงน้อยของหุบเขาสงบใจผู้นี้จริงๆ น่ะรึ?

แต่ว่านางก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน จะไปแต่งกับผู้หญิงอีกคนได้อย่างไร?

มู่ชิงเกอส่ายหน้า กล่าวกับกงเจี้ยงเสวี่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอขอบคุณในนํ้าใจของนายหญิงน้อยมาก แต่ข้าไม่อาจทำลายความสุขชั่วชีวิตของนายหญิงน้อย เพราะต้องการพญาเพลิงได้”

“คุณชายมู่ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจอันใด การที่อยู่ๆ กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเดิมทีก็เป็นฝั่งข้าที่ทำไม่ถูกต้อง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว ไม่รบกวนการพักผ่อนของคุณชายมู่แล้ว” กงเจี้ยงเสวี่ยกล่าวว่าด้วยรอยยิ้มจางๆ หลังจากนั้นก็สวมผ้าคลุมหน้ากลับต่อหน้าของมู่ชิงเกอดังเดิม ก่อนจะหันกายเดินจากไป

มู่ชิงเกอก็ไม่ทันสังเกตเห็นว่าตอนที่นางหมุนตัวกลับ ในแววตาก็ทอแววผิดหวังขึ้นจางๆ ขึ้นมาสายหนึ่ง

คํ่าคืนนี้มู่ชิงเกอก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งการฝึกฝน และคํ่าคืนนี้ หิมะที่หุบเขาสงบใจก็เอาแต่โปรยปรายลงมาตลอดทั้งคืน รอจนถึงตอนที่มู่ชิงเกอเดินออกจากประตูห้อง ในลานบ้านที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาก็กลายเป็นถูกหิมะเป็นชั้นๆ ปกคลุมไปทั่วพื้นแล้ว

เด็กรับใช้สองนางที่คอยรับใช้อยู่ในเรือน ก็ดูซุกซนอยู่ไม่น้อย ยืนอยู่ในลานด้านล่างเล่นปาหิมะเข้าใส่กัน เล่นกันดูท่าทางสนุกสนานนัก

พอเห็นมู่ชิงเกอเดินออกมาก็เร่งโยนลูกหิมะที่ปั้นจนเสร็จทิ้งออกไป วิ่งไปที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ

ตามจริงแล้วมู่ชิงเกอก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกนางปรนนิบัติอันใด

แต่สุดท้ายก็ยอมให้พวกนางยกนํ้าร้อนกับสำรับเช้าสีสันน่ากินเดินเข้ามา

เพิ่งจะกินเสร็จไปได้ไม่นาน ไฉ่เวยก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าตัวเรือน

นางย่อกายไปทางมู่ชิงเกอก่อนหนหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายมู่ เจ้าหุบเขาของพวกเราเรียนเชิญเจ้าค่ะ นายหญิงน้อยก็รุดหน้าไปแล้ว สั่งให้บ่าวมารับท่าน” มู่ชิงเกอเช็ดมุมปากเบาๆ ก่อนจะลุกยืนขึ้น กล่าวกับนางว่า “นำทางเถอะ”

ดูจากท่าทางแล้ว คิดว่าคนของหุบเขาสงบใจที่ไปสืบความที่เมืองวั่นเฟิงจะกลับมาแล้ว

มู่ชิงเกอเดินตามไฉ่เวยไปทางตำหนักใหญ่ของหุบเขาสงบใจด้วยท่าทางอันสงบนิ่ง แล้วก็จริงๆ คนด้านในนอกจากแม่ลูกกงเสวี่ยหยาแล้ว ก็เป็นคนผู้นั้นที่ถูกส่งไปสืบความ

พอเห็นมู่ชิงเกอเดินเข้ามา กงเสวี่ยหยาก็กล่าวว่ากับคนผู้นั้น “ลำบากเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด” คนผู้นั้นโค้งกายลงก่อนจะก้าวถอยออกไป เพียงแต่ตอนที่เดินผ่านมู่ชิงเกอ กลับลอบหันมองมาที่นางด้วยท่าทางประหลาดใจอยู่หลายส่วน

และก็ด้วยการลอบมองนี้เองที่ทำให้มู่ชิงเกอรู้ว่ามีบางเรื่องที่กงเสวี่ยหยาได้รู้เรื่องแล้ว

หลังจากครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอพลันเผยรอยยิ้มไม่ใส่ใจออกมา

“คุณชายมู่เชิญนั่ง” กงเสวี่ยหยาชี้นิ้วไปยังที่นั่งด้านซ้าย ด้านข้างตน

มู่ชิงเกอเดินด้วยท่าทางสบายๆ ไปยังด้านหน้าที่นั่ง สะบัดชายเสื้อของตัวเองเบาๆ ก่อนจะนั่งลงไป ท่าทางองอาจ ไม่มีท่าทางเคอะเขินติดขัดแม้แต่น้อย

เพิ่งจะนั่งลงไปได้ไม่ทันไร นางก็สัมผัสได้ว่ามีแววตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ตน นางเงยหน้าขึ้นมองไป ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาดุจสายนํ้าคู่นั้น

ไฉ่เวยพอภารกิจเสร็จสิ้น และไม่มีคำสั่งของเจ้าหุบเขาอีกก็ไม่กล้ารั้งอยู่นาน หลังจากย่อกายให้ทั้งสามคนแล้ว ก็ก้าวถอยออกไป ในตำหนักใหญ่หลังจากเหลือเพียงพวกนางสามคนแล้ว กงเสวี่ยหยาถึงได้ยกถ้วยชาขึ้น พร้อมกับกล่าวไปทางมู่ชิงเกอ “คุณชายมู่ นี่เป็นชาเกล็ดหิมะที่มีเฉพาะหุบเขาสงบใจ ดื่มแล้วสามารถช่วยให้จิตใจสงบรู้สึกปลอดโปร่ง ท่านลองชิมดู”

“ได้” มู่ชิงเกอยกถ้วยชาด้านหน้าของตนขึ้น วางจิบไปที่ริมฝีปากเบาๆ แล้วก็เป็นอย่างที่กงเสวี่ยหยากล่าวไว้จริงๆ ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบายสายหนึ่งก็ไหลแล่นไปเต็มอก ชำระล้างจิตใจ

พอจิบชาจนหมด หลังจากกงเสวี่ยหยาวางถ้วยชาลงไปแล้ว ถึงค่อยๆ กล่าววาจาขึ้น “คนในหุบเขาที่ส่งออกไปสืบข่าวที่เมืองวั่นเฟิงก็ได้รุดกลับมาถึงตั้งแต่เช้านี้แล้ว เมืองวั่นเฟิงก็เหมือนกับที่คุณชายมู่กล่าวเอาไว้จริงๆ ตอนนี้ได้แต่กังวลแต่เรื่องของตัวเอง โจรเฒ่าวั่นเจี้ยนเฟิงผู้นั้นก็ยังหัวหมุน ร่างกายเจ็บออดๆแอดๆ เกรงว่าในช่วงนี้ก็คงไม่ว่างมาสร้างปัญหาให้หุบเขาสงบใจของข้า”

มู่ชิงเกอแววตาวาววับ กล่าวแย้มยิ้มขึ้น “สามารถขจัดภัยของหุบเขาได้ข้าก็ขอยินดีกับท่านเจ้าหุบเขาก่อนแล้ว”

“เป็นข้าเจ้าหุบเขาต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน” กงเสวี่ยหยากล่าวยิ้มๆว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านนำข่าวนี้มาแจ้งทันเวลา เกรงว่าวันนี้ก็จะเป็นบทสรุปอีกอย่างหนึ่ง” พอกล่าวจบนางก็หันไปมองกงเจี้ยงเสวี่ย กล่าวกับนางว่า “เจี้ยงเสวี่ย เจ้าก็ขอบคุณคุณชายมู่แทนแม่ด้วยสิ”

กงเจี้ยงเสวี่ยขนตาพลิ้วไหวเบาๆ ลุกขึ้นตามคำกล่าวของมารดา หันไปย่อกายให้มู่ชิงเกออย่างตั้งใจ กล่าวกับนางว่า “เจี้ยงเสวี่ยขอขอบพระคุณคุณชายมู่ที่ช่วยท่านแม่และช่วยหุบเขาสงบใจเอาไว้เจ้าค่ะ”

มู่ชิงเกอขยับตัวหลบ กล่าวกับกงเจี้ยงเสวี่ยว่า “ก็แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น จะไปคู่ควรอันใดให้ท่านเจ้าหุบเขากับนายหญิงน้อยต้องเก็บไปใส่ใจด้วย?”

กงเสวี่ยหยายิ้มขึ้นอย่างสง่างาม ท่าทางองอาจ นางพยักหน้าให้กงเจี้ยงเสวี่ยเบาๆ หลังจากส่งสัญญาณให้นางนั่งลงไปแล้ว ถึงค่อยจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอด้วยแววตาอันคลุมเครือ ค่อยๆ กล่าวว่า “แต่ว่าสายสืบก็นำของสิ่งหนึ่งพกกลับมา ข้ามองไม่ออกว่ามันคือสิ่งใด ไม่ทราบว่าคุณชายมู่จะรู้จักมันหรือไม่”

“อ้อ?” แววตาทั้งสองข้างมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง ยิ้มขึ้นจางๆ กงเสวี่ยหยาดีดนิ้วเบาๆ ไปบนกระดาษที่วางอยู่ข้างกายนาง กระดาษแผ่นนั้นลอยขึ้นกลางอากาศเบาๆ ราวกับมีชีวิตก็ไม่ปานพุ่งลอยไปทางมู่ชิงเกอ พุ่งตกลงไปบนโต๊ะสี่เหลี่ยมข้างกายนาง

มู่ชิงเกอก้มหน้าลง สายตาร่วงตกไปบนระดาษแผ่นนั้น

ด้านบนวาดไว้ด้วยใบหน้าของคุณชายหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่ง หน้าตาเหมือนกับนางอยู่สองสามส่วน แล้วด้านบนยังเขียนคำสามคำใหญ่ๆ เอาไว้ว่า ‘ประกาศจับ’ มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นอย่างไร้เสียงหนหนึ่ง ใช้นิ้วจับกระดาษขึ้นมา มองไปทางกงเสวี่ยหยาพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าหุบเขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

กงเสวี่ยหยายังคงยกยิ้มที่มุมปาก “คุณชายมู่จะไม่อธิบายอะไรสักหน่อยรึ?”

แม้กระทั่งกงเจี้ยงเสวี่ยก็ยังมองมาที่นางด้วยสายตากังวลใจ

มู่ชิงเกอแย้มยิ้มจางๆ “ข้าไม่มีอันใดจะกล่าว”

กงเสวี่ยหยาแววตาไหววูบ นํ้าเสียงค่อนข้างตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย “หากกล่าวเช่นนี้ ก็แปลว่าท่านยอมรับว่าท่านเป็นคนบนประกาศจับใบนี้? สภาพอันน่าอนาถของวั่นเจี้ยนเฟิงกับความโกลาหลในเมืองวั่นเฟิงในตอนนี้ก็เป็นท่านเพียงผู้เดียวที่ก่อขึ้น?”

คำกล่าวของกงเสวี่ยหยาก็ทำเอาความกังวลในแววตาของกงเจี้ยงเสวี่ยกลายเป็นตกตะลึงขึ้นมา

นางมองไปทางมู่ชิงเกอราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มที่มีอายุน้อยเหมือนกับนางผู้นี้จะมีความสามารถมากพอที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ได้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!